time to time
banner
totaltime.bsky.social
time to time
@totaltime.bsky.social
Pinned
Choose 20 books that have stayed with you or influenced you. One book per day for 20 days, in no particular order. No explanations, no reviews, just covers.
(1/20)

#BookSky #Books #BookChallenge
Reposted by time to time
ทุกครั้งที่เห็นคำว่าทำไมญป.ต้องมีตู้รถไฟหญิงล้วน ไม่เท่าเทียม ตู้อื่นแออัด (ที่จริงอัดทุกตู้อะช่วงรัชอาว) จะนึกถึงบทสนทนาของเมเนฯที่ทำงานทุกครั้ง

เมเน (ช): ถ้ามีตู้ผช.ล้วนเท่าเทียมกันแกจะขึ้นมะ
รุ่นน้อง (ช): ให้ตายก็ไม่ขึ้นครับ!
September 3, 2025 at 6:27 AM
Reposted by time to time
ถามว่าทำไมพรรคประชาชนเลือกอนุทิน อย่าลืมสิว่านางตกลงกันกับภจท.ตั้งแต่ก่อนคำตัดสินแพทองธารจะออก พอภจท รับปากเรื่องเงื่อนไข พรรคปชนก็ทำตามคำสัญญา

คุณไปถามพรรคอื่นแทนเถอะว่าทำไมไม่ทำตามสัญญาบ้าง พทเองก็เหอะ เคยรักษาคำพูดเรื่องไหนมั่ง
September 3, 2025 at 6:52 AM
Reposted by time to time
ไม่ชอบภูมิใจไทยเลยแต่เราว่ามูฟพรรคส้มมันก็ไม่แย่ เพื่อไทยพยายามทำทรงตอแหลเล่นตัวพูดกลับไปกลับมาวกไปวนมาไม่ชัดเจนส่งสัญญาณขอพรจากฟ้าจากอัศวินม้าขาวอะไรของมันอยู่นั่น
September 3, 2025 at 7:33 AM
Reposted by time to time
Today is my Birthday!

If you want to congratulate me, the best gift would be to retweet my drawings🙏💖

Thank you for sticking with me💐
September 1, 2025 at 3:32 PM
Reposted by time to time
From Perhimpunan Merdeka anarchist federation.

"Abolish Parliament! Update on the Wave of Rebellion in Indonesia"

Calling for the global people’s movements solidarity to support the struggle in Indonesia through a variety of tactics and methods.

perhimpunanmerdeka.org/2025/09/02/s...
September 3, 2025 at 6:01 AM
Reposted by time to time
'Wonder Woman in Pink Hijab': The Courage of Mother on Frontline of Indonesian Protest
A middle-aged womanin a bright pink hijab stood firm in front of rows of riot police. Her presence became a symbol of defiance and a spark of hope that fueled the spirit of thousands of protesters.
“Wonder Woman in Pink Hijab”: The Courage of a Mother on the Frontline of the DPR Protest - Noi English
A mother in a pink hijab dubbed “Wonder Woman” stood fearlessly at the DPR protest, inspiring thousands with her courage.
noi.pikiran-rakyat.com
September 2, 2025 at 3:14 PM
เห็นมูฟที่ใช้สามสีเด่นๆในการประท้วงของอินโดแล้วอิมแพ็คมากกกกกกก แล้วแต่ละสีคือตัวแทนของประชาชนที่โดดเด่นในหน้าข่าวต่างๆ ชอบมาก

ส่วนของไทยใช้สีแล้วมันทริกเกอร์ เลยเป็นสามนิ้วแทน
September 3, 2025 at 6:39 AM
Reposted by time to time
It ain't like Ung Ing is an angel. She was Prime Minister bc she's the daughter of Thailand's Donald Trump and leading a party that conspired to keep the actual winners of the election from government

But like, this is the fifth elected leader removed by a court on dubious grounds in 17 years
August 29, 2025 at 1:40 PM
Reposted by time to time
เป็นประเทศที่ทำให้นิยายดิสโทเปียกลายเป็นหนังสือสารคดีอะ
August 29, 2025 at 12:11 PM
Reposted by time to time
เห็นไรเดอร์อินโดขี่รถประท้วงให้ Affan Kurniawan แล้ว mixed feelings
ใจนึงเศร้ามากๆที่มีคนสูญเสีย และรีเลทกว่าตอนจอร์จฟลอยด์เพราะมันคือประเทศอาเซียน คล้ายกับวาฤทธิ์แต่นี่มีบันทึกชัดเจนว่าตำรวจเป็นผู้กระทำ

แต่ที่ทำให้ชื้นใจคือเราเห็น solidarity ของคน มันอุ่นใจที่การรวมตัวเกิดขึ้นได้เพราะต่อสู้กับอำนาจและโครงสร้าง​ที่ไม่เป็นธรรม แบบที่ไทยมีช่วงม็อบ 63 ซึ่งตอนนี้หายไปไหนแล้วไม่รู้
August 29, 2025 at 12:51 PM
Reposted by time to time
มาหวังอะไรให้คนมีลูก เด็กที่ไหนจะไปโตได้ ให้มันจบที่รุ่นเรานี่แหละ 😮‍💨
August 29, 2025 at 1:54 PM
Reposted by time to time
Quick Tip: Did you know you can hide posts by keywords? Under Settings → Moderation → Muted Words & Tags, set keywords you never want to see. Perfect for avoiding spoilers! 🙈
August 29, 2025 at 4:49 PM
Reposted by time to time
Chicago keeping art alive:
August 29, 2025 at 11:33 AM
ข้าราชการกระทรวงพัฒนามนุษย์และสังคม ด่าเด็กกัมพูชาที่ถูกแจ้งจับแถมเรียกคนที่เรียกร้องให้คุ้มครองสิทธิเด็กว่า พวกมีคุณธรรมสูงส่ง

ขอโทษด้วยที่เพื่อนมึงเป็นคนในกลุ่มมีคุณธรรมสูงส่ง เหอๆๆๆๆๆๆ อยู่ในพม.แท้ๆ ไม่คิดจะให้มันพัฒนาคุณธรรมต่อมนุษย์บ้างหรอ
August 30, 2025 at 1:22 AM
Reposted by time to time
เรื่องชายแดนไทยทั้งในมิติผู้คน เศรษฐกิจ กฎหมาย ฯลฯ เป็นอะไรที่คนไกลรู้น้อยมากจริงๆ เนอะ (นี่ก็ด้วย) บางคนเอาสายตาส่วนกลางไปตัดสินว่าต้องทำงี้ๆๆ โดยไม่รู้เลยว่าหน้างานเขาอยู่กันยังไง หรือมีบริบทเฉพาะยังไง

