ประชาไท Prachatai.com
banner
prachatai.com
ประชาไท Prachatai.com
@prachatai.com
ปปง. มีมติยึดอายัดทรัพย์ 'ชนนพัฒฐ์' กับพวก 159 ล้านบาท พบเส้นทางการเงินเอี่ยวเว็บพนัน
ปปง. มีมติยึดอายัดทรัพย์ 'ชนนพัฒฐ์' กับพวก 159 ล้านบาท พบเส้นทางการเงินเอี่ยวเว็บพนัน auser15 Tue, 2025-11-11 - 19:20 ปปง. มีมติยึดอายัดทรัพย์ 'ชนนพัฒฐ์ นาคสั้ว' กับพวก 159 ล้านบาท พบเส้นเงินส่อเอี่ยวเว็บพนันออนไลน์ สั่งยึดไว้ชั่วคราวไม่เกิน 90 วัน พร้อมเปิดให้ผู้ถูกยึดยื่นแสดงหลักฐานภายใน 30 วัน 11 พฤศจิกายน 2568 มติชนออนไลน์ รายงานว่า สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ได้เผยแพร่เอกสารประชาสัมพันธ์ ระบุว่า  ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2568 กำหนดให้เรื่องการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยีเป็น “วาระแห่งชาติ” นั้น จากการสืบสวนขยายผลและบูรณาการทำงานร่วมกันกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สำนักงาน ปปง. ได้ตรวจสอบ วิเคราะห์ และรวบรวมพยานหลักฐาน ของกลุ่มบุคคลผู้ร่วมกันจัดให้มีการเล่นการพนันทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เว็บไซต์ www.gimi88.com www.gimi44.com www.ts911goal.com และเว็บไซต์การพนันออนไลน์อื่นๆ พบเส้นทางการเงินของบุคคลที่มีพฤติการณ์กระทำความผิดมูลฐานตามมาตรา 3 (9) แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับนายชนนพัฒฐ์ฯ กับพวก และอาจมีการโอน จำหน่าย ยักย้าย ปกปิดหรือซ่อนเร้นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดดังกล่าว คณะกรรมการธุรกรรมซึ่งมีนายเทพสุ บวรโชติดารา เลขาธิการ ปปง. เป็นกรรมการและเลขานุการ จึงได้มีมติในการประชุมครั้งที่ 12/2568 เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2568ให้ยึดและอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดในรายคดีดังกล่าว ไว้ชั่วคราวไม่เกิน 90 วัน โดยเป็นทรัพย์สินประเภท เงินสด รถยนต์ ที่ดิน เงินและหลักทรัพย์ในบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์และเงินในบัญชีเงินฝากธนาคาร รวมจำนวน 69 รายการ มูลค่าประมาณ 159 ล้านบาท อนึ่ง ผู้ซึ่งถูกยึดและอายัดทรัพย์สินหรือผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์สินด้งกล่าว ประสงค์จะขอให้มีการเพิกถอนคำสั่งนั้น ให้ยื่นคำขอเป็นหนังสือต่อเลขาธิการ ปปง. พร้อมด้วยหลักฐานที่เกี่ยวข้องที่แสดงว่าทรัพย์สินที่ถูกยึดและอายัดดังกล่าวมิใช่ทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดภายในสามสิบวันนับตั้งแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเป็นหนังสือ * ข่าว * การเมือง * ปปง. * ชนนพัฒฐ์ นาคสั้ว
dlvr.it
November 11, 2025 at 12:27 PM
มูลนิธิผสานวัฒนธรรมรับแจ้งเหตุทหารเกณฑ์เสียชีวิตในค่าย จ.พิษณุโลก
มูลนิธิผสานวัฒนธรรมรับแจ้งเหตุทหารเกณฑ์เสียชีวิตในค่าย จ.พิษณุโลก auser15 Tue, 2025-11-11 - 18:40 มูลนิธิผสานวัฒนธรรมรับแจ้งเหตุทหารเกณฑ์เสียชีวิตในค่าย จ.พิษณุโลก เตรียมยื่นต่อศูนย์ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย ในพื้นที่เกิดเหตุ เพื่อให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและให้ความเป็นธรรมกับครอบครัวผู้เสียหาย โดยเร่งด่วน 11 พฤศจิกายน 2568 เว็บไซต์มูลนิธิผสานวัฒนธรรม รายงานว่ามูลนิธิฯ ได้รับแจ้งเหตุจากเครือข่ายชาติพันธุ์ภาคเหนือ  กรณีพลทหารเกณฑ์เสียชีวิตในค่ายทหารแห่งหนึ่งในจังหวัดพิษณุโลก โดยทางมูลนิธิฯ จะเตรียมร้องเรียนต่อศูนย์ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย ในพื้นที่เกิดเหตุ เพื่อให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและให้ความเป็นธรรมกับครอบครัวผู้เสียหาย โดยเร่งด่วน ข้อเท็จจริงเบื้องต้น จากเครือข่ายกลุ่มชาติพันธุ์ภาคเหนือ ว่ามี ทหารเกณฑ์ในค่ายทหารแห่งหนึ่ง ในจังหวัดพิษณุโลก เสียชีวิตในค่ายทหารหลังเข้ารับการฝึกทหารเกณฑ์ผลัด 2/2568 ได้ไม่ถึง 10 วัน หลังจากนั้นมูลนิธิฯ ได้ประสานพูดคุยกับครอบครัวของผู้เสียชีวิต ทราบว่า มีเจ้าหน้าที่ทหารโทรมาแจ้งว่า พบพลทหารผูกคอเสียชีวิตในค่าย โดยครอบครัวของผู้เสียชีวิตยังคงติดใจสาเหตุการเสียชีวิตของผู้ตายและต้องการทราบความจริงว่าเกิดอะไรขึ้นในช่วงก่อนการเสียชีวิต กรณีการเสียชีวิตของทหารเกณฑ์เป็นเหตุสลดใจที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในประเทศไทย หลายคดีจบลงอย่างเป็นปริศนา และไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง รวมทั้งไม่สามารถระบุตัวผู้กระทำผิดได้ สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาเชิงโครงสร้างในค่ายทหาร ที่นำไปสู่ความรุนแรงและการละเมิดสิทธิมนุษยชน รวมทั้งการลอยนวลพ้นผิด ซึ่งนอกจากจะไม่สามารถเอาผิดผู้ที่กระทำความรุนแรงได้แล้ว ยังส่งผลให้ปัญหาความรุนแรงและการละเมิดสิทธิมนุษยชนถูกละเลย และไม่ได้รับการแก้ไข อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน ประเทศไทยมีการบังคับใช้ พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 มากว่าสองปีแล้ว อีกทั้งในบริบททหารเกณฑ์  เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2568 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ภาค 2 ได้พิพากษาให้ครูฝึกและพลทหารรุ่นพี่รวม 13 นาย จำคุกในความผิดฐานร่วมทำร้ายผู้อื่นจนถึงแก่ความตาย และฐานกระทำการทรมานตามมาตรา 5 พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ นับเป็นคดีที่ศาลมีคำสั่งลงโทษครูฝึกและรุ่นพี่ทหารภายใต้กฎหมายฉบับใหม่เป็นคดีแรก นอกจากนี้ เมื่อตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา ในคดีพลทหารกิตติธร เวียงบรรพต ที่เสียชีวิตภายหลังเข้ารับการฝึกเกณฑ์เมื่อปี 2566 คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดเขตอำนาจศาลได้มีคำสั่งเป็นอันสิ้นสุดว่า คดีภายใต้ พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ จะต้องอยู่ภายใต้เขตอำนาจศาลพลเรือน คือ ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ไม่กลับไปยังศาลทหาร กรณีเหล่านี้ถือเป็นพัฒนาการด้านกฎหมายที่ปกป้องสิทธิมนุษยชนของทหารเกณฑ์ และเป็นความหวังว่าการละเมิดสิทธิมนุษยชนของทหารเกณฑ์จะถูกป้องปราม และนำไปสู่การแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างในที่สุด * ข่าว * สังคม * สิทธิมนุษยชน * คุณภาพชีวิต * มูลนิธิผสานวัฒนธรรม * พิษณุโลก * ทหารเกณฑ์
dlvr.it
November 11, 2025 at 11:47 AM
3 ปม ‘MOU แรร์เอิร์ธ’ ผลลบเพียบ อาจรวมรีไซเคิลกากแร่
3 ปม ‘MOU แรร์เอิร์ธ’ ผลลบเพียบ อาจรวมรีไซเคิลกากแร่ เรียบเรียง : เยี่ยมยุทธ สุทธิฉายา  auser15 Tue, 2025-11-11 - 17:17 อ่านเกมเศรษฐกิจการเมืองโลก ปมบันทึกความเข้าใจสหรัฐฯ - ไทย เรื่องแร่หายาก ที่ผู้เชี่ยวชาญมองว่ารัฐยังพอมีทางดิ้นได้  ในขณะที่ประชาชนยังไม่มีหลักประกันผลกระทบที่จะตามมา พลันที่นายกฯ อนุทิน ชาญวีรกูล ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู - MOU) ด้านการค้าและแร่หายากกับสหรัฐฯ ที่เวทีประชุมอาเซียน ประเด็นเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศก็กลายเป็นที่จับจ้องของสายตามหาชนชาวไทย บ้างด้วยสายตาระแวงระวัง เพราะคำสำคัญทั้ง “สหรัฐฯ” “MOU” “แร่หายาก ช่างกระตุกจิตกระชากใจผู้รักชาติที่กลัวว่ามหาอินทรีย์จะเข้ามาฉกฉวยอะไรไปจากไทย บ้างก็ด้วยสายตาฉงน เพราะไม่รู้มาก่อนว่าไทยมีของหายากแบบ ‘แรร์ (rare)’ ไปจนถึงไม่รู้ว่าแร่หายากที่เขาพูดถึงกันมีอะไรบ้าง ทั้งหมดเหล่านี้คือคำถามสำคัญที่ควรค่าแก่การเสียเวลาถามและให้เวลาตอบ และในจังหวะที่ทุกสื่อรายงานเรื่องนี้ไปหมดแล้ว ประชาไทเก็บตกประเด็นที่ยังไม่ค่อยได้เห็นรายงานนัก แต่ควรค่าแก่การพิจารณา 1. ข้อตกลงครอบคลุมมากกว่า ‘แรร์เอิร์ธ’ ถ้าปี 2568 จะมีการประเมินบทบาทของสื่อในการคลี่คลายความสงสัยของสังคม หนึ่งเรื่องที่ต้องอยู่ในลิสต์น่าจะเป็นเรื่อง ‘แรร์เอิร์ธ’ เพราะแทบทุกสำนักรับบทครูวิทยาศาสตร์กันแบบเข้มข้น เช่น ไทยพีบีเอส: “แรร์เอิร์ธ (Rare Earths) ไม่ใช่แร่ แต่เป็น "ชื่อของกลุ่มธาตุ" เคมีจำนวน 17 ธาตุ ในกลุ่มแลนทาไนด์ (Lanthanide series) ซึ่งมักพบอยู่รวมกันในแหล่งแร่เดียวกัน” หรือ ทีเอ็นเอ็น: “แม้จะถูกเรียกว่า “แร่หายาก” แต่แท้จริงแล้ว แรร์เอิร์ธสามารถพบได้ในเนื้อหินเกือบทุกชนิดที่เป็นส่วนประกอบของเปลือกโลก แต่หาในรูปแบบบริสุทธิ์ได้ยากมาก ต้องมีกระบวนการขุดและกลั่นหลายขั้นตอน ใช้เทคโนโลยีที่ซับซ้อนและต้นทุนสูง” ไปถึงการเขียนผิดเขียนถูกแบบ พีพีทีวี: “โดยแร่เอิร์ธ คือ กลุ่มธาตุโลหะพิเศษ 17 ชนิด ที่มีคุณสมบัติคล้ายคลึงกัน และเป็นส่วนประกอบสำคัญของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น สมาร์ทโฟน รถยนต์ไฟฟ้า และอุปกรณ์ทางการแพทย์” อย่างไรก็ตาม หากกางดูใน MOU แล้ว จะพบว่ารายละเอียดกินความไปมากกว่าแรร์เอิร์ธ 17 ชนิด  เรื่องนี้เถียงได้ยาก เพราะแม้แต่ชื่อของ MOU ยังใช้ชื่อว่า “ความร่วมมือเพื่อสร้างความหลากหลายของห่วงโซ่อุปทานของแร่ที่มีความสำคัญและส่งเสริมการลงทุน (Cooperation to diversity global CRITICAL MINERAL supply chains and promote investment)”  แล้วแร่ไหนบ้างที่สหรัฐฯ นับว่ามีความสำคัญ? ข้อมูลจากปี 2022 ของหน่วยงานสำรวจธรณีแห่งสหรัฐฯ ยกแร่ 50 ชนิดขึ้นหิ้งความสำคัญ ยกตัวอย่างเช่น อลูมิเนียม พลวง สารหนู แบไรต์ นิกเกิล ฯลฯ  สืบสกุล กิจนุกร อาจารย์จากสำนักวิชานวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ให้ข้อมูลในวงเสวนา “MOU แรร์เอิร์ธ สหรัฐฯ : ไทย–มาเลเซีย–ญี่ปุ่น กับผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน สิ่งแวดล้อม สุขภาพ และสิทธิชุมชนลุ่มน้ำ” ว่า ไทยผลิตแร่บางตัวที่อยู่ในลิสต์อยู่แล้ว เช่น ดีบุก พลวง แมงกานีส แบไรต์ ทองแดง สังกะสี ตะกั่ว และแทนทาลัม แร่เหล่านี้ถูกนำเข้าจากหลายประเทศทั่วโลกเพื่อไปใช้ในสารพัดกิจการในสหรัฐฯ เช่นการผลิตเครื่องบินรบ รวมถึงฮาร์ดแวร์ของดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมแห่งอนาคตที่ต้องใช้ทั้งทองแดง พลวง และดีบุก ในการสร้างฮาร์ดแวร์ที่ใช้เชื่อมร้อยคลังข้อมูลและระบบคอมพิวเตอร์ “สังคมไทยคิดว่าอันนี้เป็นแร่ปกติ แต่มันสำคัญมาก” “เราอย่ามองแต่แร่แรร์เอิร์ธ นั่นคือประเด็นของผม ผมยังสงสัยว่า ถ้าอเมริกาสนใจแร่แรร์เอิร์ธจริง ทำไมเขาไม่ใช้ชื่อ MOU แร่แรร์เอิร์ธ” อาจารย์จาก มฟล. กล่าว 2. รัฐบาลบอก MOU ไม่มัดตัว แต่ในทางหลักการ อาจมัดใจ นับจากนาทีที่อนุทินยกปากกาขึ้นจากเอกสาร MOU รัฐบาลไทยพยายามชี้แจงว่าไทยไม่ได้เสียเปรียบรัฐบาลวอชิงตันจากการลงนามในเอกสารนี้ ศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวในที่ประชุมอาเซียนว่า การลงนามเกิดขึ้นหลังการตรวจสอบอย่างรอบคอบของกระทรวงการต่างประเทศ คณะรัฐมนตรี และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา โดยทางกฤษฎีกาฯ ระบุว่า MOU นี้ไม่มีข้อผูกพันทางกฎหมาย ต่างฝ่ายสามารถยกเลิกได้ รมว.พาณิชย์ให้สัมภาษณ์กับสื่อ The Reporters ว่า การเซ็นแบบนี้ไม่ใช่ข้อตกลงการค้าเสรี หมายความว่า ถ้าทำกับสหรัฐฯ ได้ ก็สามารถทำกับประเทศอื่นได้เช่นกัน เรื่องนี้เขียนไว้ชัดเจนในข้อ 3 ว่าด้วยการสิ้นสุดบันทึกความเข้าใจ ที่ระบุว่า “MOU นี้ไม่ประสงค์ให้มีขอผูกพันทางกฎหมายภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ และไม่มีผลต่อข้อตกลงใดๆ ที่มีอยู่ระหว่างคู่ภาคี” คำถามที่ตามมาก็คือ หากไม่ผูกพันแล้ว ทำไมต้องเซ็นให้เมื่อยมือ? รศ.