ตั้งแต่เรื่องไทยกัมพูชาพีคๆ นี่อันฟอลทวิตไปหลายคนละ คือถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจจริงๆ ก็ไม่ต้องพูดก็ได้ปะ 😔
August 29, 2025 at 3:53 AM
Reposted by time to time
ช่วงนี้ไม่ได้หนีจากทวิต เพราะเฟสมันคลั่งกว่าไปแล้ว แล้วความคนไทยเล่นเฟสเยอะมาก มันก็เลยน่ากลัวกว่ามากๆ ตรงที่มันใกล้ตัวชนิดที่อดคิดไม่ได้ว่า หรือลุงป้าน้าอาที่เราเห็นในตลาดตอนไปซื้อกับข้าว อาจจะคิดอะไรแบบในเฟสตอนนี้ก็ได้ 😩
August 29, 2025 at 6:04 AM
Reposted by time to time
อ่านคอมเมนต์ในเฟซบุ๊กคือแบบ ใครอยากช่วยก็เอาไปเลี้ยงที่บ้าน คือจะเอาไปเลี้ยงทำห่าอะไร เขามีพ่อมีแม่มีบ้าน จนกระทั่งพวกมึงไปจับเขามาเนี่ย คือมึงโง่จนไม่เห็นเหตุและผลในความเกลียดชังของตัวเองด้วยซ้ำว่าทำไมต้องเกลียด เกลียดไปทำไม ไล่เขากลับประเทศทำไม แล้วก็ก๊อปคำคนอื่นมาเมนต์เรื่อยๆ เพราะคิดว่าเท่ดีเราได้ทำหน้าที่คนไทยผู้รักชาติ
August 28, 2025 at 11:40 AM
Reposted by time to time
ศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 6:3 ให้ ‘แพทองธาร’ พ้นตำแหน่งนายกฯ ฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง ปมคลิปเสียงฮุนเซน
ศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 6:3 ให้ ‘แพทองธาร’ พ้นตำแหน่งนายกฯ ฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง ปมคลิปเสียงฮุนเซน See Think Fri, 2025-08-29 - 16:45 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก 6:3 ให้ แพทองธาร ชินวัตร พ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มีพฤติกรรมฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง ปมคลิปเสียงสนทนา ‘ฮุนเซน‘ ส่งผลให้ ครม.พ้นตำแหน่งทั้งคณะ 29 ส.ค. 2568 เวลาประมาณ 15.00 น. ศาลรัฐธรรมนูญออกนั่งพิจารณาเพื่ออ่านคำวินิจฉัย กรณีคำร้องที่ประธานวุฒิสภาส่งความเห็นสมาชิกวุฒิสภา (สว.) จำนวน 36 คน ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยความเป็นรัฐมนตรีของ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัวหรือไม่ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82  ว่าความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) ในประเด็นความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และการปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมร้ายแรง กรณีคลิปเสียงสนทนาระหว่างนายกรัฐมนตรี กับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา โดยศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก 6 ต่อ 3  ให้ แพทองธาร พ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มีพฤติกรรมฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง ปมคลิปเสียงสนทนา ‘ฮุนเซน‘ ส่งผลให้คณะรัฐมนตรีพ้นตำแหน่งทั้งคณะ แต่ยังอยู่รักษาการ ตุลาการเสียงข้างมาก 6 เสียง ได้แก่ ปัญญา อุดชาชน, อุดม สิทธิวิรัชธรรม, วิรุฬห์ แสงเทียน, จิรนิติ หะวานนท์, บรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์ และ อุดม รัฐอมฤต วินิจฉัยว่า ความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) โดย ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 4 เสียง คือ ปัญญา อุดชาชน, วิรุฬห์ แสงเทียน, จิรนิติ หะวานนท์ และ บรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์ เห็นว่า ผู้ถูกร้องขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามตาม รัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (4) และ (5) และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 2 เสียง คือ อุดม สิทธิวิรัชธรรม และ อุดม รัฐอมฤต เห็นว่า ผู้ถูกร้องขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (5) ทั้งนี้ นับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคําสั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 ประกอบมาตรา 82 วรรคสอง คือ วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 สำหรับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างน้อย จํานวน 3 เสียง คือ นครินทร์ เมฆไตรรัตน์, นภดล เทพพิทักษ์ และ สุเมธ รอยกุลเจริญ ที่เห็นว่า เป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างไม่ร้ายแรง ความเป็น รัฐมนตรีของผู้ถูกร้องไม่สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) เมื่อเวลา 16.00 น. สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญเผยแพร่เอกสารข่าวระบุว่า วันนี้ ศาลรัฐธรรมนูญประชุมปรึกษาคดี จํานวน 10 เรื่อง มีคดีที่สําคัญและเป็นที่สนใจ ดังนี้ (1) ประธานวุฒิสภาส่งคําร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 42 ว่า ความเป็นรัฐมนตรีของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่ (เรื่องพิจารณาที่ 18/2564) สมาชิกวุฒิสภา รวม 36 คน เข้าชื่อเสนอคําร้องต่อประธานวุฒิสภา (ผู้ร้อง) ว่า ปรากฏ คลิปเสียงการสนทนาระหว่างนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี (ผู้ถูกร้อง) กับสมเด็จ ฮุน เซน ประธาน วุฒิสภาแห่งกัมพูชา เผยแพร่ทางสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2568 ซึ่งผู้ถูกร้องแถลงข่าวยอมรับว่า เป็นเสียงการสนทนาของตนกับสมเด็จ ฮุน เซน จริง แม้ผู้ถูกร้องจะแถลงข่าวในเวลาต่อมาว่าเป็นการพูดคุย ทางโทรศัพท์แบบส่วนตัวโดยมีเจตนาที่จะเจรจาต่อรองอย่างนุ่มนวลเพื่อรักษาไว้ซึ่งความสงบสุขและอธิปไตยของไทย ก็ตาม แต่ผู้เข้าชื่อเสนอคําร้องเห็นว่า ผู้ถูกร้องแสดงออกถึงความนิ่งเฉยและไม่ปฏิบัติหน้าที่โต้ตอบหรือกําหนด มาตรการรวมถึงการเจรจาระหว่างประเทศด้วยตนเองให้เป็นที่ประจักษ์ตามหน้าที่ความรับผิดชอบที่บุคคลผู้อยู่ใน สภาวะ วิสัย และพฤติการณ์แห่งความเป็นนายกรัฐมนตรีพึงกระทํา เพราะเหตุแห่งความสัมพันธ์ส่วนตัวในลักษณะ เป็นฝั่งเดียวกันกับกัมพูชา พร้อมที่จะทําตามหรือจัดการตามที่ฝ่ายกัมพูชาต้องการมาโดยตลอด ส่วนแม่ทัพภาคที่ 2 ผู้ถูกร้องเห็นว่าเป็นฝ่ายตรงกันข้าม ผู้ถูกร้องไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตาม มาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่า ความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) และขอให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ไว้ก่อนจนกว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคําวินิจฉัย ผลการพิจารณา ศาลรัฐธรรมนูญประชุมปรึกษาหารือร่วมกันแล้ว มีมติโดยเสียงข้างมาก (6 ต่อ 3) เสียงข้างมาก คือ นายปัญญา อุดชาชน นายอุดม สิทธิวิรัชธรรม นายวิรุฬห์ แสงเทียน นายจิรนิติ หะวานนท์ นายบรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์ และนายอุดม รัฐอมฤต วินิจฉัยว่า ความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) โดยตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 4 เสียง คือ นายปัญญา อุดชาชน นายวิรุฬห์ แสงเทียน นายจิรนิติ หะวานนท์ และนายบรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์ เห็นว่า ผู้ถูกร้องขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามตาม รัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (4) และ (5) และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 2 เสียง คือ นายอุดม สิทธิวิรัชธรรม และนายอุดม รัฐอมฤต เห็นว่า ผู้ถูกร้องขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (5) ทั้งนี้ นับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคําสั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 ประกอบมาตรา 82 วรรคสอง คือ วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างน้อย จํานวน 3 คน คือ นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ นายนภดล เทพพิทักษ์ และนายสุเมธ รอยกุลเจริญ เห็นว่า เป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างไม่ร้ายแรง ความเป็น รัฐมนตรีของผู้ถูกร้องไม่สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) เมื่อความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (5) แล้ว รัฐมนตรีทั้งคณะต้องพ้นจากตําแหน่งตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 167 วรรคหนึ่ง (1) โดยให้นํามาตรา 168 วรรคหนึ่ง (1) มาใช้บังคับกับการปฏิบัติหน้าที่ของคณะรัฐมนตรีที่พ้นจากตําแหน่งต่อไป    * ข่าว * การเมือง
dlvr.it
August 29, 2025 at 9:52 AM
Reposted by time to time
#BREAKING: Thai PM Paetongtarn Shinawatra dismissed as Prime Minister

Thai Const. Court finds her guilty of ethics and integrity violations in leaked call with Cambodian ex-PM Hun Sen.

Thailand's 31st and 2nd female PM - incl the whole cabinet - is removed from office.
August 29, 2025 at 8:47 AM
งานเหนื่อย ค่าครองชีพสูง ประเทศเหี้ยอีก วนลูปปปปปป
August 29, 2025 at 10:04 AM
Reposted by time to time
'รถเมล์' มิตรเก่าแก่คนกรุง สำรวจ 1 ปีหลังปฏิรูปเส้นทาง-สายรถ อนาคตเป็นอย่างไร เมื่อรถไฟฟ้า 20 บาท
'รถเมล์' มิตรเก่าแก่คนกรุง สำรวจ 1 ปีหลังปฏิรูปเส้นทาง-สายรถ อนาคตเป็นอย่างไร เมื่อรถไฟฟ้า 20 บาท รายงาน: ภัททิยา โอถาวร XmasUser Thu, 2025-08-14 - 17:18 ช่วงเวลานี้ของปีที่แล้ว (2567)  มีการ ‘ปฏิรูปใหญ่’ เส้นทางเดินรถ-สายรถเมล์-ระบบสัมปทาน ใน กทม. ครบรอบ 1 ปีสถานการณ์เป็นเช่นไร แรงเสียดทานต่างๆ มีอะไรบ้าง ได้รับการตอบรับแค่ไหน มีการปรับปรุงแค่ไหน อนาคตหากรถไฟฟ้าราคา 20 บาท ฟังก์ชั่นของรถเมล์ควรอยู่ตรงไหน มันจะยังเป็นที่ต้องการหรือไม่    รถเมล์ขนส่งสาธารณะที่อยู่คู่คนไทยมาอย่างยาวนาน หลายๆ คนมีความผูกพันอย่างพิเศษ แต่ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีรถเมล์ที่เราเห็นส่วนใหญ่ยังคล้ายเดิม และการรอคอยก็มักยาวนาน ช่วงเวลานี้เมื่อปีที่แล้ว รถเมล์ไทยเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ นั่นคือการเปลี่ยนเส้นทางเดินรถตามแผนปฏิรูปปี 2560 ส่งผลให้บางสายไม่มีรถวิ่งอีกต่อไป บางสายเปลี่ยนเส้นทาง บางสายมีเพียงรถเอกชนวิ่ง หนำซ้ำเลขสายยังมีการเปลี่ยนแปลงเช่น 510 เป็น 1-19, 178 เป็น  2-50, 206 เป็น 3-30 สร้างความโกลาหลให้ผู้ใช้งานไม่น้อย 1 ปีผ่านมานับตั้งแต่การเดินตามแผนปฏิรูปฯ กล่าวได้ว่าต้องเผชิญแรงเสียดทานโดยตลอด เห็นได้จากสหภาพแรงงาน ขสมก.ประท้วงในปี 2566 ต่อมามูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ยื่นข้อเสนอแนะหลังเปลี่ยนเส้นทางเดินรถในปี 2567 แต่จุดเริ่มต้นของแผนปฏิรูปอยู่ที่ไหน ส่งผลกระทบอย่างไร  และในวันที่กำลังจะมี ‘รถไฟฟ้า 20 บาท’ รถเมล์ยังเป็นที่ต้องการอยู่หรือเปล่า? อนาคตของรถเมล์ไทยจะเป็นเช่นไร ?  ประกาศเปลี่ยนเส้นทางการเดินรถของรถเมล์สาย 178 รู้จักแผนปฏิรูปรถเมล์ เริ่มยังไง-เพื่ออะไร? นฤมล เมฆบริสุทธิ์ รองผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคกล่าวว่า จุดเริ่มต้น ‘แผนปฏิรูปฯ’ เกิดจากการที่องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ประสบภาวะขาดทุนอย่างยาวนาน จึงนำมาสู่งานวิจัยของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) และสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ซึ่งต่อมากลายมาเป็นแผนปฏิรูปรถเมล์  นฤมล เมฆบริสุทธิ์ รองผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค จากบทสัมภาษณ์ของ ดร.สุเมธ องกิตตุกุล ผู้อำนวยการด้านนโยบายการขนส่งและโลจิสติกส์ TDRI ซึ่งมีส่วนร่วมในการศึกษาวิจัยและเสนอแนะต่อกรมขนส่งทางบกระบุว่า แผนการปฏิรูปต้องการแก้ไขใน 3 ประเด็น * เส้นทางล้าสมัย * คุณภาพรถของ ขสมก. และรถร่วม * สภาพแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ จุดจอด ป้ายรถเมล์ ประเด็นการปรับเส้นทางนั้น เป็นไปเพื่อให้เส้นทางการเดินรถสั้นลงและทับซ้อนกันน้อยลง เช่น ช่วงจตุจักร-อนุสาวรีย์ชัย เดินรถกันจำนวนมาก จึงแก้ปัญหาโดยการแบ่งให้บางสายที่แต่เดิมวิ่งแนวพหลโยธินไปวิ่งเส้นพระราม 6 เพื่อกระจายพื้นที่บริการ สุเมธกล่าวว่าการปรับเช่นนี้ คนที่เดินทางในระยะทางสั้นจะได้รับผลกระทบไม่มาก แต่คนที่ใช้รถเมล์เดินทางในระยะทางยาว การปรับเส้นทางเดินรถให้สั้นลงอาจทำให้ต้องต่อรถเมล์ นอกจากการปรับเส้นทางรถเมล์ที่กระทบผู้บริโภคแล้ว ยังมีประเด็นนโยบาย 1 เส้นทาง 1 ผู้ประกอบการซึ่งส่งผลต่อการขอใบอนุญาต ทั้งนี้ ก่อนหน้าแผนปฏิรูปฯ มีการเดินรถ 3 รูปแบบ ได้แก่ * ขสมก. วิ่งรายเดียว * ขสมก. วิ่งร่วมกับเอกชน * เอกชน วิ่งรายเดียว ในการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างนี้ กรมขนส่งทางบกใช้วิธีเอาเส้นทางทั้ง 269 เส้นทางให้ ขสมก.เลือกก่อน โดยมีเงื่อนไขว่า ขสมก.ต้องเลือกเส้นทางเดิมที่มีอยู่แล้ว เพราะมีการลงทุนในการดูแลรถเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ด้านโครงสร้างหน่วยงานก็เปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน จากเดิมที่ ขสมก.เป็นผู้ถือสัมปทานแล้วจึงค่อยนำมาแบ่งให้เอกชน  ปัจจุบันกรมการขนส่งทางบกเป็นผู้ดูแลให้สัมปทาน โดยกำหนดให้เป็นลักษณะ 1 สาย 1 ผู้ประกอบการเท่านั้น ทำให้ ขสมก.และเอกชนไม่สามารถวิ่งร่วมเส้นทางกันได้ เหตุผลเพื่อป้องกันการแย่งผู้โดยสารแบบที่เคยเกิดขึ้นกับรถเมล์สาย 8 จากการพูดคุยกับนฤมลระบุว่า ก่อนหน้าแผนปฏิรูปฯ ขสมก.ถือใบอนุญาต 207 เส้นทาง แต่พอเปลี่ยนเส้นทางเมื่อปีที่แล้ว ขสมก.ถือใบอนุญาตอยู่ 107 เส้นทาง ขณะที่อีก 123 เส้นทางเป็นบริษัทเอกชน เช่น บริษัท ไทย สมายล์ บัส จำกัด เป็นผู้ถือใบอนุญาต ณ ปัจจุบันมีเส้นทางทั้งหมด 230 เส้นทางที่มีผู้ประกอบการให้บริการการเดินรถ ขณะที่อีก 39 เส้นทางเป็นเส้นทางที่ไม่มีใครถือใบอนุญาตการเดินรถ 'คลองพิทยาลงกรณ์' ชุมชนที่ถูกละทิ้งตามแผนปฏิรูปฯ  เมื่อ ขสมก.