จารุประภา รักพงษ์ จากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวในงานเสวนาของคณะนิติศาสตร์ มฟล. ว่า แม้ MOU ไม่มีข้อผูกพันทางกฎหมาย แต่ในทางหลักการก็มีผลกับการกำหนดท่าทีและความสัมพันธ์ระหว่างรัฐในการทำข้อตกลงอื่นๆ ต่อไปในอนาคต “อาจจะบอกได้ว่ามันเป็นเอ็มโอยูไม่ผูกพัน แต่สมมติหลังจากนี้ มันไม่ผูกพันก็จริง แต่การปฏิเสธไม่ดำเนินการตาม MOU นี้ ใครจะเป็นผู้มีภาระในการพิสูจน์ ก็ต้องฝั่งเรา ว่าเราไม่ทำตามเพราะอะไร และเรากล้าทำไหม” จารุประภากล่าว เนื้อความตามต้นฉบับของ MOU ที่มีการเผยแพร่ต้นฉบับในเว็บไซต์ของทำเนียบขาว  ครอบคลุมพื้นที่ความร่วมมือในทุกมิติของห่วงโซ่อุปทานแร่สำคัญ ตั้งแต่การแบ่งปันข้อมูล การสำรวจ นำแร่ขึ้นมาจากชั้นดิน ไปจนถึงการแปรรูป การกำจัดและรีไซเคิลกากแร่ สะท้อนว่าสายตาของสหรัฐฯ มองไทยในฐานะผู้เล่นที่สามารถมีบทบาทอื่นนอกจากการขุดเจาะทรัพยากรขึ้นมาจากพื้นดิน หนึ่งในจุดที่น่าจับตามองใน MOU นี้ คือใจความในข้อ 1 ในส่วนของพื้นที่ความร่วมมือ ที่ระบุว่า คู่ภาคีคาดหวังที่จะได้รับ “โอกาสแรก (first opportunity)” ในการลงทุนในแร่สำคัญที่ไทยจะขาย พูดให้เข้าใจง่าย หมายถึงให้สหรัฐฯ เป็น “หัวแถว” เมื่อมีโอกาสในการลงทุนในไทย จารุประภาระบุว่า ถ้อยคำนี้ต่างไปจาก MOU ที่สหรัฐฯ เซ็นกับมาเลเซีย ที่ใช้คำว่า “prioritize” หรือ “ให้ความสำคัญเป็นลำดับต้นๆ” ซึ่งเปิดกว้างและยืดหยุ่นกว่า และที่ไทยบอกว่าสามารถไปเซ็น MOU แบบนี้กับประเทศอื่นได้ คำถามก็คือจะใช้ถ้อยคำไหนได้บ้าง ถ้าเป็นที่รู้กันทั่วไปแล้วว่าสหรัฐฯ จะได้เป็นหัวแถวในกิจการแร่ของไทย เธอเสนอทางออกว่า ไทยควรใช้ประโยชน์จากใจความในข้อ 3 ว่าด้วยพื้นที่ความร่วมมือ ที่เปิดช่องว่างให้ใช้เหตุผลด้าน “ความมั่นคงของชาติ” ในการระงับการขายแร่ที่มีความสำคัญ และสงวนสิทธิในการตัดสินใจเกี่ยวกับแร่ที่มีความสำคัญ ให้อิงตามกฎหมายภายในประเทศ เพื่อไม่ให้สหรัฐฯ ได้รับสิทธิเป็นชาติแรกในทุกกรณี 3. ประชาชนเสี่ยงกว่ารัฐ ในวันที่โลกล้อมไทย MOU นี้มีขึ้นในวันที่แร่แรร์เอิร์ธเป็นที่ต้องการสำหรับอุตสาหกรรมแห่งอนาคตมากขึ้น และจีนยังครองส่วนแบ่งทางตลาดแร่เหล่านี้เกินครึ่งหนึ่งของทั้งโลก  ในแง่ภูมิรัฐศาสตร์ ไทยมีความสำคัญแค่ไหนในห่วงโซ่อุปทานแร่หายากและมีความสำคัญ ยังไม่มีใครให้คำตอบได้ชัดเจน แต่ด้วยข้อมูลที่มี เราสามารถมองไทยได้ในแง่ข้อต่อและผู้ได้รับผลกระทบ สืบสกุลรวบรวมตัวเลขจากกรมศุลกากร พบว่าไทยนำเข้าแร่สำคัญเข้ามาจากพม่าเป็นมูลค่ารวมมากกว่า 1 แสนล้านบาท ทั้งแร่พลวง แมงกานีส สังกะสี ทองแดง และทังสเตน โดยแร่เหล่านี้ถูกส่งออกไปยังจีน ฮ่องกง มาเลเซีย เวียดนาม กัมพูชา และลาว เป็นมูลค่ารวมมากกว่า 42,000 ล้านบาท การนำเข้าแร่ดำเนินไปท่ามกลางสงครามกลางเมืองในพม่า และสินแร่ก็เป็นหนึ่งในทรัพยากรที่สามารถนำขึ้นมาขายเป็นทุนสงคราม เมื่อกลางเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา ผู้แทนสหรัฐฯ เยือนรัฐกะฉิ่น ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีสินแร่จำนวนมาก ในเดือน ต่อมา อินเดียเองก็หาทางร่วมมือกับกองกำลังชาติพันธุ์ในรัฐกะฉิ่นเพื่อค้นหาแร่แรร์เอิร์ธในพื้นที่ ตามรายงานของรอยเตอร์  ที่รัฐฉานซึ่งมีพรมแดนติดกับไทย ก็มีรายงานการถลุงแร่ที่ใช้วิธีการที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม จนในต้นปี 2568 มีข่าวการรายงานการปนเปื้อนของแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขงในพื้นที่ของไทย จนประชาชนในพื้นที่เริ่มได้รับผลกระทบ หรือการถลุงแร่แรร์เอิร์ธในพม่า จะสะท้อนเรื่องสงครามทรัพยากร สืบสกุลอ้างข้อมูลจากกระทรวงเกษตรฯ ระบุว่าเกษตรกรเชียงรายมากกว่า 14,000 ครอบครัว ปลูกข้าวนาปีและนาปรังมากกว่า 130,000 ไร่ โดยใช้น้ำจากแม่น้ำสาย แม่น้ำกกและแม่น้ำโขงที่มีรายงานการปนเปื้อน ขณะที่ข้าวเหล่านี้ออกสู่ตลาดโดยไม่มีการตรวจสอบค่าโลหะหนักก่อนการเก็บเกี่ยว ทำให้คนทั้งประเทศมีความเสี่ยงจากโลหะหนักในการทำเหมืองแร่จากพม่า ข้อกังวลนี้ยังไม่นับรวมการใช้น้ำประปาจากแม่น้ำสามสายดังกล่าวในพื้นที่ริมแม่น้ำ จ.เชียงรายอีกหลายหมื่นครัวเรือนที่ต้องอุปโภคและบริโภคน้ำทุกวัน ขณะเดียวกัน ถ้ามองในภาพใหญ่ จะพบว่า MOU ที่สหรัฐฯ ทำกับประเทศอื่น ก็อาจมีผลกระทบกับไทย ในฐานะหนึ่งในประเทศที่จะมีบทบาทในห่วงโซ่อุปทานแร่ด้วย เช่นเนื้อความใน MOU ระหว่างสหรัฐฯ และออสเตรเลีย ที่พูดถึงการร่วมกันจัดการรีไซเคิลกากแร่ รวมถึงการร่วมมือกันสำรวจแร่ที่มีความสำคัญในสหรัฐฯ ออสเตรเลีย และ “ที่อื่นตามที่มีเจตจำนงร่วมกัน (elsewhere as mutually determined)” เพื่อส่งเสริมห่วงโซ่อุปทานที่หลากหลาย จารุประภาตั้งคำถามว่าแนวทางนี้คือการเปิดทางให้ไทยและประเทศคู่สัญญาอื่นๆ เป็นจุดหมายปลายทางของการสกัดกากแร่ หรือกิจกรรมอื่นที่ไทยไม่ได้ประโยชน์ แต่ต้องแบกรับผลกระทบทางมลภาวะหรือไม่ เพียรพร ดีเทศน์ กรรมการบริหารมูลนิธิแม่น้ำและสิทธิ (Rivers & Rights) กล่าวว่า สถานการณ์การปนเปื้อนยังน่ากังวล เหมืองที่เป็นต้นเหตุของการปนเปื้อนยังคงขยายตัว และยังมีคำถามตัวโตว่า ประเทศลุ่มน้ำโขงที่มีปัญหาด้านความโปร่งใส จะสามารถดำเนินการตรวจสอบการลงทุนที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างไร “ณ วันนี้อาจจะพูดได้ยากว่า ภูมิรัฐศาสตร์ของแร่มันจะไม่เกี่ยวกับเรายังไง” “วันนี้มันเกี่ยวกับเราสุดๆ มันเกี่ยวกับน้ำของเรา มันเกี่ยวกับแหล่งประกอบอาชีพของเรา มันเกี่ยวกับปลาที่เราจะกิน มันเกี่ยวกับแหล่งรายได้ของประชาชน” เพียรพรกล่าว พร้อมเสนอแนะให้รัฐบาลทบทวนการทำ MOU นี้ *ข้อมูลของสืบสกุล จารุประภา และเพียรพร จากงาน เสวนา MOU แรร์เอิร์ธ สหรัฐฯ : ไทย–มาเลเซีย–ญี่ปุ่น กับผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน สิ่งแวดล้อม สุขภาพ และสิทธิชุมชนลุ่มน้ำ” โดยเฟสบุ๊คเพจสำนักวิชานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง     * รายงานพิเศษ * เศรษฐกิจ * สิ่งแวดล้อม * MOU แร่ธาตุหายากไทย-สหรัฐฯ * แรร์เอิร์ธ * สหรัฐอเมริกา
dlvr.it
November 11, 2025 at 10:21 AM
ครม.เห็นชอบโควตานำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 1 ล้านตัน ภาษี 0% แต่ต้องรับซื้อในประเทศ 3 ส่วน ต่อการนำเข้า 1 ส่วน
ครม.เห็นชอบโควตานำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 1 ล้านตัน ภาษี 0% แต่ต้องรับซื้อในประเทศ 3 ส่วน ต่อการนำเข้า 1 ส่วน auser15 Tue, 2025-11-11 - 16:32 ครม. มีมติเห็นชอบแนวทางนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2569 ปรับเพดานโควตานำเข้า 1 ล้านตัน ในอัตราภาษีร้อยละ 0 พร้อมเงื่อนไขต้องรับซื้อในประเทศ 3 ส่วน ต่อการนำเข้า 1 ส่วน เพื่อให้ไทยมีวัตถุดิบเพียงพอในการผลิตอาหารสัตว์ในประเทศ และให้สามารถจัดทำข้อเสนอสำหรับการเจรจากับสหรัฐฯ 11 พฤศจิกายน 2568 เว็บไซต์รัฐบาลไทย รายงานว่า นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการกำหนดมาตรการการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ไม่มีกระบวนการผลิตที่เกี่ยวข้องกับการเผา ตามมติ นบขพ. เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2568 และการกำหนดมาตรการการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ภายใต้กรอบองค์การการค้าโลก [World Trade Organization (WTO)] ในโควตา และข้าวสาลีสำหรับการผลิตอาหารสัตว์ปี 2569 ตามมติ นบขพ. เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2568 ตามที่คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (นบขพ.) เสนอ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า แนวทางการบริหารจัดการนำเข้าสินค้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2569 ประกอบด้วย 1. มาตรการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ไม่มีกระบวนการผลิตที่เกี่ยวข้องกับการเผา  2. การกำหนดมาตรการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ภายใต้กรอบองค์การการค้าโลก (WTO) ในโควตาและข้าวสาลีสำหรับอาหารสัตว์ โดยต้องรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศปริมาณ 3 ส่วน ต่อการนำเข้า 1 ส่วน และ  3. การกำหนดปริมาณและอัตราภาษีการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ภายใต้กรอบ WTO โดยให้มีการกำหนดมาตรการดังกล่าวปีต่อปี ดังนี้ 3.1) ให้องค์กรคลังสินค้า (อคส.) และผู้นำเข้าทั่วไปนำเข้า 3.2)  อัตราภาษี ในโควตา ร้อยละ 0 และปริมาณ 1 ล้านตัน ทั้งนี้ เพื่อบริหารจัดการอุปสงค์และอุปทานการผลิตอาหารสัตว์ในประเทศให้เกิดความสมดุล ทั้งห่วงโซ่ประกอบกับนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ข้ามพรมแดนโดยส่งเสริมการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากประเทศที่ไม่ใช้การเผาควบคู่กับการกำกับดูแลการเผา พื้นที่เพาะปลูกทางการเกษตรในประเทศ “การดำเนินมาตรการบริหารจัดการนำเข้าสินค้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2569 เพื่อให้ไทยมีวัตถุดิบเพียงพอในการผลิตอาหารสัตว์ในประเทศ รวมทั้ง เพื่อให้คณะทำงานนโยบายการค้าสหรัฐอเมริกาสามารถจัดทำข้อเสนอของไทยสำหรับเจรจากับสหรัฐอเมริกา เกี่ยวกับประเด็นการค้าและลดผลกระทบที่จะเกิดจากนโยบายการค้าของสหรัฐอเมริกา” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีย้ำ * ข่าว * เศรษฐกิจ * ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ * การค้าระหว่างประเทศ * นำเข้า
dlvr.it
November 11, 2025 at 9:36 AM
สภาการสื่อมวลชนฯ รับรองร่างแนวปฏิบัติการรายงานข่าวเด็ก-อาชญากรรม เหตุรุนแรง และคู่มือจริยธรรมสื่อ
สภาการสื่อมวลชนฯ รับรองร่างแนวปฏิบัติการรายงานข่าวเด็ก-อาชญากรรม เหตุรุนแรง และคู่มือจริยธรรมสื่อ auser15 Tue, 2025-11-11 - 15:40 สภาการสื่อมวลชนฯ มีมติรับรองร่างแนวปฏิบัติการรายงานข่าวเด็ก แนวปฏิบัติการรายงานข่าวอาชญากรรมและเหตุการณ์ความรุนแรง และคู่มือจริยธรรมสื่อสารมวลชนในกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ ซึ่ง กสทช. ร่วมดำเนินการกับ 3 สภาวิชาชีพ พร้อมเห็นชอบรายชื่อคณะกรรมการสรรหาเพื่อให้มีผู้มาดำรงตำแหน่งแทนกรรมการที่พ้นจากตำแหน่ง 11 พฤศจิกายน 2568 เว็บไซต์สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ รายงานว่า นายชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี ประธานสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ เปิดเผยหลังการประชุมคณะกรรมการสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ ครั้งที่ 11/2568 ว่า ที่ประชุมเห็นชอบรายชื่อคณะกรรมการสรรหาเพื่อให้มีผู้มาดำรงตำแหน่งแทนกรรมการที่พ้นจากตำแหน่ง เนื่องจากหนังสือพิมพ์เพชรภูมิ ได้ส่งหนังสือลาออกจากองค์กรสมาชิก สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2568 ทำให้ นายศักดิ์สิทธิ์ วิบูลศิลป์โสภณ ขาดสมาชิกภาพการเป็นกรรมการสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ ประเภทสามัญ กลุ่มหนังสือพิมพ์ โดยคณะกรรมการสรรหาฯ ประกอบด้วยตน นายวีรศักดิ์ โชติวานิช กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ รองประธานคนที่ 2 และนายภูวสิษฏ์ สุขใส รองเลขาธิการสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ โดยวันที่ 12 พฤศจิกายน สภาการสื่อมวลชนฯ จะส่งจดหมายเชิญองค์กรสมาชิก ประเภทสามัญ กลุ่มหนังสือพิมพ์ ให้ส่งผู้แทนลงสรรหาแทนกรรมการที่ว่างลง ให้ตอบกลับภายในวันที่ 19 พฤศจิกายน และวันที่ 20 พฤศจิกายน เป็นวันสรรหา ประธานสภาการสื่อมวลชนฯ กล่าวอีกว่า ที่ประชุมได้รับรองร่างแนวปฏิบัติการรายงานข่าวเด็ก แนวปฏิบัติการรายงานข่าวอาชญากรรมและเหตุการณ์ความรุนแรง และคู่มือจริยธรรมสื่อสารมวลชนในกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ดำเนินการ ขั้นตอนการยกร่างมีผู้แทนสภาวิชาชีพด้านสื่อมวลชนเข้าไปร่วมด้วย รวมทั้งได้เปิดรับฟังความคิดเห็นจากผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดแล้ว โดยกสทช. จะจัดเวิร์คชอปเพื่อสร้างความเข้าใจในแนวปฏิบัติในเดือนธันวาคม หลังจากนี้สภาการสื่อมวลชนฯ จะแจ้งให้องค์กรสมาชิกทราบต่อไป Final-แนวปฏิบัติการรายงานข่าวอาชญากรรม281068.pdf (1 download ) คู่มือจริยธรรมฯ-Full.pdf (2 downloads ) Final-แนวปฏิบัติการรายงานข่าวเด็ก_28102568.pdf (2 downloads ) * ข่าว * สังคม * คุณภาพชีวิต * สื่อมวลชน * สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ * กสทช.
dlvr.it
November 11, 2025 at 8:42 AM
UNHCR เตือนค่ายผู้ลี้ภัยอาจอยู่อาศัยไม่ได้ภายในปี 2050 จากสภาพอากาศรุนแรง
UNHCR เตือนค่ายผู้ลี้ภัยอาจอยู่อาศัยไม่ได้ภายในปี 2050 จากสภาพอากาศรุนแรง auser15 Tue, 2025-11-11 - 15:23 UNHCR เปิดเผยว่า ผู้คนถึง 117 ล้านคนต้องหนีออกจากบ้านเกิดเพราะสงครามและความรุนแรง ขณะเดียวกันยังต้องเผชิญวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงขึ้น คาดว่าภายในปี 2050 ค่ายผู้ลี้ภัยที่ร้อนที่สุดจะเผชิญความร้อนสูงสุดเกือบ 200 วันต่อปี จนหลายพื้นที่อาจอยู่อาศัยไม่ได้ ภาพจาก: UNICEF Ethiopia (CC BY-NC-ND 2.0) 11 พฤศจิกายน 2025 เว็บไซต์ UN News รายงานว่า สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) เปิดเผยเมื่อวันจันทร์ (10 พ.ย.) ว่า ตอนนี้มีผู้คนถึง 117 ล้านคนต้องหนีออกจากบ้านเกิดเพราะสงคราม ความรุนแรง และการถูกข่มเหง ขณะเดียวกันก็ยังต้องเผชิญปัญหาวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น UNHCR ระบุว่า "ไม่ว่าจะเป็นน้ำท่วมใหญ่ในซูดานใต้และบราซิล ความร้อนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในเคนยาและปากีสถาน หรือการขาดแคลนน้ำในชาดและเอธิโอเปีย สภาพอากาศที่รุนแรงกำลังผลักดันชุมชนที่อ่อนแออยู่แล้วให้เข้าสู่จุดวิกฤต" ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ภัยพิบัติจากสภาพอากาศทำให้ผู้คนต้องอพยพภายในประเทศถึง 250 ล้านครั้ง หรือเฉลี่ยวันละ 70,000 คน คิดเป็นอัตราการอพยพ 2 ครั้งทุกๆ 3 วินาที ปีนี้มีผู้คนกลับไปซีเรียและอัฟกานิสถานเป็นจำนวนมาก ทำให้จำนวนผู้พลัดถิ่นทั่วโลกลดลงเมื่อเทียบกับปี 2024 ชุมชนแนวหน้าเผชิญวิกฤตหนัก รายงานฉบับใหม่ของ UNHCR ชี้ให้เห็นว่า 3 ใน 4 ของผู้ที่ถูกบังคับให้หนีออกจากบ้านตอนนี้อาศัยอยู่ในประเทศที่ชุมชนแนวหน้าต้องเผชิญภัยคุกคามจากสภาพภูมิอากาศในระดับ "สูงถึงสูงสุด" ฟิลิปโป กรันดี (Filippo Grandi) ข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติที่กำลังจะสิ้นสุดวาระ กล่าวว่า "สภาพอากาศที่รุนแรงทำให้ผู้คนตกอยู่ในอันตรายมากขึ้น มันขัดขวางการเข้าถึงบริการที่จำเป็น ทำลายบ้านเรือนและอาชีพ และบังคับให้ครอบครัวต่างๆ ซึ่งหลายคนเพิ่งหนีจากความรุนแรงมาได้ ต้องหนีไปอีกครั้ง" "คนเหล่านี้สูญเสียอะไรมามากมายแล้ว แต่ตอนนี้พวกเขากลับต้องเผชิญความยากลำบากและความหายนะซ้ำแล้วซ้ำเล่า พวกเขาได้รับผลกระทบหนักที่สุดจากภัยแล้งรุนแรง น้ำท่วมร้ายแรง และคลื่นความร้อนที่สูงเป็นประวัติการณ์ แต่กลับมีทรัพยากรน้อยที่สุดในการฟื้นตัว" ระบบคุ้มครองตึงเครียดจนสุดขีด UNHCR เตือนว่า ระบบช่วยเหลือเบื้องต้นสำหรับผู้ลี้ภัยทั่วโลกตอนนี้อยู่ในภาวะตึงเครียดแล้ว ตัวอย่างเช่น ในบางพื้นที่ของชาดที่ประสบน้ำท่วม ผู้ลี้ภัยที่เพิ่งมาถึงจากการหนีสงครามในซูดานประเทศเพื่อนบ้านได้รับน้ำไม่ถึง 10 ลิตรต่อวัน ซึ่งต่ำกว่ามาตรฐานฉุกเฉินมาก หลักฐานยังชี้ว่า ภายในปี 2050 ค่ายผู้ลี้ภัยที่ร้อนที่สุดอาจต้องเผชิญกับความร้อนสูงสุดเกือบ 200 วันต่อปี ซึ่งเสี่ยงอย่างร้ายแรงต่อสุขภาพและการอยู่รอด UNHCR ยืนยันว่า "หลายพื้นที่เหล่านี้น่าจะกลายเป็นที่ที่อยู่อาศัยไม่ได้ เพราะความร้อนสูงสุดและความชื้นสูงผสมกันอย่างอันตราย" ภัยคุกคามจากการเสื่อมโทรมของที่ดินในแอฟริกา รายงานระบุว่า ผู้ลี้ภัย 1.2 ล้านคนกลับบ้านในช่วงต้นปี 2025 แต่ครึ่งหนึ่งกลับไปยังพื้นที่ที่ "เปราะบางต่อสภาพภูมิอากาศ" ขณะที่ UNHCR ยังพบว่า 75% ของพื้นที่ทั่วทวีปแอฟริกากำลังเสื่อมโทรมลง และมากกว่า 1 ใน 2 ของที่ตั้งผู้ลี้ภัยอยู่ในพื้นที่ "ความเครียดสูง" UNHCR กล่าวว่า "สถานการณ์นี้ทำให้การเข้าถึงอาหาร น้ำ และรายได้ลดลง" และยังเป็นตัวผลักดันให้มีการสรรหาสมาชิกเข้ากลุ่มติดอาวุธในบางส่วนของซาเฮล ก่อให้เกิดความขัดแย้งและการพลัดถิ่นซ้ำๆ แม้ความต้องการจะเพิ่มขึ้น แต่การขาดแคลนเงินทุนและสิ่งที่ UNHCR เรียกว่า "ระบบการเงินด้านสภาพภูมิอากาศที่ไม่เป็นธรรมอย่างยิ่ง" ทำให้ผู้คนหลายล้านไม่ได้รับการคุ้มครอง วันนี้ ประเทศที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งและเป็นที่พำนักของผู้ลี้ภัยได้รับเงินทุนด้านสภาพภูมิอากาศเพียงหนึ่งในสี่ของที่พวกเขาต้องการ ขณะที่เงินทุนสภาพภูมิอากาศส่วนใหญ่ของโลกไม่เคยไปถึงชุมชนผู้พลัดถิ่นหรือชุมชนที่รับพวกเขาไว้เลย กรันดีกล่าวในวันเปิดการประชุมสุดยอดสภาพภูมิอากาศ COP30 ของสหประชาชาติที่เบเลง (Belem) ประเทศบราซิลว่า "การตัดเงินทุนกำลังจำกัดความสามารถของเราในการปกป้องผู้ลี้ภัยและครอบครัวผู้พลัดถิ่นจากผลกระทบของสภาพอากาศที่รุนแรงอย่างมาก" ผู้นำ UNHCR กล่าวเสริมว่า "ถ้าเราต้องการความมั่นคง เราต้องลงทุนในที่ที่ผู้คนเสี่ยงมากที่สุด เพื่อป้องกันการพลัดถิ่นเพิ่มเติม เงินทุนด้านสภาพภูมิอากาศต้องไปถึงชุมชนที่อยู่อย่างแขวนลอยอยู่แล้ว พวกเขาจะถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวไม่ได้ COP ครั้งนี้ต้องสร้างการเปลี่ยนแปลงจริงๆ ไม่ใช่แค่คำสัญญาว่างเปล่า" ประเด็นสำคัญจากรายงานของ UNHCR ระบุว่า 3 ใน 4 ของผู้ลี้ภัยหรือผู้พลัดถิ่นจากความขัดแย้งกำลังอาศัยอยู่ในประเทศที่เผชิญภัยคุกคามจากสภาพภูมิอากาศในระดับสูงถึงสูงสุด ผู้ลี้ภัย 1.2 ล้านคนกลับบ้านในช่วงต้นปี 2025 โดยครึ่งหนึ่งกลับไปยังพื้นที่เปราะบางต่อสภาพภูมิอากาศ 75% ของพื้นที่ในแอฟริกากำลังเสื่อมโทรมลง และมากกว่าครึ่งหนึ่งของที่ตั้งผู้ลี้ภัยอยู่ในพื้นที่ความเครียดสูง ที่ตั้งผู้ลี้ภัยเกือบทั้งหมดจะเผชิญกับความร้อนอันตรายที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน ภายในปี 2050 ค่ายผู้ลี้ภัย 15 แห่งที่ร้อนที่สุดในโลกซึ่งตั้งอยู่ในแกมเบีย เอริเทรีย เอธิโอเปีย เซเนกัล และมาลี คาดว่าจะเผชิญความร้อนอันตรายเกือบ 200 วันหรือมากกว่านั้นต่อปี ภายในปี 2040 จำนวนประเทศที่เผชิญภัยพิบัติจากสภาพภูมิอากาศอย่างรุนแรงอาจเพิ่มจาก 3 ประเทศเป็น 65 ประเทศ และตั้งแต่เมษายน 2023 มีผู้คนเกือบ 1.3 ล้านคนหนีความขัดแย้งในซูดานไปขอลี้ภัยในซูดานใต้และชาด ซึ่งเป็น 2 ประเทศที่มีความพร้อมน้อยที่สุดในการรับมือกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่เพิ่มขึ้น   * ข่าว * ต่างประเทศ * สิ่งแวดล้อม * UNHCR * ค่ายผู้ลี้ภัย * ผู้ลี้ภัย * การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ * สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ
dlvr.it
November 11, 2025 at 8:28 AM
‘The Old Man Town เมืองผู้สูงวัย’ โมเดลใหม่ ‘อบต.ม่วงคำ’ ดูแลผู้มีภาวะพึ่งพิง-ผู้สูงอายุครบวงจร
‘The Old Man Town เมืองผู้สูงวัย’ โมเดลใหม่ ‘อบต.ม่วงคำ’ ดูแลผู้มีภาวะพึ่งพิง-ผู้สูงอายุครบวงจร auser15 Tue, 2025-11-11 - 14:26 อบต. ม่วงคำ รุกโครงการ “The Old Man Town : เมืองผู้สูงวัยตำบลม่วงคำ” อบต.ม่วงคำ อ.พาน จ.เชียงราย โมเดลใหม่ดูแลผู้สูงอายุครบวงจร เน้นสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคแบบองค์รวม หนุนเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีของคนในชุมชน พร้อมจัดตั้ง “ศูนย์ชีวาภิบาล” หน่วยบริการ 3 โดยภาคประชาชน ร่วมดูแลผู้มีภาวะพึ่งพิง พร้อมเป็นพื้นที่ฝึกอบรม Care giver โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก สร้างรายได้ให้คนในชุมชน เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2568 ที่ผ่านมา นางสายสุรี ทนันชัย นายกองค์การบริหารส่วนตำบลม่วงคำ (อบต.ม่วงคำ) นำ ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) พร้อมคณะผู้บริหาร สปสช. ลงพื้นที่เยี่ยมชมการดำเนินโครงการ “The Old Man Town : เมืองผู้สูงวัยตำบลม่วงคำ” โครงการต้นแบบพัฒนาระบบบริการดูแลผู้สูงอายุแบบครบวงจร พร้อมร่วมพิธีเปิดโครงการฯ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุให้ได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่อง และสถานชีวาภิบาล Nursing home Elite Health plus หน่วยบริการมาตรา 3 ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) ที่ให้บริการดูแลผู้มีภาวะพึ่งพิง รวมถึงผู้สูงอายุในชุมชน และจ้างงานผู้ดูแลผู้มีภาวะพึ่งพิง (Care giver) จากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากของรัฐบาล ณ อบต.ม่วงคำ อ.พาน จ.เชียงราย นางสายสุรี ทนันชัย นายก อบต.ม่วงคำ กล่าวว่า โครงการ The Old Man Townฯ เกิดจากโครงสร้างประชากรของตำบลที่มีผู้สูงอายุมากขึ้น ปัจจุบันมีผู้สูงอายุถึงจำนวน 2,615 คน หรือร้อยละ 33 ของประชากรในพื้นที่ ทำให้ อบต.ม่วงคำต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบดูแลผู้สูงอายุ เพื่อให้ใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพที่ดี มีศักดิ์ศรี พึ่งพาตนเองได้ยาวนานที่สุด มุ่งพัฒนาทั้ง 6 มิติ ได้แก่ สุขภาพ สวัสดิการ สภาพแวดล้อม เศรษฐกิจอาชีพ เทคโนโลยีและนวัตกรรม และศาสนา วัฒนธรรม ภูมิปัญญา เน้นการดูแลเชิงรุกและส่งเสริมสุขภาพแบบองค์รวม โดยได้รับความร่วมมือจากบุคลากรทางการแพทย์ของโรงพยาบาลพาน ซึ่งเป็นโรงพยาบาลชุมชนในพื้นที่ ออกเยี่ยมบ้านให้บริการรักษาพยาบาล สร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค บริการฟื้นฟูสุขภาพอย่างต่อเนื่อง พร้อมจัดกิจกรรมเสริมสร้างสุขภาวะกายใจ การฝึกอาชีพเสริม และการพัฒนาระบบฐานข้อมูลผู้สูงอายุผ่านเครือข่าย “E-smart Moung Kham” เพื่อให้การดูแลมีประสิทธิภาพและยั่งยืน นอกจากนี้ อบต.ม่วงคำ ได้จัดตั้งสถานชีวาภิบาล “Nursing home Elite Health plus” โดยภาคประชาสังคม ที่ทะเบียนหน่วยบริการมาตรา 3 กับ สปสช. แล้ว โดยพัฒนาศักยภาพคนในพื้นที่ผ่านหลักสูตรดูแลผู้สูงอายุ 420 ชั่วโมง หลักสูตรผู้ดำเนินการดูแลผู้สูงอายุ 130 ชั่วโมง และหลักสูตร BMC 91 ชั่วโมง จากราชวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ ซึ่งจะได้รับงบสนับสนุนจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ส่งผลให้เกิดเครือข่าย Care giver ในชุมชนจำนวน 10 คน ซึ่งล้วนเป็นอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) โดยปีงบประมาณ 2568 ที่ผ่านมา อบต.ม่วงคำ ได้ร่วมโครงการจ้าง Care giver เพิ่มอีก 10 คน ตามนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก เพื่อสร้างอาชีพและรายได้ให้กับคนในพื้นที่ ถือเป็นการต่อยอดการวางระบบดูแลผู้สูงอายุแบบบูรณาการ ทั้งในด้านโครงสร้าง การจัดการ และการบริการ เพื่อให้ชุมชนสามารถพึ่งพาตนเองและเติบโตอย่างยั่งยืนในสังคมสูงวัย “อบต.