ถือใบอนุญาตลดลง และมีเส้นทางที่ยังไม่มีผู้ถือใบอนุญาตมากถึง 39 เส้นทาง ทำให้บางชุมชนที่รถไฟฟ้ายังไปไม่ถึงและมีเพียงรถเมล์ให้บริการถูกละทิ้ง เช่น 'ชุมชนคลองพิทยาลงกรณ์' ชุมชนคลองพิทยาลงกรณ์เป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดสมุทรสาคร นฤมลเล่าว่า ก่อนปฏิรูป ชุมชนดังกล่าวมีรถเมล์สาย 68 ที่ให้บริการตั้งแต่บางลำพูจนถึงสมุทรสาคร หลังปฏิรูปให้เดินรถสั้นลง ทำให้รถเมล์ให้บริการไม่ถึงขุมชนคลองพิทยาลงกรณ์ สร้างความลำบากให้กับนักเรียนและประชาชนที่เดินทางโดยอาศัยรถสาธารณะ เพราะนอกจากรถเมล์แล้วชุมชนนี้ไม่มีรถสาธารณะอื่นๆ เช่น รถสองแถว ให้บริการ 1 สาย 1 ผู้ประกอบการ ยังมีปัญหาหลายจุด นฤมล ยังระบุว่า หนึ่งในข้อเสนอ 13 ข้อที่ทางมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคได้ยื่นต่อกรมขนส่งทางบกคือ ‘ข้อเสนอเรื่องราคาที่เป็นธรรม’ นโยบาย 1 สาย 1 ผู้ประกอบการทำให้ผู้ถือสวัสดิการแห่งรัฐไม่สามารถใช้สิทธิ์ได้บนรถเมล์เอกชน  ทั้งนี้ บัตรผู้ถือสวัสดิการแห่งรัฐ หรือในชื่อบ้านๆ ว่า ‘บัตรคนจน’  คือมาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย ผู้ถือบัตรดังกล่าวจะได้รับส่วนลดค่าเดินทางขนส่งมวลชนสาธารณะ ในปัจจุบันยังไม่สามารถใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐกับรถเอกชนได้ ด้านวรวิทย์ ชาญชญานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายปฏิบัติการและกลยุทธ์ บริษัท ไทย สมายล์ บัส จำกัด ระบุว่าไม่เกินต้นปี 2569 รถเมล์ไทย สมายล์ บัส จะจัดการระบบเพื่อรองรับบัตรคนจน นอกจากนี้ยังมีประเด็นว่าเอกชนมักให้บริการแต่รถแอร์เพียงอย่างเดียว ซึ่งมีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 15 บาท แตกต่างจากรถแอร์ (ยูโรทู) คันสีส้มที่มีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 13 บาท และหากเป็นรถเมล์ร้อนของ ขสมก. ก็มีราคาเพียง 8 บาทตลอดสาย นฤมลมองว่าการให้เอกชนวิ่งสายเดียวโดยวิ่งรถแอร์อย่างเดียวซึ่งมีราคาสูงเกือบเป็นสองเท่าจากราคารถเมล์ร้อนเป็นการสร้างภาระให้กับประชาชนโดยเฉพาะกลุ่มคนที่กำลังอยู่ในวัยเรียน นอกจากนี้ยังพบว่าเอกชนบางรายไม่สามารถเดินรถได้อย่างเพียงพอ เช่น สาย 30 ที่รับผิดชอบโดยบริษัทเอกชน ช่วงแรกหลังปฏิรูปรถเมล์ สาย 30 ขาดระยะค่อนข้างนาน ปัญหานี้ยังคงมีอยู่ในปัจจุบัน จากการพูดคุยกับประชาชนวัยกลางคนที่กำลังรอรถเมล์หน้าธนาคารแห่งประเทศไทย (เมื่อ 20 ก.ค. 2568) ระบุว่าบ้านของเธอนั้นสามารถนั่งรถเมล์สาย 30 แต่เธอต้องรอรถเมล์สาย 3 แทนเพราะว่าสาย 30 มักขาดระยะ นฤมล มองว่าอยากให้มีกระบวนการติดตามความเพียงพอของรถ และช่องทางให้ ขสมก.วิ่งช่วยเอกชนหรือเอกชนวิ่งช่วย ขสมก.ในช่วงเวลาเร่งด่วน นฤมล ยังเสนอให้จัดหารถวิ่งให้ครอบคลุมทุกเส้นทาง ซึ่งกรมขนส่งทางบกต้องเป็นผู้รับผิดชอบในส่วนนี้ นอกเหนือจากนี้มูลนิธิผู้บริโภคยังผลักดันในเรื่องของ 'ตั๋วร่วม' เพื่อเป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายในขนส่งสาธารณะให้แก่ประชาชน เเผนผังการเดินรถที่ติดอยู่ข้างรถเมล์ ไทย สมายล์ บัส ป้ายรถเมล์อัจฉริยะ ตั๋วร่วม คือ ใช้บัตรใบเดียวใช้บริการขนส่งสาธารณะได้ทุกรูปแบบ ตั้งแต่ระบบราง เรือ รถ โดยมีการจำกัดราคาเพดานไม่ว่าจะขึ้นระบบขนส่งใดก็ตาม เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2568 สภาผู้แทนราษฎรฯ ได้รับร่างพระราชบัญญัติการบริหารจัดการตั๋วร่วม หรือพ.ร.บ. ตั๋วร่วม ทั้งของพรรคประชาชนและคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งร่างของครม.มีเพื่อสนับสนุนระบบขนส่งสาธารณะในราคา 20 บาท  ทั้งนี้ปัจจุบัน พ.ร.บ ตั๋วร่วมอยู่ในชั้นกรรมาธิการของสภา นฤมล มองว่า ขสมก.ควรมีการประชาสัมพันธ์ให้ทั่วถึงมากกว่านี้ ซึ่งเธอสนับสนุนให้มีการติดแผนผังการเดินรถให้ครอบคลุมทุกคัน เพราะกลุ่มผู้สูงอายุหรือกลุ่มเปราะบางอาจเข้าไม่ถึงแอปพลิเคชัน "Viabus" ที่เอาไว้ติดตามเส้นทางการเดินรถได้ เธอยังมองว่าป้ายรถเมล์อัจฉริยะซึ่งสามารถบอกได้ว่ารถเมล์จะมาภายในกี่นาที ควรเป็นสิ่งที่มีทุกป้ายได้แล้ว และยังผลักดันในเรื่องรถเมล์ที่รองรับวีลแชร์ หากเป็นรถเมล์รุ่นใหม่จะมีทางลาดเพื่อรองรับวีลแชร์ แต่ปัจจุบันทุกคันยังไม่เป็นเช่นนั้น  เมื่อเส้นทางรถเมล์เปลี่ยนไม่ทันเมือง  'แวน' วริทธิ์ธร สุขสบาย หนึ่งในทีมศูนย์การทดลองเมืองกรุงเทพมหานคร และอดีตผู้ร่วมก่อตั้งกลุ่ม "Mayday" หรือ ‘เมล์เดย์’ ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่สนใจการแก้ปัญหาขนส่งสาธารณะด้วยการใช้ความคิดสร้างสรรค์ หลายคนอาจจะเคยเห็นผลงานของ "Mayday" มาแล้วเช่น ป้ายรถเมล์ที่บอกว่ารถเมล์แต่ละสายวิ่งไปบนถนนเส้นใด นอกจากนี้ วริทธิ์ธรยังเป็นคนหนึ่งที่ชื่นชอบรถเมล์และโดยสารรถเมล์มาอย่างยาวนาน เขาบอกว่า “เริ่มขึ้นรถเมล์ตั้งแต่จำความได้” วริทธิ์ธร สุขสบาย ป้ายรถเมล์จากกลุ่ม Mayday เขามองว่า รถเมล์ไทยเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้นในแง่ของการบริการที่ดีขึ้นกว่าแต่ก่อน เมื่อก่อนมักมีภาพจำในการบริการของรถเมล์ร่วมบริการที่ขับซิ่งแย่งผู้โดยสาร แต่ในปัจจุบันการเข้ามาของรถเมล์ไฟฟ้าปรับอากาศของผู้ประกอบการเอกชน ทำให้มาตรฐานของรถเมล์ ขสมก. และรถเมล์เอกชนไม่ได้แตกต่างกันมากนัก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการบริการ, สภาพรถ และบัตรเดินทางประเภทต่างๆ "อย่างเมื่อเช้าเรานั่งรถเมล์มา คนขับขับลืมจอดป้าย สิ่งที่คนขับและกระเป๋ารถเมล์กล่าวกับผู้ใช้บริการคือ 'ขอโทษ' ซึ่งไม่ใช่การขอโทษแบบขอไปที เป็นสิ่งที่เราไม่ได้คาดหวังสิ่งนี้กับรถเมล์เอกชน" วริทธิ์ธร ยกตัวอย่าง  อย่างไรก็ตาม วริทธิ์ธร มองว่าการขึ้นรถเมล์ในปัจจุบันไม่สนุกเท่าเมื่อก่อน ด้วยรุ่นรถของรถเมล์ที่ไม่หลากหลายเท่าอดีต  รถเมล์ครีมเเดงที่ให้บริการตั้งเเต่ปี 2534 รถเมล์เบนซ์ปาดาเน่ รถเมล์ก๊าซ NGV รถเมล์พ่วง วริทธิ์ธร มองว่าไม่แปลกนักที่การปฏิรูปในครั้งนี้จะเจอแรงเสียดทาน เพราะนับตั้งแต่กฎหมายสัมปทานในปี 2497 มีการปรับเส้นทางครั้งใหญ่ในช่วง 10-20 ปีแรก แต่หลังจากปี 2525 สายรถเมล์แทบจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเส้นทางเลย ใช้วิธี 'ขยายเส้นทาง' ออกไปตามเมืองที่ขยาย อาทิ สาย ปอ.15 (ปัจจุบันคือสาย 514) ก่อนหน้านั้นสายดังกล่าววิ่งแฮปปี้แลนด์-สีลม แต่ภายหลังมีการต่อระยะทางไปจนถึงสุขาภิบาล 3 (ถนนรามคำแหงในปัจจุบัน) และขยายเส้นทางมาจนถึงมีนบุรีแบบทุกวันนี้ตามเมืองที่ขยายออกไปบริเวณมีนบุรี, เกษตร-นวมินทร์ วริทธิ์ธรมองว่าในอดีตการขยายเส้นทางการเดินรถไม่ได้มีปัญหาเพราะการจราจรบนถนนยังไม่หนาแน่น แต่ปัจจุบันด้วยจำนวนรถยนต์ที่เพิ่มขึ้นบนถนนทำให้การขยายเส้นทางไม่มีประสิทธิภาพ วริทธิ์ธรมองว่าการที่รถเมล์จะเดินรถอย่างมีประสิทธิภาพก็ต่อเมื่อ 8 ชั่วโมง (1 กะของพนักงานขับรถเมล์) วิ่งได้ขั้นต่ำ 2 รอบ เมื่อรถเมล์วิ่งไม่ทันรอบทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า ‘รถเสริม’ ถึงแม้เป้าประสงค์หลักของรถเสริมจะมีเพื่อไม่ให้รถเมล์ขาดระยะ แต่ในปัจจุบันรถเมล์เสริมในหลายๆ เส้นกลับวิ่งเพื่อทำรอบจนทำให้ผู้ใช้บริการรถเมล์หงุดหงิด เพราะให้บริการไม่เต็มระยะทาง เช่น รถเมล์สาย 24 ประชานิเวศน์ 3-จุฬาลงกรณ์ แต่รถเสริมสาย 24 จะให้บริการถึงแค่อนุสาวรีย์ชัยฯ "อย่างสาย 73 เราจะเจอบ่อยมากว่าทำไมไม่ไปเยาวราช ทำไมขากลับไม่ถึงลาดพร้าว เราว่าถ้าแยกเส้นทางออกมาแล้ววิ่งให้เต็มรอบน่าจะดีกว่า’  การตัดเส้นทางให้สั้นลงของแผนปฏิรูป สำหรับวริทธิ์ธร มองว่า เป็นเรื่องที่ดีหากการการทำให้ระยะทางสั้นลงแล้วรถเมล์สามารถวิ่งเต็มรอบได้และไม่ขาดระยะนาน แต่เป้าประสงค์ที่ดีนี้ไม่ถูกประชาสัมพันธ์ออกไป "แต่ทั้งนี้เส้นทางมันถูกคิดในบริบทของปี 2559 แล้ว 7 ปีต่อมาทุกอย่างมันเปลี่ยนไปหมดแล้ว" วริทธิ์ธร กล่าวพร้อมขยายความว่า เส้นทางในแผนปฏิรูปฯ เป็นสิ่งที่คิดมาตั้งแต่ปี 2559 แต่ใช้จริงในปี 2567 ซึ่งวริทธิ์ธร มองว่า บริบทเมืองหลายๆ อย่างเปลี่ยนไปแล้ว เขายกตัวอย่างเหตุการณ์ที่ทำให้เส้นทางการเดินรถเมล์เปลี่ยนแปลงไปคือ "เหตุการณ์สวรรรคตในหลวงรัชกาลที่ 9" ซึ่งในช่วงนั้นบริเวณสนามหลวงมีการปิดถนนหน้าพระลานส่งผลให้รถเมล์บางสายเช่น สาย 1, 25, 44, 47 ฯลฯ มีการปรับเส้นทางจนถึงทุกวันนี้ ถัดมาในปี 2563-2565 ภายใต้การแพร่ระบาดของโควิด-19 ผู้คนในกรุงเทพฯ เลือกซื้อรถยนต์แทนที่การขึ้นรถสาธารณะทำให้มีรถยนต์จำนวนสะสมเพิ่มขึ้น ถัดมาในปี 2566 รถไฟฟ้าสายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) และสายสีชมพู (แคราย-มีนบุรี) ทำให้ถนนบางเส้นปริมาณรถยนต์บนถนนลดลง เช่น ถนนลาดพร้าว ในทางกลับกันปริมาณรถยนต์ในเมืองบริเวณสยามเพิ่มสูงขึ้น ในปัจจุบันสำนักงานหลายๆ แห่งก็กระจุกตัวอยู่ที่ถนนพระราม 4 ห้าแยกลาดพร้าว  แต่แผนปฏิรูปฯกลับคิดภายใต้บริบทเมืองเมื่อ 7 ปีก่อน ซึ่งวริทธิ์ธร มองว่าล้าสมัยไปแล้ว "มันตามเมืองไม่ทันไปแล้ว พฤติกรรมการใช้ชีวิตคนมันเปลี่ยน" เขากล่าว  รถเมล์สาย 8 ขณะจอดป้ายอนุสาวรีย์ชัยฯ เกาะพหลโยธิน ผังเมืองเปลี่ยน วิถีชีวิตคนเปลี่ยน แต่รถเมล์ไม่เปลี่ยนตาม ถัดมา วริทธิ์ธร อธิบายเส้นทางรถเมล์ที่ไม่ครอบคลุมผังเมืองใหม่อันเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้คนใช้บริการรถเมล์น้อยลง จากการเทียบสัดส่วนพบว่า คนใช้บริการรถเมล์หายไปร้อยละ 80 เมื่อเทียบจากช่วงปี 2543 เขากล่าวว่าช่วง 20 ปีที่ผ่านมาผู้คนที่แต่เดิมอาศัยอยู่ในเมืองเก่า ได้ย้ายออกมาบริเวณเกษตร-นวมินทร์, นนทบุรี เมืองค่อยๆขยายออกมาเรื่อยๆ แต่รถเมล์กลับไปไม่ถึงบริเวณที่เมืองขยายออกมาเช่น เกษตร-นวมินทร์ นอกจากนี้ยังมีบริเวณเมืองที่ขยายใหม่ซึ่งมีความเป็น ‘Super Block’ หรือมีลักษณะเป็นบล็อกสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่มากๆ ทำให้ไม่สามารถเดินไปหาย่านแต่ละย่านได้ เช่น ไม่สามารถเดินจากรามอินทรามาเกษตร-นวมินทร์ได้ หากระบบขนส่งสาธารณะระดับรอง (Feeder) ไม่มีประสิทธิภาพมากพอ จะเป็นการผลักให้ประชาชนออกจากระบบขนส่งสาธารณะและหันมาใช้รถยนต์ส่วนตัวแทน  หมายเลข 1 ถนนรามอินทรา, หมายเลข 2 ถนนเกษตร-นวมินทร์ ถนนประเสริฐมนูกิจ ขณะที่ผังเมืองเก่ามีลักษณะที่ไม่ได้เป็นบล็อกขนาดใหญ่ ทำให้สามารถเดินเชื่อมสีลม-สุรวงศ์-สี่พระยา-สาทร เช่นเดียวกับบริเวณเยาวราช-เจริญกรุง-บำรุงเมือง ทำให้การเดินทางด้วยรถเมล์ในผังเมืองลักษณะดังกล่าวจะทำได้ง่ายกว่า เพราะสามารถเดินเชื่อมแต่ละย่านได้ ซึ่งแตกต่างจากผังเมืองในบริเวณเมืองที่ขยายใหม่ อย่างไรก็ดีเส้นทางรถเมล์ยังเป็นเส้นทางรูปแบบเดิม และความถี่ของรถเมล์ก็ลดลง "เวลาของคน มันรอไม่ได้มากขึ้น แต่เวลาของรถเมล์ มันนานขึ้น คำถามคือใครจะรอ" รถเมล์จะหายไปเพราะรถไฟฟ้า? หากพูดถึงขนส่งสาธารณะในกรุงเทพมหานคร บริการที่มีบทบาทสูงอีกอย่างคือ BTS, MRT ถึงแม้รถไฟฟ้าจะสามารถพาผู้คนไปจุดหมายปลายทางได้เหมือนกัน แต่บรรยากาศระหว่างทางแตกต่างกัน วริทธิ์ธร มองว่า บรรยากาศของรถเมล์กับรถไฟฟ้าแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ชนชั้นของผู้โดยสารก็แตกต่างกันด้วยราคาของรถไฟฟ้าที่ค่อนข้างสูง ราคา BTS เริ่มต้นที่ 17 บาท ราคาสูงสุดอยู่ที่ 62 บาท ขณะที่ MRT เริ่มต้นอยู่ที่ 17 บาท ราคาเพดานอยู่ที่ 45 บาท แตกต่างจากราคารถเมล์ปรับอากาศ NGV ที่เริ่มต้น 15 บาท ราคาเพดานจะอยู่ที่ 25 บาท รถร้อนราคา 8 บาทตลอดสาย ด้วยราคาที่ต่างกันมาก ราคาจึงกลายเป็นตัวคัดกรองชนชั้นของผู้โดยสาร ฉะนั้นเวลาขึ้นรถไฟฟ้าจึงไม่ค่อยพบชนชั้นแรงงาน ส่วนใหญ่จะพบพนักงานออฟฟิศหรือคนที่ดูมีฐานะหน่อย สิ่งที่เปรียบเสมือนจุดแข็งของรถเมล์คือ 'รถเมล์กลางคืน' ซึ่งให้บริการทั้งคืน แตกต่างจากรถไฟฟ้า BTS สายสุขุมวิทที่ให้บริการตั้งแต่เวลา 05.15-24.00 ขณะที่รถไฟฟ้า​ MRT ให้บริการตั้งแต่ 06.00-24.00 วริทธิ์ธร ได้ยกตัวอย่างเส้นทางปากน้ำ-ชิดลม, คปอ.