ม่วงคำ ไม่สามารถใช้งบประมาณท้องถิ่นของ อบต. ในด้านสุขภาพได้โดยตรง เพราะต้องจัดสรรไปยังโครงสร้างพื้นฐานในด้านอื่นๆ จึงได้สร้างภาคีเครือข่ายความร่วมมือจากหน่วยงานด้านสาธารณสุขและการศึกษา เช่น มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง มหาวิทยาลัยพะเยา มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย รวมถึง สปสช. เพื่อสนับสนุนความรู้ และงบประมาณในการจัดบริการสุขภาพต่างๆ ให้กับกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะผู้สูงอายุ” นายก อบต.ม่วงคำ กล่าว นายพิชเยศ ทนันชัย หนึ่งใน Care giver พื้นที่ ต.ม่วงคำ กล่าวว่า ดีใจที่ได้เข้าร่วมทำหน้าที่ดูแลผู้มีภาวะพึ่งพิง เพราะต้องการกลับมาช่วยเหลือผู้สูงอายุและผู้ที่ต้องได้รับการดูแลในชุมชนอยู่แล้ว โดยเฉพาะผู้ป่วยติดบ้านหรือติดเตียง ซึ่งการได้เข้าไปเยี่ยมและดูแลอย่างต่อเนื่องทำให้เห็นรอยยิ้มและความสุขของผู้สูงอายุ ถือเป็นกำลังใจสำคัญในการทำงาน ซึ่งที่ผ่านมาได้เข้ารับการอบรมหลักสูตรดูแลผู้สูงอายุ 420 ชั่วโมง จากราชวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ ช่วยให้มีความรู้ด้านกายภาพและจิตใจของผู้สูงอายุ เข้าใจความต้องการและให้การดูแลได้อย่างเหมาะสม สำหรับการให้บริการในสถานชีวาภิบาลที่ดูแลผู้ป่วยระยะท้ายหรือผู้มีภาวะพึ่งพิง กรณีที่เป็นผู้ป่วยกลุ่มเป้าหมายจะไม่มีค่าใช้จ่าย แต่หากผู้ป่วยหรือสูงอายุรายอื่นๆ ที่ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมาย แต่ต้องการให้สถานชีวาภิบาลช่วยดูแล จะมีการเก็บค่าใช้จ่าย ซึ่งเริ่มต้นที่ 19,000 บาทต่อเดือน รายได้ส่วนนี้จะนำเข้าวิสาหกิจชุมชนร้อยละ 5 เพื่อสร้างอาชีพให้คนในชุมชน และอีกส่วนหนึ่งนำมาเพิ่มเติมเพื่อดูแลผู้ป่วยบัตรทองและพัฒนาสถานชีวาภิบาลต่อไป “หากผู้สูงอายุเข้าเกณฑ์การดูแลตามสิทธิประโยชน์ของสถานชีวาภิบาลในชุมชน ก็สามารถตั้งเบิกค่าบริการจาก สปสช. ได้โดยตรง ขณะที่ผู้ที่เข้ารับบริการทั่วไป เช่น ผู้สูงอายุที่ไม่มีผู้ดูแล หรืออยู่ระหว่างพักฟื้นหลังการผ่าตัด จะมีการคิดค่าบริการแยกต่างหากตามประเภทของการดูแล โดยมุ่งเน้นการให้บริการแบบองค์รวมครบทุกระยะ ตั้งแต่ระยะเฉียบพลัน (Acute Care) ระยะกลาง (Intermediate Care) ระยะยาว (Long Term Care) จนถึงระยะท้ายของชีวิต (Palliative Care) เพื่อให้ผู้สูงอายุได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่องและทั่วถึงในทุกช่วงชีวิต” นายพิชเยศ กล่าว ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการ สปสช. กล่าวว่า ตำบลม่วงคำ ภายใต้การบริหารของ อบต.ม่วงคำ เป็นพื้นที่ต้นแบบการดูแลผู้สูงอายุแบบครบวงจร ภายใต้โมเดล “The Old Man Town : เมืองผู้สูงวัยตำบลม่วงคำ” ที่บูรณาการการทำงานของภาครัฐ ท้องถิ่น และชุมชนเข้าด้วยกันอย่างยั่งยืน โดยมีจุดเด่นคือเป็นพื้นที่อยู่อาศัยจริงของผู้สูงอายุที่ได้รับการดูแลต่อเนื่องจากหน่วยบริการสุขภาพระดับปฐมภูมิ (PCU) และทีม Care giver รวมถึงเป็นแหล่งเรียนรู้และขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชน โครงการดังกล่าวดำเนินภายใต้บริการ สร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค (P&P) โดยใช้งบจาก กองทุนหลักประกันสุขภาพท้องถิ่น (กปท.) ร่วมกับงบของ สปสช. และกองทุน ระบบการดูแลระยะยาว (LTC) สำหรับผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง รวมถึงงบกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ใช้จ้าง Care giver เดือนละ 5,000–6,000 บาท เพื่อขยายการดูแลให้ครอบคลุมมากขึ้น ทั้งยังมี ศูนย์ชีวาภิบาล ที่เป็นหน่วยบริการตามมาตรา 3 สามารถเบิกงบจาก สปสช. ได้ปีละ 10,442 บาทต่อหัวประชากร สำหรับดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย “สปสช. เปรียบเสมือนสารตั้งต้น ที่สนับสนุนท้องถิ่นให้พัฒนาระบบดูแลผู้สูงอายุอย่างยั่งยืน ทั้งด้านงบประมาณและระบบบริหารจัดการ ซึ่ง อบต.ม่วงคำ คือ ตัวอย่างของการพัฒนาอย่างมีส่วนร่วม ที่สร้างทั้งสุขภาพและเศรษฐกิจชุมชนได้จริง” รองเลขาธิการ สปสช. กล่าว * ข่าว * สังคม * คุณภาพชีวิต * สุขภาพ * สปสช. * ท้องถิ่น * อบต.ม่วงคำ * พาน * เชียงราย * ศูนย์ชีวาภิบาล * สังคมสูงวัย
dlvr.it
November 11, 2025 at 7:30 AM
'มาเลเซีย-ไทย' เดินหน้าค้นหาชาวโรฮิงญาที่สูญหายหลังเรือล่ม
'มาเลเซีย-ไทย' เดินหน้าค้นหาชาวโรฮิงญาที่สูญหายหลังเรือล่ม auser15 Tue, 2025-11-11 - 14:14 มาเลเซียและไทยกลับมาดำเนินการค้นหาผู้สูญหายในทะเลอีกในวันนี้ (11 พ.ย.) หลังจากเรือที่บรรทุกชาวโรฮิงญาล่มลงในทะเลชายแดนของทั้งสองประเทศเมื่อหลายวันก่อน จนมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 21 ราย ที่มาภาพ: Agensi Penguatkuasaan Maritim Malaysia (Malaysia Coast Guard)  11 พฤศจิกายน 2568 สำนักข่าวไทย รายงานว่า มาเลเซียและไทยกลับมาดำเนินการค้นหาผู้สูญหายในทะเลอีกครั้งในวันนี้ (11 พ.ย.) หลังจากเรือที่บรรทุกชาวโรฮิงญาที่หนีการถูกกวาดล้างในเมียนมา ล่มลงในทะเลชายแดนของทั้งสองประเทศเมื่อหลายวันก่อน จนมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 21 ราย สำนักงานทางทะเลของมาเลเซียแจ้งเมื่อวันจันทร์ (10 พ.ย.) ว่ามีผู้รอดชีวิต 13 คนได้รับการช่วยเหลือในน่านน้ำมาเลเซียตั้งแต่วันเสาร์ (8 พ.ย.) ขณะที่พบผู้เสียชีวิตแล้ว 12 ราย ซึ่งรวมถึงเด็ก 2 คน รอมลี มุสตาฟา ผู้อำนวยการระดับภูมิภาคของสำนักงานทางทะเลมาเลเซียระบุว่า เจ้าหน้าที่ของไทยพบผู้เสียชีวิต 9 ราย ในขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจไทยในจังหวัดสตูลจะแจ้งว่าพบเพียง 6 รายก็ตาม รอมลีกล่าวว่า ทางการมาเลเซียจะดำเนินการค้นหาต่อไปจนถึงวันเสาร์ ขณะที่เจ้าหน้าที่กู้ภัยไทยกล่าวว่า ทีมค้นหาจะขยายพื้นที่ปฏิบัติการรอบเกาะตะรุเตา ซึ่งเป็นบริเวณที่พบศพส่วนใหญ่ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาชาวมุสลิมโรฮิงญาจำนวนมากต้องเสี่ยงเดินทางด้วยเรือไม้ที่ผุพังเพื่อพยายามไปให้ถึงประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงมาเลเซียและอินโดนีเซีย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเทศมุสลิม รวมถึงประเทศไทย โดยมีเป้าหมายเพื่อหนีการกวาดล้างในเมียนมา หรือหนีความแออัดยัดเยียดในค่ายผู้ลี้ภัยในบังกลาเทศ เมียนมาซึ่งประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวพุทธ ปฏิเสธข้อกล่าวหาเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อชาวโรฮิงญาในรัฐยะไข่ทางตะวันตกของประเทศ แต่ยืนยันว่าชนกลุ่มน้อยเหล่านี้ไม่ใช่พลเมืองของเมียนมา แต่เป็นผู้อพยพผิดกฎหมายจากเอเชียใต้ มาเลเซียระบุว่า ชาวโรฮิงญาหลายร้อยคนได้ลงเรือที่มุ่งหน้าไปยังมาเลเซียเมื่อสองสัปดาห์ที่แล้ว และถูกย้ายไปยังเรือสองลำเมื่อวันพฤหัสบดี (6 พ.ย.) เรือลำหนึ่งบรรทุกผู้คน 70 คนได้ล่มลงหลังจากนั้นไม่นาน ขณะที่ชะตากรรมของผู้คนประมาณ 230 คนบนเรืออีกลำยังคงไม่ชัดเจน * ข่าว * สิทธิมนุษยชน * ต่างประเทศ * โรฮิงญา * มาเลเซีย
dlvr.it
November 11, 2025 at 7:16 AM
ที่ประชุม สมช. มีมติระงับการปฏิบัติตามถ้อยแถลงร่วมไทย-กัมพูชา
ที่ประชุม สมช. มีมติระงับการปฏิบัติตามถ้อยแถลงร่วมไทย-กัมพูชา auser15 Tue, 2025-11-11 - 12:44 รมว.กลาโหม เผยที่ประชุม สมช. มีมติระงับการปฏิบัติตามถ้อยแถลงร่วม ไทย-กัมพูชา ยุติส่งเชลยศึก ชี้ไม่คาดหวังความจริงใจกัมพูชา  ด้าน รมว.กลาโกม จ่อฟ้องประชาคมโลก จี้กัมพูชาแสดงความรับผิดชอบ หากอยากกลับไปสู่สิ่งที่ควรจะเป็น - ทบ. ยุติทุกข้อตกลง และรักษาสิทธิในการป้องกันตนเอง จากการถูกกระทำอย่างไม่เป็นธรรม - ผบ.ทหารสูงสุด สั่ง 3 เหล่าทัพ ยึดมติ คบท. เดิม ให้ใช้ แผนจักรพงษ์ภูวนารถฯ ปิดด่านชายแดน - สร้างรั้ว - ยึดกฎการใช้กำลัง - ป้องกันตนเอง หากมีการกระทำที่เป็นปรปักษ์และ ใช้กฎอัยการศึก เตรียมแผน เป็นไปตามกฎหมาย 11 พฤศจิกายน 2568 พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงภายหลังการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือ สมช. ว่า ที่ประชุมพิจารณา 3 เรื่องหลัก คือ 1.การสูญเสียของกำลังพลของกองทัพไทย เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ ขอแสดงความเสียใจต่อการสูญเสียครั้งนี้ 2.คือการมีกับระเบิดในพื้นที่อธิปไตยของไทยถือว่ามีผลกระทบต่ออธิปไตย และเรื่องที่ 3.รัฐบาลจะปกป้องอธิปไตยและชีวิตของคนไทยและทหารไทยอย่างเต็มขีดความสามารถ โดยสรุป คือ ระงับการปฏิบัติตาม Joint Declaration หรือ ถ้อยแถลงการร่วมระหว่างไทยและกัมพูชา ระหว่างไทยและกัมพูชา ไว้ก่อนทั้งหมด และยุติการส่งเชลยศึกกลับทางกัมพูชา ส่วนการคาดหวังความจริงใจจากกัมพูชา เพราะปัจจุบันได้ แสดงให้เห็นชัดเจนแล้วว่ามีความจริงใจหรือไม่ พเอกณัฐพล กล่าวว่าในส่วนของกองทัพ ไม่ได้คาดหวัง อะไรก็ตาม ที่เป็นการกระทำไทยฝ่ายเดียว ไทยจะดำเนินการในเขตอธิปไตยของไทย ส่วนจะมีการยกระดับมาตรการอะไรหรือไม่ พลเอกณัฐพล กล่าวว่า ขณะนี้ได้มีการยกระดับมาตรการแล้ว คือการระงับการปฎิบัติตามถ้อยแถลง และเป็นการปฎิบัติการทางทหาร ในเขตอธิปไตยของไทย แต่ไม่สามารถบอกรายละเอียดถึงการปฎิบัติการทางทหารได้ ส่วนแผนการเก็บกู้ทุ่นระเบิดจะมีความเสี่ยงอะไรเพิ่มขึ้นต่อกำลังพลที่เข้าไปดำเนินการหรือไม่ พลเอกณัฐพล ย้ำว่าการเก็บกู้ทุ่น ระเบิดมีสองระดับ คือระดับหน่วยปฏิบัติการในพื้นที่ มีขีดความสามารถในการเก็บกู้ได้เอง ที่ผ่านมาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ดังกล่าว เป็นพื้นที่ที่ปฏิบัติการอยู่เป็นประจำ แต่หน่วยทหารที่ปฏิบัติการในพื้นที่ สามารถเก็บกู้ทุนระเบิดได้ แต่การเก็บกู้ทุ่นระเบิดที่เป็นทางการ และได้มาตรฐานเต็มรูปแบบ คือการเก็บกู้โดย หน่วยปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ ซึ่งกองทัพไทยเป็นผู้รับผิดชอบ ซึ่งขณะนี้กองทัพไทยรับผิดชอบเก็บกู้ เก็บใน 5 พื้นที่ โดยอีกหนึ่งพื้นที่ทางกัมพูชายังไม่ตอบรับ ซึ่งเราจะดำเนินการเข้าไปเก็บกู้เลย ส่วนที่มีการรื้อรั้วลวดหนามและวางกับระเบิด ซึ่งอาจจะมีเรื่องนี้เกิดขึ้นอีกนั้นจะทำอย่างไร พลเอกณัฐพล กล่าวว่า ไทยมีกฎการใช้กำลังตามขั้นตอน คือ เตือน ยิง ด้วยอาวุธเบาและอาวุธหนัก แต่ไม่ขอชี้แจงในรายละเอียด ขอให้มั่นใจการปฏิบัติการทางทหาร ได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุม สมช. ว่าให้สามารถดำเนินการได้ตามสถานการณ์ และจะไม่มีการเจรจาเกิดขึ้น ทั้งจากตนเอง จากกระทรวงกลาโหม จาก GBC แต่การพูดคุยระหว่างประเทศมีกระบวนการที่เป็นสากลอยู่ ส่วนจะมีการทบทวนการถอนอาวุธหนักออกจากพื้นที่หรือไม่ พลเอกณัฐพล ไม่ขอตอบในเรื่องนี้ นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า ท่าทีของไทยที่ผ่านมาจะนำไปสู่สันติภาพก็ต่อเมื่อมีการปฏิบัติในข้อต่างๆที่ได้ระบุไว้ในถ้อยแถลง ดังนั้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคือการละเมิดการปฏิบัติตามถ้อยแถลง แต่ตรงไหนที่ไทยดำเนินการฝ่ายเดียวก็จะดำเนินการก็จะดำเนินการเช่น การเก็บกู้ทุนระเบิดก็จะดำเนินการต่อเพราะเป็นเรื่องของความปลอดภัย ของประชาชนตามแนวชายแดน ส่วนของกระทรวงการต่างประเทศก็จะดำเนินการประท้วง ซึ่งได้พูดคุยกับ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของกัมพูชาเพื่อประท้วงเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และจะมีการประท้วงเป็นลายลักษณ์อักษร ไปยังกัมพูชา และประท้วงในกรอบอนุสัญญาออตตาวา ว่าด้วยการห้ามใช้ทุ่นระเบิด พร้อมชี้แจงการดำเนินการไปยังสหรัฐและมาเลเซียซึ่งเป็นผู้ที่ลงนามร่วมในสักขีพยาน ในถ้อยแถลง ถึงความจำเป็นในการระงับถ้อยแถลง และรวมทั้งต้องชี้แจง ข้อเท็จจริงต่างๆ ไปยังประชาคมโลก ซึ่งจะประสานไปยังกระทรวงกลาโหม กองทัพไทย กองทัพบก เพื่อให้ท่าทีของไทยมีความหนักแน่น และมีความชอบธรรม และสุดท้าย ถ้าจะให้มีการ ปฏิบัติตามถ้อยแถลงไปสู่สิ่งที่ควรจะเป็น มีความจำเป็นที่ฝ่ายกัมพูชาต้องแสดงความรับผิดชอบ ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ด้วย คือการแสดงความเสียใจ ต้องมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงต่างๆ และกำหนดมาตรการเพื่อไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีก พร้อมย้ำว่า การประท้วงในครั้งนี้ เพราะมีการละเมิดข้อตกลงที่มีอยู่และประชาคมเข้าใจว่า เหตุใดจึงจะต้องมีการระงับการปฏิบัติตามถ้อยแถลง และถือเป็นการประณามกัมพูชาที่ไม่ปฏิบัติตามข้อปฏิบัติ ทั้งหมดถือว่ามีความเด็ดขาด และแสดงท่าทีที่ชัดเจน เมื่อถามว่าขณะนี้คือท่าทีที่เด็ดขาดจากไทยใช่หรือไม่ นายสีหศักดิ์ กล่าวว่า ทั้งหมดที่กล่าวไป ถือว่ามีความเด็ดขาด และเป็นการแสดงท่าทีที่ชัดเจน แต่ต้องดูว่ากัมพูชาจะตอบสนองอย่างไร เราก็จะยกระดับความเด็ดขาดของเราก็ได้ นายสีหศักดิ์ กล่าวว่าส่วนที่วานนี้ ได้มีการพูดคุยกับนายปรัก สุคน รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชานั้น ได้เรียนให้ทราบว่าเหตุการณ์นี้ไม่ควรเกิดขึ้น เป็นการละเมิดสิ่งที่ตกลงกันไว้ ไทยจึงต้องประท้วงและขอให้ตรวจสอบข้อเท็จจริง ส่วนการประเมินท่าทีของกัมพูชาที่ได้ออกมาปฏิเสธว่าทุ่นระเบิดนั้น เป็นทุ่นระเบิดเก่า ขั้นตอนต่อไปจะเป็นอย่างไร นายเสียศักดิ์กล่าวว่าการชี้แจงของทางกัมพูชายังไม่พอเพียง ที่จะทำให้ฝ่ายไทยมีความมั่นใจและมีความสบายใจ ท่าทีของไทยในขณะนี้คือการระงับการปฏิบัติตาม ถ้อยแถลง ไม่ใช่การประท้วงเพียงอย่างเดียว หลังจากนั้นจะดูท่าทีของฝ่ายกัมพูชาว่าจะเป็นอย่างไร ซึ่งจะมีผลต่อการตัดสินใจในครั้งนี้ ทั้งนี้ ไทยสามารถจะคว่ำบาตรความสัมพันธ์ได้หรือไม่ นายสีหศักดิ์ กล่าวว่า ขอให้ดำเนินการเป็นขั้นเป็นตอน และขอดูท่าทีของฝ่ายกัมพูชาซึ่งยังไม่มีการพูดถึงเรื่องการเจรจาเลย เพราะยังไม่มีพื้นที่สำหรับการพูดคุย ต้องดูท่าทีการตอบสนองของกัมพูชาก่อน ทบ. ยุติทุกข้อตกลง และรักษาสิทธิในการป้องกันตนเอง จากการถูกกระทำอย่างไม่เป็นธรรม จากสถานการณ์ชายแดนไทย - กัมพูชาที่มีความตึงเครียดเพิ่มขึ้น ภายหลังเหตุการณ์ที่มีกำลังพลได้รับบาดเจ็บจากการเหยียบทุ่นระเบิด พลเอก พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก ได้แสดงจุดยืนของกองทัพบกว่า “ความจริงได้ปรากฏอย่างชัดเจนแล้วว่า ท่าทีแห่งความเป็นปรปักษ์ยังคงอยู่ กองทัพบกจำเป็นต้องยุติทุกข้อตกลง เพื่อรักษาสิทธิในการป้องกันตนเองจากการถูกกระทำอย่างไม่เป็นธรรม” ผบ.ทหารสูงสุด สั่ง 3 เหล่าทัพ ยึดมติ คบท. เดิม ผบ.ทหารสูงสุด สั่ง 3 เหล่าทัพ ยึดมติ คบท. เดิม ให้ใช้ แผนจักรพงษ์ภูวนารถฯ ปิดด่านชายแดน - สร้างรั้ว - ยึดกฎการใช้กำลัง - ป้องกันตนเอง หากมีการกระทำที่เป็นปรปักษ์และ ใช้กฎอัยการศึก เตรียมแผน เป็นไปตามกฎหมาย หลังจากที่ กองบัญชาการกองทัพไทย ได้แสดงท่าที หลัง ทหารไทยเหยียบกับระเบิดเสียขาเป็นรายที่7 แล้วว่า  "กองทัพไทย ยุติทุกข้อตกลง จนกว่า กัมพูชาจะมีความจริงใจ อย่างชัดเจน ที่จะไม่เป็น"ปฏิปักษ์" และ กองทัพไทย พร้อมที่จะรักษาไว้ซึ่ง ศักดิ์ศรี และอธิปไตย ของชาติ รวมถึงความผาสุก ของพี่น้องประชาชนไทยทุกคน" นั้น พลเอก อุกฤษฏ์  บุญตานนท์  ผบ.ทหารสูงสุด  และ ผู้บัญชาการทางทหาร  ได้สั่งการไปยังเหล่าทัพ ให้ยึด มติการประชุม  คณะผู้บัญชาการทางทหาร(คบท.) ที่สำคัญ 3 ครั้ง ที่ยังคงไม่ได้ยกเลิก คือ  1. มติเมื่อ 24 ก.ค.2568 ให้ใช้แผนจักรพงษ์ภูวนารถฯ 2. มติเมื่อ 19 ก.ย.2568  : 1. คงการปิดด่านชายแดน 2. สร้างความมั่นคงชายแดนโดยการสร้างแนวรั้วและลาดตระเวน และ  3. ยืนยันการใช้กฎการใช้กำลัง (ROE) เพื่อป้องกันตนเอง หากมีการกระทำที่เป็นปรปักษ์ 3. เมื่อ 7 ต.ค.2568 : 1. ใช้กฎอัยการศึก 2. เตรียมแผน และ กฎการใช้กำลัง ที่เป็นไปตาม กฎหมาย  3. ทุกส่วนสนับสนุนฝ่ายทหาร ที่มาเรียบเรียงจาก: สำนักข่าวไทย | NBT Connext [1] [2]   * ข่าว * การเมือง * ความมั่นคง * กรณีพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา
dlvr.it
November 11, 2025 at 5:46 AM
ตม.เข้มคัดกรองต่างชาติเข้าไทย สกัดทำงานคอลเซนเตอร์
ตม.เข้มคัดกรองต่างชาติเข้าไทย สกัดทำงานคอลเซนเตอร์ auser15 Tue, 2025-11-11 - 12:08 ตม.กรองเข้มสนามบินทุกแห่ง โดยเฉพาะ 'ชาวเอเชียใต้-แอฟริกา' สกัดทำงานคอลเซ็นเตอร์ เผยมีชาวต่างชาติลักลอบเข้าเมืองตั้งแต่ 22 ต.ค.ที่ผ่านมา จำนวน 1,440 คน ส่วนใหญ่เป็นสัญชาติอินเดีย 465 คน รองลงมาเป็นแอฟริกา 270 คน ฟิลิปปินส์ 220 คน และจีน 187 คน ทั้งหมดจะถูกควบคุมตัวเพื่อเตรียมผลักดันกลับประเทศ 11 พฤศจิกายน 2568 Thai PBS รายงานว่า พล.ต.ต.เชิงรณ ริมผดี ในฐานะโฆษก สตม.เปิดเผยว่า วันที่ 10 พ.ย.ที่ผ่านมา พล.ต.ท.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ ผบช.สตม. เดินทางไปที่ อ.แม่สอด จ.ตาก เพื่อร่วมติดตามสถานการณ์การควบคุมส่งกลับชาวต่างชาติกับคณะนายอนุทิน ชาญวีรกุล นายกรัฐมนตรี พบว่า มีชาวต่างชาติที่ลักลอบหนีเข้าเมืองตั้งแต่วันที่ 22 ต.ค. ที่ผ่านมาประมาณ 1,440 คน ส่วนใหญ่เป็นสัญชาติอินเดีย 465 คน รองลงมาเป็นแอฟริกา 270 คน ฟิลิปปินส์ 220 คน และจีน 187 คน ทั้งหมดจะถูกควบคุมตัวเพื่อเตรียมผลักดันกลับประเทศ ตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 และคัดกรองผ่านการสัมภาษณ์ตามกระบวนการ NRM หรือ กลไกการส่งต่อระดับชาติ ซึ่งเป็นระบบประสานงานระหว่างหน่วยงานต่างๆ เพื่อให้ความช่วยเหลือและคุ้มครองผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์และการบังคับใช้แรงงานตามมาตรฐานสากล โดย พล.ต.ท.ภาณุมาศ สั่งให้ ตม.จ.ตาก จัดเก็บข้อมูลอัตลักษณ์ Biometric ชาวต่างชาติทุกคนลงระบบ สตม.เพื่อป้องกันคนต่างชาติเหล่านี้เปลี่ยนแปลงตัวตนในเอกสารเดินทางกลับเข้าประเทศไทยอีกครั้ง พร้อมให้ ตม.สนามบิน ทุกแห่ง เพิ่มความเข้มงวดตรวจสอบชาวต่างชาติ หากมีประวัติเคยถูกนำตัวส่งกลับจากแหล่งสแกมเมอร์ในประเทศเมียนมา ให้ปฏิเสธการเข้าเมืองทุกราย โดยเฉพาะสัญชาติเอเชียใต้และแอฟริกาตะวันออก รวมถึงให้ช่วยเตือนชาวต่างชาติในช่วงวัยรุ่นถึงวัยกลางคนที่เดินทางมาคนเดียวแต่ไม่มีแผนการท่องเที่ยวชัดเจน ไม่พบการซื้อตั๋วเดินทางกลับ และการจองโรงแรมที่พัก ต้องถูกสัมภาษณ์และแจ้งเตือนว่าอาจตกเป็นเหยื่อของกลุ่มสแกมเมอร์ที่หลอกให้มาทำงานผิดกฎหมาย ซึ่งตั้งแต่ต้นปี ตม.สนามบิน แจ้งเตือนชาวต่างชาติไปแล้ว 3,384 คน * ข่าว * สังคม * แรงงาน * คุณภาพชีวิต * สแกมเมอร์ * แก๊งคอลเซ็นเตอร์ * แรงงานข้ามชาติ * ชาวต่างชาติ
dlvr.it
November 11, 2025 at 5:10 AM
ห่วง กม.ควบคุมแอลกอฮอล์ฉบับใหม่ คนรีบดื่มก่อนเวลาห้ามขาย ส่งผลเสียต่อสุขภาพ
ห่วง กม.ควบคุมแอลกอฮอล์ฉบับใหม่ คนรีบดื่มก่อนเวลาห้ามขาย ส่งผลเสียต่อสุขภาพ auser15 Tue, 2025-11-11 - 11:44 ห่วงผลบังคับใช้ กม.ควบคุมแอลกอฮอล์ฉบับใหม่ ที่ห้ามดื่มแอลกอฮอล์ในสถานที่หรือบริเวณที่ขาย หลังเที่ยงคืน - 11.00 น. และ 14.00-17.00 น. หากฝ่าฝืนผู้ดื่มจะโดนปรับ หากกฎหมายฉบับนี้มีผลใช้บังคับจะทำให้มีผู้ดื่มหลายรายต้องรีบดื่มให้ทันก่อนเวลา ส่งผลเสียต่อสุขภาพ - ขอทบทวนยกเลิกช่วงเวลาห้ามขาย ภาพจาก: D.J. Milky (CC BY-NC-SA 2.0) สถานีวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์รัฐสภา รายงานเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2568 ว่า นายเท่าพิภพ  ลิ้มจิตรกร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) กรุงเทพมหานคร พรรคประชาชน กล่าวถึงการบังคับใช้พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2568 ในมาตรา 32 ที่ระบุข้อห้ามบริโภคแอลกอฮอล์ในที่สถานที่ที่ขายแอลกอฮอล์ หรือให้บริการเพื่อการค้า ในเวลาห้ามขาย หากฝ่าฝืนมีความผิด โทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท ว่า กฎหมายฉบับนี้จะมีผลบังคับใช้เมื่อพ้นกำหนด 60 วันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 8 พ.ย. 68 โดยห้ามดื่มแอลกอฮอล์ในสถานที่หรือบริเวณที่ขายหรือจัดบริการเพื่อประโยชน์ทางการค้า ในเวลาห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ คือ หลังเที่ยงคืน - 11.00 น. และ 14.00-17.00 น. โดยสิ่งที่ควรทราบคือ “ผู้ดื่มโดนปรับ” ส่วนการยกเลิกกำหนดช่วงเวลาขายนั้น รัฐบาลชุดที่แล้วได้ยกเว้นให้ขายในช่วงเวลา 14.00 - 17.00 น. ตามประกาศล่าสุดจะมี 3 แห่ง คือ 1. ท่าอากาศยานนานาชาติ 2. สถานบริการที่ถูกต้องตามกฎหมาย และ 3. โรงแรมที่มีใบอนุญาตโรงแรม ทั้งนี้ ไม่ได้มีการยกเว้นให้ “ร้านอาหาร” นายเท่าพิภพ กล่าวเพิ่มเติมว่า หากกฎหมายฉบับนี้มีผลใช้บังคับจะทำให้มีผู้ดื่มหลายราย ต้องรีบดื่มให้ทันก่อนเวลา และคนที่ดื่มหนัก ดื่มเร็ว ร่างกายจะได้รับแอลกอฮอล์เร็วและมากเกินไป ร่างกายจะพยายามกำจัดสารพิษออกจากร่างกาย มีโอกาสสูงที่จะทำให้เกิดภาวะขาดน้ำ มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ซึ่งเป็นกลไกป้องกันตัวเองของร่างกาย อีกทั้งยังอาจเกิดอาการปวดท้อง ท้องเสีย และหากอาเจียนรุนแรงอาจนำไปสู่ภาวะขาดน้ำและเกลือแร่จนต้องเข้ารับการรักษา ส่วนวิธีแก้ไข คือ ผู้ดื่มต้องมีสติอย่างมาก ทางผู้ดื่มต้องรู้ตัวเอง สั่งแต่พอดี คำนวนเวลาดื่มต่อแก้วให้ดี เฝ้ามองดูเวลา อย่างสม่ำเสมอ เพราะมิฉะนั้นอาจโดนปรับ หรือ ต้องรีบดื่มจนเมาหนักและอาจเกิดเหตุไม่คาดฝันได้ นายเท่าพิภพ กล่าวถึงการดำเนินมาตรการของทางรัฐบาลว่า หากพบว่ามาตราดังกล่าวเป็นปัญหาก็สามารถออกกฎหมายลูกมาผ่อนปรนได้ หรือจะยกเลิกเวลาห้ามขายไปเลยก็ได้ซึ่งก็เป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรี โดยคำแนะนำของคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อยู่เเล้ว ซึ่งก็จะทำให้มาตรานี้ไม่มีผลอีกต่อไป ทั้งนี้ ตนและพรรคประชาชน ยืนยันว่าการเปิดขายสุรา 24 ชั่วโมงเป็นเรื่องปกติ และตระหนักดีถึงปัญหาที่เกิดจากสุรา แต่ภาครัฐก็ควรมีมาตรการที่เหมาะสมด้วยสัดส่วน * ข่าว * สังคม * คุณภาพชีวิต * เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ * เท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร * สุขภาพ * พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