สยาม ซึ่งมีผู้ใช้บริการทั้งคืน นั่นคือเหตุผลว่าทำไมยังต้องมีรถเมล์ แม้เส้นทางเดินรถจะขนานกับรถไฟฟ้าก็ตาม ในต่างประเทศ เช่น อังกฤษ ผู้คนก็สามารถเดินทางโดยมีตัวเลือกทั้ง 2 ทาง แต่สำหรับบริบทประเทศไทยด้วยราคาค่าโดยสารที่แตกต่างกันอย่างมากทำให้รถไฟฟ้ายากที่จะแทนที่รถเมล์ทั้งหมด เว้นแต่จะมีการอุดหนุนจากภาครัฐที่ทำให้ค่าโดยสารถูกลง แต่ด้วยบริบทกรุงเทพมหานครที่รถไฟฟ้าไม่ได้เข้าถึงทุกพื้นที่ ทำให้รถเมล์ยังมีความสำคัญอยู่ และในบางสถานการณ์รถไฟฟ้าไม่สามารถเดินรถได้ เช่น เหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 รถไฟฟ้าอย่าง BTS และ MRT ต่างไม่สามารถให้บริการได้เพราะต้องประเมินความปลอดภัย หรือ ช่วงมิถุนายน ปี 2561 BTS ขัดข้อง 4 ครั้งในเดือนเดียว หมายเลข 1 สี่พระยา, หมายเลข 2 สุรวงศ์, หมายเลข 3 สีลม, หมายเลข 4 สาธร เลขสายขัดกับบริบทเมืองกรุง การเปลี่ยนเลขสายตามแผนปฏิรูปเป็นสิ่งหนึ่งที่ได้รับแรงเสียดทานอย่างมาก ที่ผ่านมารถเมล์เคยเปลี่ยนแปลงเลขสายมาแล้ว 4 ครั้ง แต่ครั้งที่เปลี่ยนแปลงแล้วสำเร็จมีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น การเปลี่ยนแปลงในปี 2544 ที่สามารถทำได้สำเร็จซึ่งคือการปรับเลขรถปรับอากาศโดยปรับให้กลายเป็นเลข 3 หลัก แทนที่ ปอ.XX (2 หลัก) ตามแบบเดิม วริทธิ์ธรอธิบายว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนั้นมันมีความสมเหตุสมผลในการเปลี่ยนและการเปลี่ยนสามารถป้องกันการสับสนได้จริง เช่น ตัวอย่าง ปอ.7 สำโรง-สายใต้ (ปัจจุบันคือสาย 507) กับ ปอ.สาย 7 ศีกษานารีวิทยา-หัวลำโพง การเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ช่วยให้ประชาชนไม่สับสนสายรถเมล์ อีกหนึ่งสิ่งที่การเปลี่ยนแปลงครั้งนั้นต้องการทำคือการเอาตัวพยัญชนะออกจากสายรถเมล์ วริทธิ์ธรยกตัวอย่างว่าสาย ป.25ค "สมมติว่าเราพูดว่าวันนี้มาทำงานที่รัชดา นั่งสาย ป.25ค มา มันดูแปลก ยากต่อการจดจำ" เขากล่าว และเสริมว่าปัจจุบันสาย ป.25ค หลังการปฏิรูปในปี 2544 ได้เปลี่ยนเป็น 179 วริทธิ์ธรขยายความถึงรูปแบบสายรถเมล์ใหม่ว่า แผนปฏิรูปได้แบ่งกรุงเทพฯ เป็น 4 ส่วน โดยใช้เลขตัวหน้าเป็นการบอกว่ารถคันนี้วิ่งมาจากไหน * ขึ้นต้นด้วยเลข 1 วิ่งมาจากโซนกรุงเทพฯ ตอนบนทั้งหมด รังสิต มีนบุรี หนองจอก ลาดกระบัง * ขึ้นต้นด้วยเลข 2 วิ่งมาจากนนทบุรี บางกะปิ * ขึ้นต้นด้วยเลข 3 วิ่งมาจากกรุงเทพฯ ตอนใต้ * ขึ้นต้นด้วยเลข 4 วิ่งมาจากธนบุรี การแบ่งในรูปแบบดังกล่าวคือการที่สายรถเมล์ต้องบอกต้นทางการเดินรถได้ซึ่งเหมือนกับนิวยอร์ก, โซล, โอกแลนด์, เบอร์ลิน ซึ่งวริทธิ์ธรมองว่าอาจจะต่างบริบทกรุงเทพฯ เพราะรถเมล์ในกรุงเทพมันไม่ได้วิ่งเข้าหาใจกลางเมือง แต่มันวิ่งข้ามไปข้ามมา ปัญหาของการแบ่งกรุงเทพฯ เป็น 4 ส่วนอีกประการคือการที่มีนบุรีและรังสิต อยู่ในเขต 1 เหมือนกันทั้งที่ในความเป็นจริงมีนบุรีและรังสิตอยู่กันคนละจังหวัด การนับว่ารถเมล์สายนี้ควรอยู่เขตอะไรก็มีปัญหา เช่น 206 ที่วิ่งจากอู่เมกาบางนามาอู่บางเขนควรอยู่ในเขต 3​ (อู่เมกาบางนา)  หรือ 1 (อู่บางเขน) และยังตั้งข้อสังเกตว่ายิ่งหากมีการสลับต้นทางกันแล้วต้องเปลี่ยนเลขสายอีกครั้งทั้งที่เส้นทางเหมือนเดิม วริทธิ์ธร ระบุว่า จุดประสงค์ของการแบ่งเลขสายที่บอกต้นทางเพื่อให้คนกลับบ้านถูก แต่ด้วยบริบทกรุงเทพฯ อาจไม่เป็นเช่นนั้น อย่างไรก็ดีเมืองอย่างลอนดอน สิงคโปร์ และอีกหลายๆ เมืองที่ขนส่งสาธารณะดีอันดับต้นๆ ของโลก ก็ไม่ได้ใช้รูปแบบสายรถดังกล่าว แต่ใช้ในการเรียงสายไปเรื่อยๆ เหมือนที่ไทยใช้ก่อนจะมีแผนปฏิรูปฯ สำหรับวริทธิ์ธรมองว่าเลขสายไม่จำเป็นต้องบอกต้นทางก็ได้ ความสำคัญคือการเข้าถึงข้อมูล ขอให้มีข้อมูลที่บอกว่ารถคันนี้วิ่งเส้นทางอะไรก็เพียงพอแล้ว เพราะบางคนใช้บริการรถเมล์ในระยะทางสั้นๆ ทางออกของรถเมล์ไทย ? ความต่อเนื่องของรถเมล์มีส่วนในการดึงดูดให้คนมาใช้ วริทธิ์ธร กล่าวว่า คนส่วนใหญ่ในตอนนี้มีภาพจำว่ารถเมล์ครีมแดงที่เคยขึ้นตอนสมัยเรียนยังให้บริการอยู่ ทำให้รู้สึกไม่อยากขึ้นเพราะเก่า คนส่วนใหญ่จำรถเมล์ได้จากการมาถี่ ส่วนช่องทางการเดินรถโดยสารสาธารณะหรือ Bus Lane สิ่งดังกล่าวไม่ได้เป็นสิ่งใหม่ในประเทศไทยเพราะเมื่อปี 2553 ได้มีการให้บริการ BRT หรือรถโดยสารพิเศษ ซึ่งจะมีช่องเดินรถเป็นของตัวเอง แต่ท้ายที่สุดก็ต้องยอมให้รถส่วนตัวเข้าไปวิ่งในช่องทางเดินรถ BRT วริทธิ์ธรมองว่าช่องทางการเดินรถสาธารณะคือตัวแปรสำคัญเพราะทุกวันนี้ที่รถเมล์ไม่สามารมาได้ต่อเนื่องได้ส่วนหนึ่งเป็นเพราะรถเมล์ติดอยู่บนถนน และหากรถเมล์ไม่ต้องติดอยู่บนถนนจะทำให้ใช้จำนวนรถเมล์ลดลงแต่สามารถเคลื่อนย้ายคนได้ 50-60 คนใน 1 คัน  ความจุของรถเมล์ร้อนครีม-เเดงที่ระบุอยู่ข้างรถ ในส่วนของการประชาสัมพันธ์นั้นวริทธิ์ธรมองว่า ขสมก. ไม่ค่อยโฆษณาตัวเองเท่าไร ทั้งที่รถเมล์ไทยในบางเส้นทางระยะเวลาเดินทางเท่ากับรถไฟฟ้าในราคาที่ถูกกว่า ตัวอย่างเช่นสาย 50 ท่าน้ำพระราม 7-สวนลุมพินี หากนั่งมาบริเวณจุฬาฯ จะใช้เวลาเท่าๆ กับรถไฟฟ้าในราคาที่ถูกกว่า ราคาค่าโดยสารเป็นสิ่งหนึ่งที่ดึงดูดและผลักไสผู้ใช้บริการในเวลาเดียวกัน วริทธิ์ธร กล่าวว่า หากรถไฟฟ้าราคา 20 บาท ราคารถเมล์ในปัจจุบันจะไม่น่าดึงดูดทันที เพราะในรถเมล์รุ่นใหม่อย่าง รถเมล์ NGV สีฟ้าของ ขสมก. มีช่วงราคา 20 บาทที่ค่อนข้างกว้าง อย่างนั่งสาย 511 จากสตรีวิทยาไปเซ็นทรัลเวิลด์ก็ราคา 20 บาทแล้ว ทั้งที่รถยูโรสีส้มราคาประมาณ 13-15 บาท การปรับเส้นทางเป็นสิ่งสำคัญแต่ต้องคิดถึงบริบทเมืองในวันที่แผนมีการใช้ วริทธิ์ธรกล่าวว่าหากจะเริ่มใช้แผนปฏิรูปเส้นทางในวันที่รถไฟฟ้าสายสีม่วงและส้มให้บริการก็ควรคำนึงถึงบริบทเมือง วีถีชีวิตคนทีเปลี่ยนไปด้วย หรือการปรับเส้นทางการเดินรถให้ทันการขยายตัวของเมือง อาทิ เขตสายไหมซึ่งเป็นเขตที่มีประชาชนหนาแน่นมากที่สุดกลับไม่มีรถเมล์จากถนนเส้นหลักเข้าไปให้บริการ หรือเส้นเกษตร-นวมินทร์ ราชพฤษ์  "จริงอยู่ที่ว่าให้มีสายรถเมล์วิ่งออกมาที่จุดเชื่อมต่อรถไฟฟ้า แต่มันอาจจะสามารถดึงเข้าเมืองมาได้ไกลกว่านั้น แค่ยังไม่มีใครเห็นศักยภาพของมัน" ประชาชนกำลังขึ้นรถเมล์สาย 178 