dlvr.it
November 11, 2025 at 4:48 AM
รมว.ดีอี แจงมิจฉาชีพส่ง e-mail อ้าง 4 หน่วยงาน ใช้โดเมนจริง แฮก taximail ไม่ใช่แฮกระบบ 4 หน่วยงาน
รมว.ดีอี แจงมิจฉาชีพส่ง e-mail อ้าง 4 หน่วยงาน ใช้โดเมนจริง แฮก taximail ไม่ใช่แฮกระบบ 4 หน่วยงาน auser15 Tue, 2025-11-11 - 11:08 รมว.ดีอี แจงเหตุมิจฉาชีพส่ง e-mail ปลอมอ้าง 4 หน่วยงาน หลอกลงทุน รับใช้โดเมนจริงส่งเมล แฮกระบบ taximail ไม่ใช่แฮกระบบ 4 หน่วยงาน ชี้ IP address จากต่างประเทศ พบกดลิงก์ 3,000 e-mail เสียหาย 1 ราย เตรียม ชง ครม. เคาะมาตรการสกัด “ส่ง e-mail ปลอมแนบลิงก์” หนุนยกระดับความปลอดภัยประชาชน สำนักข่าวไทยรายงานเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2568 ว่า นายไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานการประชุมหารือมาตรการป้องกันและปราบปราม การใช้ e-mail ปลอมแอบอ้างหน่วยงานเพื่อหลอกลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัล โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม อาทิสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) สมาคมผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลไทย ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสมาคมธนาคารไทย นายไชยชนก กล่าวว่า กรณีที่แฮกเกอร์ ใช้ข้อมูล Username สำหรับเข้าระบบ taximail ในนาม 4 บริษัท เพื่อนำไปใช้ในการส่งข้อความ Mass email หรือการส่งอีเมลข่าวสาร โปรโมชัน แนบลิงก์หลอกลวงจำนวนมากไปยังประชาชน แต่ไม่ใช่การแฮกระบบของทั้ง 4 บริษัทตามที่เป็นข่าว รวมทั้งไม่มีการแฮกข้อมูลของประชาชน จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าช่องทางการแฮกข้อมูลนั้น เกิดจากช่องว่างของกระบวนการยืนยันตัวตนแบบ Two-Factor Authentication (2FA) ผ่านอีเมล ซึ่งกำหนดอายุการใช้งานของรหัส OTP นานเกินไป ( 24 ชั่วโมง) และ รหัส OTP เป็นรหัสตัวเลข 6 หลักซึ่งทำให้สามารถนำไปใช้ในการโจมตีรูปแบบ brute-force ได้ สำหรับสถานการณ์ในขณะนี้ สํานักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) ได้ดำเนินการบล็อกข้อความลิงก์จำนวนประมาณ 100 ลิงก์ที่ถูกใช้สลับในการหลอกลวงทั้งหมดแล้ว ทั้งนี้ตนได้มอบหมายให้ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) หรือ PDPC เรียกบริษัทผู้ใช้บริการซึ่งถูกแฮกข้อมูลอีเมลทางการร่วมหารือ เพื่อพิจารณาว่ามีข้อมูลส่วนบุคคลรั่วไหลหรือไม่ มอบหมายให้ สกมช.ร่วมกับ taximail ตรวจสอบระบบข้อมูลกลาง เพื่อเฝ้าระวังการรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคลร่วมด้วย เบื้องต้นพบว่า เป็น IP Address มาจากต่างประเทศ พร้อมทั้งมอบหมายให้สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) หรือ ETDA แจ้งผู้ให้บริการ Mass email ในประเทศไทย เฝ้าระวังและยกระดับการรักษาความปลอดภัย และดูแลข้อมูลส่วนบุคคลของบริษัทผู้ใช้บริการ พร้อมทั้งให้มีการรวบรวมข้อมูลหลักฐานประกอบ เพื่อส่งให้กับสำนักงานตำรวจแห่งาติ (ตร.) ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป นอกจากนี้ ตนได้มอบหมายให้หน่วยงานฯ ดำเนินการตรวจสอบ ผลกระทบที่มีต่อประชาชน ซึ่งพบว่ามีการกดลิงก์ จำนวน 3,000 e-mail และพบความเสียหายจำนวน 1 ราย โดยให้จัดเตรียมมาตรการช่วยเหลือเยียวยา “อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นได้มีการกำหนดมาตรการ การปรับวิธีการส่ง e-mail แนบลิงก์ ของหน่วยงานราชการ และหน่วยงานอื่นๆ โดยเฉพาะการขอข้อมูลส่วนบุคคล หรือทำธุรกรรม ซึ่งตนจะนำเรื่องนี้เสนอในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้มีการพิจารณาต่อไป พร้อมกันนี้ขอให้ผู้ให้บริการ รวมถึงแพลตฟอร์มอื่นๆ จะต้องยกระดับมาตรฐานมากยิ่งขึ้น โดยจะต้องเป็นมาตรการป้องกันที่อำนวยความสะดวก และมีระบบการรักษาความปลอดภัย ควบคู่กันไป เพื่อความปลอดภัยสูงสุดของประชาชน” * ข่าว * เศรษฐกิจ * สังคม * คุณภาพชีวิต * ไอซีที * สแกมเมอร์ * หลอกลวงลงทุน * อาชญากรรมออนไลน์ * taximail
dlvr.it
November 11, 2025 at 4:12 AM
กทม. เชื่อคุมสถานการณ์น้ำเจ้าพระยาได้ แม้น้ำเหนือ-น้ำหนุนยังสูง เตือน 11 ชุมชนนอกแนวคันกั้นน้ำเฝ้าระวัง
กทม. เชื่อคุมสถานการณ์น้ำเจ้าพระยาได้ แม้น้ำเหนือ-น้ำหนุนยังสูง เตือน 11 ชุมชนนอกแนวคันกั้นน้ำเฝ้าระวัง auser15 Tue, 2025-11-11 - 10:41 กทม. เชื่อคุมสถานการณ์น้ำเจ้าพระยาได้ แม้น้ำเหนือ-น้ำทะเลหนุนยังสูง เตือน 11 ชุมชนนอกแนวคันกั้นน้ำเฝ้าระวัง - ปภ.ส่งข้อความแจ้งเตือนประชาชนสมุทรปราการเตรียมการป้องกันผลกระทบจากระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้นและน้ำทะเลหนุนสูง - สทนช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งระบายน้ำชุดสุดท้ายลงอ่าวไทย คาดหลังวันที่ 13 พ.ย. นี้ ฝนตอนบนของประเทศจะลดลง 11 พฤศจิกายน 2568 นายเอกวรัญญู อัมระปาล โฆษกของกรุงเทพมหานคร เปิดเผยถึงสถานการณ์น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา ว่ายังอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง จากการระบายน้ำของกรมชลประทาน โดยคาดว่าปริมาณน้ำจะทรงตัวในช่วงวันที่ 11–12 พฤศจิกายนนี้ ก่อนมีแนวโน้มลดระดับลงหลังจากนั้น โดยวานนี้ (10 พ.ย. 68) นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ลงพื้นที่ตรวจแนวป้องกันน้ำท่วมบริเวณสะพานพุทธ–ท่าเตียน ยืนยันสถานการณ์ยังควบคุมได้ พร้อมสั่งทุกเขตริมเจ้าพระยาเฝ้าระวัง “3 น้ำ” ทั้งน้ำเหนือ น้ำหนุน และน้ำฝน ตลอด 24 ชั่วโมง ผู้ว่าฯ กทม. ระบุ ขณะนี้น้ำเหนือเพิ่มเป็นราว 2,800 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที แต่น้ำหนุนน้อยลง ระดับน้ำสูงสุดราว 2.1 เมตร ต่ำกว่าแนวคันป้องกัน 2.8 เมตร เหลือระยะปลอดภัย 70 เซนติเมตร พร้อมใช้วิธี “สูบสู้” ระบายน้ำที่รั่วซึมกลับสู่แม่น้ำ ป้องกันล้นเข้าถนน ย้ำ กทม. ควบคุมสถานการณ์ได้ มีเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังตลอดเวลา กทม. เตรียมพร้อมเต็มกำลัง ป้องกันน้ำเหนือ–น้ำหนุน โดยได้ประสานความร่วมมือกับ กรมชลประทาน กรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เตรียมความพร้อมแผนรองรับมวลน้ำ โดยตรวจสอบแนวป้องกันน้ำท่วมตามแนวริมแม่น้ำเจ้าพระยา คลองบางกอกน้อย และคลองมหาสวัสดิ์ รวมระยะทาง 88 กิโลเมตร - แนวป้องกันน้ำของ กทม. 80 กม. - แนวป้องกันของเอกชนและหน่วยงานอื่น 3.65 กม. - แนวฟันหลอหรือยังไม่สามารถป้องกันได้ 4.35 กม. ทั้งนี้ สำนักการระบายน้ำและสำนักงานเขต ได้เรียงกระสอบทรายป้องกันน้ำทะเลหนุนและน้ำเหนือหลากแล้วเสร็จ 100% โดยมีระดับความสูง +2.40 ถึง +2.70 ม.รทก.  พร้อมดูแลแนวป้องกันที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและแนวฟันหลอให้สามารถใช้งานได้ในภาวะฉุกเฉิน อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากสำนักการระบายน้ำ ระบุว่า กรุงเทพมหานครมี 11 ชุมชน นอกแนวคันป้องกันน้ำท่วมริมแม่น้ำเจ้าพระยา คลองบางกอกน้อย และคลองมหาสวัสดิ์ ครอบคลุมพื้นที่ 6 เขต ได้แก่ ดุสิต พระนคร บางคอแหลม ยานนาวา บางกอกน้อย และคลองสาน รวมทั้งสิ้น 320 หลังคาเรือน ประชากรราว 1,070 คน ซึ่งเป็นพื้นที่ตลิ่งต่ำและมีโอกาสได้รับผลกระทบโดยตรงหากระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้น ผู้ว่าฯ กทม. ได้สั่งการให้ทุกเขตเร่งเสริมแนวกระสอบทราย ตรวจสอบแนวฟันหลอ และสร้างสะพานไม้ชั่วคราวในจุดจำเป็น เพื่อให้ประชาชนสัญจรได้ปลอดภัย รวมทั้งเตรียมกระสอบทรายสำรองและเครื่องสูบน้ำในจุดสำคัญ และจัดเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังตลอดแนวพื้นที่เสี่ยง เพื่อให้ความช่วยเหลือประชาชนได้ทันท่วงที ด้าน กรมอุตุนิยมวิทยา ชี้ ฝนลดลงต่อเนื่อง ไม่เพิ่มความเสี่ยงน้ำหลาก โดยรายงานว่า ขณะนี้ปริมาณฝนทั่วประเทศ รวมถึงกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง หลังพายุ “ฟงวอง” ในทะเลจีนใต้ตอนบนเปลี่ยนทิศทางไปทางตอนเหนือ และไม่เคลื่อนเข้าสู่ประเทศไทย ทำให้ช่วงนี้ ไม่มีมวลฝนก้อนใหญ่เข้ามาเติมระดับน้ำในพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยา ถือว่าไม่น่ากังวลเรื่องน้ำฝนในช่วงเฝ้าระวังนี้ โดยตั้งแต่วันที่ 13 พ.ย. เป็นต้นไป มวลอากาศเย็นจากจีนจะเริ่มแผ่ลงมาปกคลุม ทำให้อากาศเย็นลงและฝนลดลงอย่างชัดเจน ปภ.ส่งข้อความแจ้งเตือนประชาชนสมุทรปราการเตรียมการป้องกันผลกระทบจากระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้นและน้ำทะเลหนุนสูง วันนี้ (11 พ.ย.68) เวลา 09.06 น. กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ส่งข้อความแจ้งสถานการณ์น้ำ เขื่อนเจ้าพระยาระบายน้ำที่ 2,800 ลูกบาศก์เมตร /วินาที ประกอบกับช่วงนี้มีน้ำทะเลหนุนสูงจนถึงวันที่ 14 พฤศจิกายน 2568 ทำให้ผู้อยู่ริมน้ำได้รับผลกระทบจากระดับน้ำที่เพิ่มสูงขึ้น จึงขอให้ประชาชนจังหวัดสมุทรปราการที่อยู่ในพื้นที่ อำเภอเมืองสมุทรปราการ อำเภอพระสมุทรเจดีย์ อำเภอพระประแดง อำเภอบางบ่อ และพื้นที่ใกล้เคียง ที่อยู่ใกล้พื้นที่ริมทะเล แม่น้ำเจ้าพระยา /คลองสาขา และในพื้นที่ลุ่มต่ำ เตรียมการป้องกันผลกระทบจากระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้นและน้ำทะเลหนุนสูง หลีกเลี่ยงการกลับรถใต้สะพานที่มีน้ำท่วมขัง ดูแลกลุ่มเปราะบาง ติดตามข่าวสารจากทางราชการอย่างใกล้ชิด และหมั่นสังเกตุพนังกั้นน้ำ/คันกั้นน้ำ หากชำรุดหรือผิดปกติให้แจ้งหน่วยงานในพื้นที่ทันที หรือที่สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดสมุทรปราการ โทร 02 382 6040 / สทนช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งระบายน้ำชุดสุดท้ายลงอ่าวไทย คาดหลังวันที่ 13 พ.ย. นี้ ฝนตอนบนของประเทศจะลดลง นายไพฑูรย์ เก่งการช่าง รองเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) กล่าวว่า สทนช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งช่วยเหลือประชาชนในทุกพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย โดยเฉพาะบางจังหวัดที่ประสบปัญหามาเป็นระยะเวลานานหลายเดือน เช่น จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เร่งคลี่คลายปริมาณน้ำออกจากพื้นที่โดยเร็วที่สุด ขณะนี้ได้ประสานกรมชลประทานระบายน้ำเข้าสู่ทุ่งลุ่มต่ำที่ยังมีพื้นที่รองรับเพิ่มเติม เนื่องจากข้อจำกัดบางประการ จึงต้องดำเนินการอย่างระมัดระวังและรอบคอบ แต่จะเร่งดำเนินการอย่างเต็มศักยภาพและระบายน้ำออกทางฝั่งตะวันออก และตะวันตกของเขื่อนเจ้าพระยา ให้ได้มากที่สุด คาดว่าการระบายปริมาณน้ำนี้จะเป็นชุดสุดท้ายของฤดูฝน ปี 2568 เนื่องจากกรมอุตุนิยมวิทยาและสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) หรือ สสน. ประเมินฝนในพื้นที่ตอนบนจะลดลง ตั้งแต่วันที่ 13 พฤศจิกายนนี้ และไม่มีแนวโน้มได้รับอิทธิพลจากพายุเพิ่มเติม เพราะมวลความกดอากาศสูงได้แผ่เข้าปกคลุมพื้นที่ โดยฝนจะเคลื่อนตัวไปตกหนักในพื้นที่ภาคใต้มากขึ้น คาดจะสามารถเริ่มระบายน้ำในอัตราต่ำกว่า 1,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาทีได้ช่วงประมาณสัปดาห์ที่ 2 - 3 ของเดือนธันวาคมนี้ ทั้งนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้สั่งการให้ดูแลผู้ได้รับผลกระทบอย่างเต็มที่และให้เร่งหาแนวทางชดเชยเยียวยาเพิ่มเติมให้ผู้ประสบอุทกภัยมากกว่า 30 วัน รวมถึง กำชับให้เร่งรัดโครงการแก้ปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากในระยะยาว รองเลขาธิการ สทนช. ย้ำว่า ปีนี้มีฝนตกเหนือเขื่อนเจ้าพระยามากเป็นอันดับ 2 รองจากปี 2565 โดยเฉพาะช่วงเดือนพฤศจิกายนมีฝนตกหนักจากอิทธิพลทางอ้อมของพายุ “คัลแมกี” แม้กรมอุตุนิยมวิทยาจะประกาศเข้าสู่ช่วงฤดูหนาวอย่างเป็นทางการตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ส่งผลให้มีปริมาณน้ำระลอกใหม่ไหลเข้าเขื่อนภูมิพลเพิ่มเติม ปัจจุบัน เหลือช่องว่างรองรับน้ำอยู่อีกเพียงประมาณ 127 ล้านลูกบาศก์เมตร จึงจำเป็นต้องบริหารจัดการน้ำโดยไม่ต้องเปิดทางระบายน้ำล้นฉุกเฉินของเขื่อน (Spillway) ด้วยการทยอยปรับเพิ่มการระบายน้ำเขื่อนภูมิพล หากจำเป็นต้องระบายน้ำเพิ่มเติมจะไม่เกิน 60 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน สำหรับการระบายน้ำของเขื่อนเจ้าพระยาที่ 2,900 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ยังต่ำกว่าปี 2565 ที่มีการระบายน้ำท้ายเขื่อนเจ้าพระยาสูงสุด 3,100 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และปี 2554 ระบายน้ำท้ายเขื่อนสูงสุด 3,700 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที   ที่มาเรียบเรียงจาก NBT Connext [1] [2] [3]   * ข่าว * สังคม * คุณภาพชีวิต * สิ่งแวดล้อม * ภัยพิบัติ * น้ำท่วม * กรุงเทพมหานคร * สมุทรปราการ
dlvr.it
November 11, 2025 at 3:45 AM
ภท.เปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร สส.กาฬสินธุ์-ร้อยเอ็ด-กาญจนบุรี บ้านใหญ่มาหมด
ภท.เปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร สส.กาฬสินธุ์-ร้อยเอ็ด-กาญจนบุรี บ้านใหญ่มาหมด auser15 Tue, 2025-11-11 - 10:03 พรรคภูมิใจไทยเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร สส.กาฬสินธุ์-ร้อยเอ็ด-กาญจนบุรี บ้านใหญ่มาหมด "บุญเรือง-นาเมืองรักษ์-สมทรัพย์-สินธุไพร-คงเพชร" ชูผลงานนักปฏิบัติ ทำจริง ไม่ใช่นักวาทกรรม ภาพจาก: พรรคภูมิใจไทย เว็บไซต์พรรคภูมิใจไทยรายงานเมื่อวันที่ 10 พ.ย.2568 ว่า นายโสภณ ซารัมย์ รองนายกรัฐมนตรี แกนนำพรรคภูมิใจไทย ให้การต้อนรับว่าที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จ.กาฬสินธุ์ 6 เขต ประกอบด้วย เขต 1 นายเทิดแผ่นดินทอง ธารชัย, เขต 2 นางวันเพ็ญ เศรษฐรักษา, เขต 3 นายเดชบดินทร์ พยุงแสนกุล, เขต 4 นายวิรัตน์ ภูต้องใจ, เขต 5 น.ส.ภัทรภร วรามิตร, เขต 6 น.ส.สัตบุษย์ บุญเรือง,  ขณะที่ จ.ร้อยเอ็ด ประกอบด้วย เขต 1 นายธนชัย สินธุไพร, เขต 2 น.ส.วสกมล อ่อนประทุม, เขต 3 นายกิตติศักดิ์ เลิศศิริรังสรรค์, เขต 4 นายนิรันดร์ นาเมืองรักษ์ , เขต 5 นายชัยวุฒิ เอี่ยมรัศมีกุล, เขต 6 น.ส.กวิสรา สมทรัพย์, เขต 7 นายศักดา คงเพชร, เขต 8 นายธนกฤต ชาติอนุลักษณ์  นอกจากนี้ ยังมีว่าที่ผู้สมัครรับเลือกตั้ง สส.จ.กาญจนบุรี เขต 5 ได้แก่ นายประวีณวัช บุญยงค์   นายโสภณ กล่าวว่า พรรคภูมิใจไทยส่งผู้สมัครครบทุกเขตใน จ.กาฬสินธุ์ และร้อยเอ็ด และมีความมั่นใจว่าจะได้ที่นั่ง สส.เกินครึ่งในแต่ละจังหวัด ซึ่ง จ.กาฬสินธุ์พรรคภูมิใจไทยเคยมีผู้แทน 1 คน ขณะที่จังหวัดร้อยเอ็ดไม่เคยปักธงมาก่อน แต่จากการลงพื้นที่พบว่าประชาชนให้การตอบรับอย่างอบอุ่น โดยเฉพาะจากนโยบายที่ประชาชนพึงพอใจ เช่น โครงการคนละครึ่งพลัส และการแก้ไขปัญหายาเสพติด ซึ่งเป็นปัญหาหลักของทั้งสองจังหวัด โดยเน้นให้มีศูนย์บำบัดยาเสพติดทุกอำเภอ แยกผู้ป่วยออก ทำให้ประชาชนเชื่อมั่น "วันนี้พรรคภูมิใจไทยมีกระแสการตอบรับของประชาชนอย่างดียิ่ง ซึ่งที่ผ่านมายอมรับว่าพรรคเราไม่มีกระแส อย่างที่เป็นเหมือนวันนี้ บวกกับบุคลิกของ สส.ของพรรคซึ่งเป็นนักปฏิบัติมากกว่าใช้วาทกรรมคำพูด จึงมีความมั่นใจอย่างเต็มที่ พร้อมพิสูจน์ผลงานด้วยการกระทำ พรรคภูมิใจไทยในครั้งนี้มีความพร้อมทั้งในด้านนโยบายและบุคลากรที่เป็นรัฐมนตรีมีความสามารถ โดยเน้นผสมผสานคนรุ่นใหม่มาเสริมพลังพรรค ร่วมกับนักการเมืองรุ่นเก่าที่มีประสบการณ์ การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งที่สำคัญของประเทศ และเป็นโอกาสให้ประชาชนเลือกพรรคที่ทำงานจริง" นายโสภณกล่าว นายโสภณ กล่าวอีกว่า แม้จะเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยและประกาศยุบสภาตามกำหนดของ MOA หากไม่มีการเปลี่ยนแปลง พรรคภูมิใจไทยจะเดินหน้าทำงานเต็มที่ในช่วงเวลาที่เหลือ เพื่อพิสูจน์ผลงานให้ประชาชนเห็น แม้จะเป็นรัฐบาลเฉพาะกาล 4 เดือน แต่พรรคมุ่งมั่นทำงานเพื่อพิสูจน์ผลงาน หากทำ 4 เดือนนี้ให้ปรากฏชัดเจน ก็เชื่อว่าจะสามารถกลับมาเป็นรัฐบาลได้ 4 ปี * ข่าว * การเมือง * พรรคภูมิใจไทย
dlvr.it
November 11, 2025 at 3:09 AM
เตรียมเติมเงิน 20% ของยอดขาย ให้ร้านค้า 'คนละครึ่งพลัส' 4 แสนราย
เตรียมเติมเงิน 20% ของยอดขาย ให้ร้านค้า 'คนละครึ่งพลัส' 4 แสนราย auser15 Tue, 2025-11-11 - 09:24 ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจเห็นชอบเตรียมเติมเงิน 20% ของยอดขาย ให้ร้านค้า 'คนละครึ่งพลัส' 4 แสนราย ที่เข้าร่วมโครงการพัฒนาความรู้ทักษะหรือเรียนรู้ทักษะใหม่ "เพิ่มยอดขายผ่านออนไลน์-เพิ่มความรู้เสริมสภาพคล่อง-เพิ่มทักษะ AI" สำนักข่าวไทยรายงานเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2568 ว่า นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ ที่มีนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เห็นชอบโครงการพัฒนาความรู้ทักษะ หรือเรียนรู้ทักษะใหม่ สำหรับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่งพลัส หรือ โครงการคนละครึ่งพลัส เฟส 1.5 โดยจะเติมเงินให้กับร้านค้าขนาดเล็กที่ผ่านโครงการพัฒนาความรู้ทักษะ หรือเรียนรู้ทักษะใหม่ จะได้รับเงินสนับสนุน จากภาครัฐ 20% ของยอดขายที่เกิดจากโครงการคนละครึ่งพลัส สูงสุดไม่เกิน 2,000 บาทต่อร้านค้า รวมทั้งสิ้น 4 แสนราย โดยจะเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีสัปดาห์หน้า โครงการนี้จะช่วยเพิ่มทักษะให้กับร้านค้าในโครงการขายของออนไลน์ เพิ่มทักษะด้าน AI ซึ่งจะช่วยเพิ่มยอดขายให้เพิ่มขึ้นได้ นายเอกนิติ กล่าวว่า สำหรับโครงการพัฒนาความรู้ทักษะ หรือเรียนรู้ทักษะใหม่ จะเป็นโครงการที่ต่อยอดโครงการคนละครึ่ง พลัส เฟสแรก โดยกำหนดร้านค้าขนาดเล็ก ในโครงการคนละครึ่งพลัส 4 แสนราย จะยกระดับศักยภาพของร้านค้าขึ้น เริ่มตั้งแต่ 19 พฤศจิกายน ถึง 19 ธันวาคม 2568 ก่อนจะได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐสูงสุดไม่เกิน 2,000 บาท คาดว่าจะเริ่มโอนได้ในวันที่ 25 ธันวาคม 2568 โดยจะใช้งบไม่เกิน 800 ล้านบาท โดยร้านค้าจะต้องเข้าร่วมพัฒนาทักษะความรู้ ผ่าน 3 ช่องทาง คือ 1. เพิ่มยอดขายผ่านออนไลน์ เพิ่มโอกาสทางการขายจากร้านค้าออฟไลน์สู่ออนไลน์ สำหรับร้านค้าอาหารและเครื่องดื่ม โดยเข้าร่วมกับแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี ในโครงการคนละครึ่งพลัส 2. เพิ่มความรู้เสริมสภาพคล่อง โดยสมัครและเรียนหลักสูตรเสริมสร้างความรู้ทางการเงิน ผ่าน www.oomtang.gsb.or.th สำเร็จตามเงื่อนไขที่กำหนด 3. เพิ่มทักษะ AI โดยสมัครเรียนผ่านกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ทาง www.dbdacademy.dbd.go.th สำเร็จตามเงื่อนไขที่กำหนด ทั้งนี้ ร้านค้าต้องมีการเข้าร่วมผ่าน 1 ใน 3 ช่องทาง ตั้งแต่วันที่ 19 พฤศจิกายน - 19 ธันวาคม 2568 โดยจะนำเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุม ครม.ในวันอังคารหน้า  * ข่าว * เศรษฐกิจ * สังคม * คุณภาพชีวิต * คนละครึ่งพลัส
dlvr.it
November 11, 2025 at 2:28 AM
'ภูมิธรรม' แจงไทม์ไลน์เหตุปะทะ มอบอำนาจเต็มให้กองทัพตัดสินใจ ฝ่ายการเมืองไม่ได้สั่งหยุดยิง