ซึ่งเป็นรถเมล์เพียงไม่กี่สายที่วิ่งผ่านถนนเกษตร-นวมินทร์ วริทธิ์ธร ยังมองว่าขั้นต่ำที่ควรมีคือการจ้างวิ่ง กล่าวคือในเส้นทางที่ยังไม่มีผู้ประกอบการวิ่ง กรมขนส่งทางบกต้องจ้างผู้ประการการเดินรถมาวิ่ง ในบางเส้นทางออกแบบมาค่อนข้างดีแต่อาจไม่คุ้มทุน ในประเทศที่เจริญแล้วมักใช้วิธีการจ้างวิ่ง หรือแม้แต่ระบบขนส่งภายในมหาวิทยาลัยในไทยก็ใช้วิธีการจ้างวิ่งเช่น รถโดยสารภายในของจุฬาลงกรณ์ฯ (รถปอพ) หรือ รถชัตเทิลบัสของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วริทธิ์ธร มองว่า บางเส้นทางที่คนขึ้นน้อยมี 2 รูปแบบคือถ้าบริหารจัดการการเดินรถให้ดีกว่านี้ คนจะขึ้นเยอะกว่านี้ กับต่อให้จัดการดีเท่าไหร่คนก็จะไม่ขึ้นเยอะไปกว่านี้ เพราะเป็นที่เส้นทางที่ออกแบบมาไม่เอื้อต่อการใช้งาน หน่วยงานรัฐต้องดูให้ออกว่าผู้ใช้บริการต้องการเส้นทางแบบไหน หากดูไม่ออกก็ต้องใช้สถิติประกอบ  มากไปกว่านั้นการหาแหล่งเงินมาเป็นทุนในการเดินรถก็อาจทำได้ผ่านสิ่งที่เรียกว่า 'ค่าธรรมเนียมรถติด' หรือ Congestion Charge ในช่วงตุลาคม 2567 สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้ระบุว่ากำลังศึกษาการจัดเก็บค่าธรรเนียมรถติด หากรถคันไหนต้องการใช้ถนนที่มีการจราจรหนาแน่นต้องเสียค่าธรรมเนียม ซึ่งในประเทศอย่างอังกฤษมีการใช้และประสบความสำเร็จ และอาจเอาค่าธรรมเนียมในส่วนนั้นมาอุดหนุนขนส่งสาธารณะ วริทธิ์ธร มองว่า หากมีการเก็บค่าธรรมเนียมจริง อาจเจอแรงเสียดทานอย่างหนัก แต่หากภาครัฐสามารถทำให้ขนส่งสาธารณะอย่างรถเมล์ประหยัดทั้งเวลาและค่าโดยสาร ผู้คนอาจใช้บริการขนส่งสาธารณะมากขึ้น แรงเสียดทานจากการเก็บค่าธรรมเนียมดังกล่าวอาจจะน้อยลง หรือการขายของที่ระลึกเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการเดินรถในหลายๆ ประเทศทำเพื่อนำเงินมาเป็นทุนในการประกอบกิจการ  สุดท้ายนี้การจะทำให้คนกลับมาขึ้นรถเมล์ต้องสร้างความไว้วางใจให้กับประชาชนว่ารถเมล์สามารถเป็นขนส่งสาธารณะที่ประหยัดทั้งเวลาและราคา "ถ้าอยากโน้มน้าวให้คนมาใช้รถเมล์ได้ มันต้องไปทั้งระบบ รถเมล์ทำคนเดียวไม่ไหวหรอก" วริทธิ์ธร กล่าว รถเมล์เป็นมากกว่าขนส่งราคาประหยัด ‘รถเมล์’ มักมีภาพจำว่าเป็นขนส่งราคาประหยัด แต่ไม่ใช่สำหรับ ‘แบ๋น-ประทับจิต นีละไพจิตร’ เจ้าหน้าที่องค์การระหว่างประเทศ ผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก ด้วยหน้าที่การงานของเธอแล้วอาจกล่าวได้ว่าเธอไม่ได้มีปัญหาด้านการเงิน แต่กลับยังเลือกใช้บริการรถเมล์ เธอระบุว่าสาเหตุที่ยังเลือกใช้บริการรถเมล์อยู่เพราะมองว่ารถเมล์มีความเป็นส่วนตัวมากกว่าขนส่งอื่นๆ ไม่จำเป็นต้องพูดคุยกับคนขับรถและไม่จำเป็นต้องเผชิญกับการต่อราคาเหมือนเวลาขึ้นแท็กซี่ รถเมล์ยังเป็นขนส่งสาธารณะที่คาดเดาเส้นทางได้ แตกต่างจากมอเตอร์ไซต์รับจ้างและรถแท็กซี่ที่ผู้โดยสารต้องคอยชี้แนะเส้นทางหรือไม่สามารถคาดเดาได้ว่าคนขับจะพาไปในเส้นทางไหน ที่สำคัญ รถเมล์ เราสามารถกระโดดลงตรงไหนก็ได้ อาจจะด้วยธุระหรือความรู้สึกไม่ปลอดภัย ประทับจิต นีละไพจิตร ตลอดช่วงชีวิตของเธออาจเรียกว่าโตมากับรถเมล์ เธอนั่งรถเมล์เองครั้งแรกตั้งแต่ ป.5 เรื่อยมาจนถึงช่วงที่เรียนมหาวิทยาลัย ที่ผ่านมาเธอมองว่ารถเมล์ไทยเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น ทั้งในแง่ของการบริการของกระเป๋ารถเมล์,คนขับรถเมล์, สภาพรถเมล์ที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตามปัญหาที่มีอยู่ก็ยังไม่ถูกแก้ เช่น การขาดระยะของรถทำให้ประชาชนต้องรอรถนาน หากเป็นวันเร่งด่วนเธออาจใช้บริการรถไฟฟ้าหรือแกร็บ แต่ในชีวิตประจำวันปกติรถเมล์ก็ยังเป็นตัวเลือกแรก เธอกล่าวว่าไม่อยากให้รถไฟฟ้ามาแทนที่รถเมล์ แต่เธออยากให้รถเมล์เป็นพื้นฐานของระบบขนส่งสาธารณะ เพราะกลุ่มผู้สูงอายุและผู้พิการยังเลือกใช้รถเมล์อยู่ เธอยังสังเกตเห็นบรรยากาศที่แตกต่างกันระหว่างรถเมล์และรถไฟฟ้า หากมีผู้ต้องการช่วยเหลือพิเศษใช้บริการรถเมล์ ทุกคนที่โดยสารอยู่มักจะให้การช่วยเหลือ แต่หากเป็นรถไฟฟ้าทุกคนมักเมินเฉยต่อสถานการณ์ดังกล่าว ถึงแม้ในหมู่คนรุ่นใหม่จะมีวัฒนธรรมการไม่นั่งในที่นั่งสำหรับผู้ต้องการความช่วยเหลือพิเศษเช่น หญิงตั้งครรภ์, พระภิกษุ, ผู้สูงอายุ, เด็กก็ตาม ตัวเธอเองยังสังเกตเห็นว่ากลุ่มผู้สูงอายุและคนพิการมักเลือกใช้บริการรถเมล์ครีมแดงเป็นพิเศษ อาจด้วยสาเหตุด้านราคาหรือด้านสิทธิ เธอจึงอยากให้ขนส่งสาธารณะในทุกๆ ระบบไม่ว่าจะเป็นระบบล้อ, เรือ, ราง เป็นระบบขนส่งที่เป็นมิตรกับคนกลุ่มนี้ การทำให้ทุกคน ทุกเพศ ทุกวัยเข้าถึงขนส่งสาธาณะได้ นับว่าเป็นสิทธิมนุษยชนอย่างหนึ่ง นอกจากนี้เธอยังมองว่าสังคมมักมีค่านิยมต่อกลุ่มคนวัยทำงานที่ขึ้นรถเมล์ว่าไม่น่าเชื่อถือในการทำงาน จากประสบการณ์ของเธอที่เมื่อเวลาบอกกับคนอื่นว่านั่งรถเมล์มา ผู้คนมักแสดงความสงสาร ประทับจิตอยากให้รถเมล์เป็นขนส่งสาธารณะสำหรับทุกคน ไม่อยากให้รถเมล์จำกัดอยู่เพียงแค่กลุ่มเปราะบาง และเธอเองอยากรณรงค์ให้ทุกจังหวัดมีรถเมล์ให้บริการโดยให้อยู่ภายใต้การดูแลของท้องถิ่น เพราะจากประสบการณ์การทำงานของเธอใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ หากไม่มีรถส่วนตัวจะเดินทางลำบาก  ประชาชนเบียดเสียดกันขึ้นรถเมล์ในช่วงเย็น  บรรยากาศอนุสาวรียขัยฯ ในช่วงกลางคืน * รายงานพิเศษ * เศรษฐกิจ * สังคม * คุณภาพชีวิต * รถเมล์ * วริทธิ์ธร สุขสบาย * ประทับจิต นีละไพจิตร * การเดินทาง * คมนาคม * สุเมธ องกิตตุกุล * นฤมล เมฆบริสุทธิ์ * ปฏิรูปรถเมล์ * ขนส่งสาธารณะ * ขสมก.
dlvr.it
August 14, 2025 at 11:37 AM
เรื่อง Kingdom (ญี่ปุ่น) นี่ไม่ค่อยแมสในไทยเลยนะ มังงะเองก็ละเอียดมาก หนังก็ทำได้ดีเข้านฟ.ทุกภาค เป็นการเล่าอิงประวัติศาสตร์ช่วง 8 ก๊กได้สนุกสุดในยุคนี้แล้ว

เคยไปตามหาหนังสือ 8 ก๊กในไทยเจอแค่เวอร์ชั่นเดียวซึ่งเก่ามาก ภาษาคืออ่านยากมากกรอบเหลืองจัด คนแห่ไปตาม 3 ก๊กมากกว่า
August 14, 2025 at 12:29 PM
Reposted by time to time
(ส่วนตัวคิดว่าถ้าการเรียกพ่ออยู่หัวๆอย่างงู้นอย่างงี้แล้วความหมายของคำมันดรอปความสูงส่งลงได้ก็ใช้ไปเถอะ)
August 10, 2025 at 8:19 AM
Reposted by time to time
ขออีเนอจี้การรณรงค์ต้านสงครามให้ได้เท่าเถียงเรื่องแฟนด้อม ห้องน้ำ ซีรีส์วาย ไหว้พ่อ กันหน่อย ถ้าทหารทำสงครามคุมประเทดได้จะเหลือสักกี่หัวข้อในนี้ให้พวกคุณเถียงกัน
August 10, 2025 at 10:34 AM
Reposted by time to time
อีกอันคือ "เราทำให้ทุกคนพอใจไม่ได้ แต่เราทำให้ทุกคนไม่พอใจได้" คิดได้แบบนี้ละ ชีวิตสงบสุขขึ้นอีกสิบจุด เป็นขั้นกว่าของช่างแม่งอีกที
จริงๆ คำว่า "สู้ๆ นะ ไม่มีอะไรที่เราทำได้ ทุกทางออกมีปัญหาหมด" มันก็เป็นคำปลอบใจที่ practical ดีสำหรับหลายสถานการณ์
August 10, 2025 at 11:04 AM