'ภูมิธรรม' แจงไทม์ไลน์เหตุปะทะ มอบอำนาจเต็มให้กองทัพตัดสินใจ ฝ่ายการเมืองไม่ได้สั่งหยุดยิง auser15 Tue, 2025-11-11 - 09:06 'ภูมิธรรม เวชยชัย' อดีตรองนายกและรัฐมนตรีกลาโหม โพสต์เฟสบุ๊คแจงไทม์ไลน์เหตุปะทะ ระบุมอบอำนาจเต็มให้กองทัพตัดสินใจ ฝ่ายการเมืองไม่ได้สั่งหยุดยิง เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2568 นายภูมิธรรม เวชยชัย อดีตรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีกลาโหม โพสต์เฟสบุ๊คระบุว่า  เมื่อมีการพูดถึง “คำสั่งหยุดยิง” ในช่วงระหว่างเหตุการณ์ที่มีการปะทะกันระหว่างกองทัพไทยกับกัมพูชา ทำให้เกิดคำถาม​คาดเดา​ไปต่างๆ นานา​ และสร้างความเข้าใจคลาดเคลื่อนในสังคม ในฐานะผู้เคยปฏิบัติหน้าที่รองนายกรัฐมนตรี กำกับดูแลด้านความมั่นคง และประธานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ผมเห็นว่าควรนำข้อเท็จจริงจากช่วงเวลานั้นมาอธิบายให้ประชาชนได้รับทราบอย่างชัดเจน​ดังนี้ 1. หลังจากเกิดเหตุความตึงเครียดชายแดนไทย–กัมพูชา รัฐบาลในขณะนั้น ได้เรียกประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2568 ที่ประชุมได้มีการหารืออย่างรอบคอบ และมีมติสำคัญคือ “มอบอำนาจให้กองทัพสามารถตัดสินใจได้ตามหลัก Rules Of Engagement (ROE)” ซึ่งหมายความว่า กองทัพไทยมีอำนาจเต็มในการตัดสินใจเชิงยุทธวิธี เพื่อป้องกันประเทศตามสถานการณ์ในพื้นที่ โดยไม่ต้องรอคำสั่งจากฝ่ายการเมือง 2. การปฏิบัติการป้องกันประเทศในครั้งนั้นมีสองระดับที่ชัดเจน คือ ระดับนโยบาย (รัฐบาล): กำหนดกรอบยุทธศาสตร์และแนวทางทางการเมือง เพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาติและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศระดับปฏิบัติ (กองทัพ): เป็นผู้ดำเนินการตามหลักยุทธวิธีและ ROE ที่ได้รับมอบอำนาจเต็มจาก สมช. ดังนั้น ความเชื่อที่ว่า “มีคำสั่งหยุดยิงจากฝ่ายการเมือง” ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง เพราะในห้วงเวลานั้น กองทัพได้รับอำนาจในการปฏิบัติอย่างอิสระ ภายใต้กรอบกฎหมายและกติกาสากล 3. ตลอดช่วงสถานการณ์ มีการประสานงานอย่างใกล้ชิดระหว่าง สมช. กระทรวงกลาโหม และกองทัพภาคที่เกี่ยวข้อง โดย สมช. ทำหน้าที่ “กำหนดทิศทางและเป็นศูนย์รวมข้อมูล” ให้รัฐบาลใช้ตัดสินใจในเชิงนโยบาย ในขณะที่หน่วยปฏิบัติได้รับการคุ้มครองทางกฎหมายและเสรีในการปฏิบัติหน้าที่ผ่านกลไกของกฎอัยการศึกเฉพาะพื้นที่ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ทุกระดับสามารถทำงานได้เต็มศักยภาพ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องผลทางกฎหมายภายหลัง ทั้งนี้​ ในกระบวนการขั้นตอนทั้งหมดที่กล่าวในข้างต้น รัฐบาลในขณะนั้นมีหลักการสำคัญ โดยยึดมั่นในสันติวิธีตามหลักสากลและการเคารพอธิปไตยของแต่ละประเทศ แต่จะไม่ยอมให้ใครละเมิดแผ่นดินไทยแม้แต่ตารางนิ้วเดียว และทุกการตัดสินใจอยู่ภายใต้กรอบกฎหมายและกลไกความมั่นคงของรัฐ ที่ผ่านมา ในช่วงที่ผมเป็น รมว. กลาโหมได้ทำงานประสานกับผู้นำเหล่าทัพต่างๆ อย่างให้เกียรติซึ่งกันและกัน มีการหารือ และรับฟังความคิดเห็นอย่างรอบคอบ ผมเชื่อมั่นในความเป็นมืออาชีพของผู้นำเหล่าทัพทุกท่าน ทำให้ภารกิจด้านความมั่นคงของประเทศผ่านไปด้วยความราบรื่น และอำนวยประโยชน์ให้ประเทศอย่างสูงสุด โดยยึดหลักความรับผิดชอบ โปร่งใส และคำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญขอให้ประชาชนมั่นใจว่าทุกการตัดสินใจในช่วงเวลานั้น มีจุดยืนเพียงหนึ่งเดียวคือ "ปกป้องอธิปไตยของไทย ด้วยความรอบคอบ โปร่งใส และ หลีกเลี่ยงความรุนแรงเพื่อลดความสูญเสียของกำลังพลและพี่น้องประชาชนตามแนวชายแดนให้ได้มากที่สุด" * ข่าว * การเมือง * ความมั่นคง * กรณีพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา * ภูมิธรรม เวชยชัย
dlvr.it
November 11, 2025 at 2:10 AM
กัมพูชาปัดวางทุ่นระเบิดใหม่ กังวลไทยระงับดำเนินการตามถ้อยแถลงร่วม
กัมพูชาปัดวางทุ่นระเบิดใหม่ กังวลไทยระงับดำเนินการตามถ้อยแถลงร่วม auser15 Tue, 2025-11-11 - 08:53 กัมพูชาออกแถลงการณ์เมื่อคืนวันที่ 10 พ.ย. ปฏิเสธข้อกล่าวหาของฝ่ายไทยที่ว่ากัมพูชาวางทุ่นระเบิดใหม่ ยืนยันเป็นระเบิดเก่าที่ยังไม่ได้เก็บกู้ พร้อมแสดงความกังวลต่อกรณีที่ไทยระงับการดำเนินการตามถ้อยแถลงร่วมที่เพิ่งลงนามร่วมกัน 11 พ.ย. 2568 Thai PBS รายงานว่า กระทรวงการต่างประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศกัมพูชา ออกแถลงการณ์ เมื่อคืนวันที่ 10 พ.ย. 2568 ระบุว่า รัฐบาลกัมพูชากังวลอย่างยิ่งต่อการรายงานข่าวของหลายสื่อที่อ้างคำกล่าวของผู้นำไทยที่ระบุว่า ไทยได้ระงับการปฏิบัติตามการลงนามในถ้อยแถลงผลการหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีไทยและนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ซึ่งมีโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซียและประธานอาเซียนปีนี้ ร่วมลงนามและเป็นสักขีพยานด้วย โดยมีรายงานว่า เหตุทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดเมื่อวานนี้ (10 พ.ย.) ในพื้นที่ชายแดนกัมพูชา-ไทย บริเวณพนมทรอป ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับปราสาทพระวิหารของกัมพูชา ถูกใช้เป็นเหตุผลในการระงับการปฏิบัติตามของฝ่ายไทย รวมถึงการยกเลิกการกำหนดการปล่อยตัวทหารกัมพูชา 18 นายในวันที่ 12 พ.ย. รัฐบาลกัมพูชาขอปฏิเสธข้อกล่าวหาของไทยที่อ้างว่ากัมพูชาวางทุ่นระเบิดใหม่ โดยเป็นที่ทราบกันดีว่า ทุ่นระเบิดส่วนใหญ่ตลอดแนวชายแดนกัมพูชา-ไทย ซึ่งเกิดจากสงครามกลางเมืองกัมพูชาเมื่อเกือบ 3 ทศวรรษก่อนยังไม่ได้รับการเก็บกู้ เนื่องจากสภาพภูมิประเทศที่ยากลำบากและเป็นพื้นที่ชายแดนที่ยังไม่มีการปักปันเขตแดน กัมพูชาขอยืนยันว่ายังคงมุ่งมั่นที่จะดำเนินการตามถ้อยแถลงที่ได้ลงนามร่วมกัน พร้อมยืนยันอีกครั้งว่ากัมพูชาในฐานะผู้สนับสนุนและรัฐภาคีของอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ไม่เคยใช้ทุ่นระเบิดใหม่ใดๆ และจะไม่มีทางทำเช่นนั้น ขณะที่สำนักข่าวเฟรช นิวส์ สื่อกัมพูชา รายงานว่า เมื่อช่วงเช้าวานนี้ ปลัดกระทรวงกลาโหมกัมพูชาบรรยายสรุปแก่ผู้ช่วยทูตทหารจาก 12 ประเทศ เกี่ยวกับความคืบหน้าในการปฏิบัติตามถ้อยแถลงร่วมดังกล่าว ซึ่งลงนามร่วมกันที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย เมื่อช่วงปลายเดือนที่แล้ว โดยเจ้าหน้าที่ระดับสูงกระทรวงกลาโหมกัมพูชาสรุปประเด็นสำคัญที่เห็นชอบร่วมกันหลายประการ ซึ่งรวมถึงการปล่อยตัวทหารกัมพูชา 18 นาย การถอนอาวุธหนัก การกำจัดทุ่นระเบิด การยุติปัญหาเขตแดนโดยสันติ การร่วมมือปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ และกระบวนการฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูต พร้อมทั้งย้ำถึงความมุ่งมั่นของกัมพูชาในการปฏิบัติตาม และแสดงความพร้อมที่จะทำงานอย่างใกล้ชิดกับไทย เพื่อผลประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองประเทศและประชาชนของทั้งสองประเทศ กต.ยื่นหนังสือประท้วงกัมพูชาเหตุทหารเหยียบทุ่นระเบิด ขณะที่นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงข่าวเกี่ยวกับเหตุทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิด พร้อมเปิดเผยว่า ไทยดำเนินการประท้วงไปยังฝ่ายกัมพูชาต่อเหตุการณ์นี้ พร้อมระบุด้วยว่า ไทยจะดำเนินการตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการดำเนินการตามอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล หรืออนุสัญญาออตตาวาด้วย พร้อมยืนยันว่า ฝ่ายไทยจะชะลอการส่งตัวนายทหารกัมพูชา 18 นายออกไปก่อนจนกว่าจะมีความชัดเจน และในวันนี้ (11 พ.ย.) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจะเข้าร่วมการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ ตามด้วยการประชุมคณะรัฐมนตรี และในช่วงบ่ายจะติดตามนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ จ.อุบลราชธานี และจังหวัดศรีสะเกษ เพื่อเยี่ยมนายทหารที่ได้รับบาดเจ็บและรับฟังเกี่ยวกับสถานการณ์ในพื้นที่ด้วย จากนั้นจะมีการประเมินการดำเนินมาตรการต่างๆ ต่อไป * ข่าว * การเมือง * ต่างประเทศ * กับระเบิด * ทุ่นระเบิด * กรณีพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา
dlvr.it
November 11, 2025 at 1:57 AM
พบการจัดสรรสลากกินแบ่งไม่ถึงมือผู้พิการจริง เรียกร้องตรวจสัญญาใหม่ ไม่เอาเปรียบกลุ่มเปราะบาง
พบการจัดสรรสลากกินแบ่งไม่ถึงมือผู้พิการจริง เรียกร้องตรวจสัญญาใหม่ ไม่เอาเปรียบกลุ่มเปราะบาง auser15 Tue, 2025-11-11 - 08:18 กมธ.พัฒนาการเมืองฯ วุฒิสภา เผยผลพิจารณาการจัดสรรสลากกินแบ่งรัฐบาลแก่ผู้พิการทางสายตา พบจัดสรรไม่ถึงมือผู้พิการจริง เรียกร้องตรวจสัญญาใหม่ ไม่เอาเปรียบกลุ่มเปราะบาง ภาพจาก: แฟ้มภาพสำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์ สถานีวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์รัฐสภา รายงานเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2568 ว่า  นายนรเศรษฐ์ ปรัชญากร ประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การพัฒนาการเมือง การมีส่วนร่วมของประชาชน สิทธิมนุษยชน สิทธิ เสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา พร้อมด้วยนายสุนทร พฤกษพิพัฒน์ กรรมาธิการฯ ร่วมกันแถลงข่าวผลการพิจารณาปัญหาการจัดสรรสลากกินแบ่งรัฐบาลแก่ผู้พิการทางสายตา ภายหลังการประชุมคณะกรรมาธิการฯ ซึ่งได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าชี้แจง ได้แก่ สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล การกีฬาแห่งประเทศไทย และสมาคมกีฬาคนตาบอดแห่งประเทศไทย โดยสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ชี้แจงว่า การจัดสรรสลากประเภทนิติบุคคล เช่น สมาคมหรือมูลนิธิ ได้กำหนดให้มีสมาชิกผู้พิการไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 ของจำนวนสลากที่ได้รับไปจำหน่าย แต่ผู้ร้องเรียนระบุว่า ในความเป็นจริง สมาชิกคนพิการได้รับสลากไปจำหน่ายไม่ถึงร้อยละ 10 และยังมีกรณีของสมาคมกีฬาพาราลิมปิก ที่ปรากฏว่าเป็นกรรมการสมาคมเท่านั้นที่ได้รับโควตาสลากถึง 600 เล่มต่อหนึ่งงวด ขณะที่สมาชิกคนพิการยังไม่ได้รับส่วนแบ่ง คณะกรรมาธิการฯ จึงมีมติให้ตรวจสอบสัญญาการจำหน่ายสลากของสมาคมกีฬาคนตาบอดฯ และสมาคมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม พร้อมเชิญผู้แทนสมาคมและหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องเข้าชี้แจงในรอบถัดไป เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและโปร่งใสในการจัดสรรโควตาสลาก ด้านนายสุนทร พฤกษพิพัฒน์ กล่าวเน้นย้ำว่า กลุ่มผู้พิการ โดยเฉพาะผู้พิการทางสายตา ถือเป็นประชาชนกลุ่มเปราะบางของสังคม ไม่ควรถูกเอารัดเอาเปรียบหรือกลายเป็นเครื่องมือของผู้มีอิทธิพลในวงการสลากกินแบ่งรัฐบาล พร้อมเรียกร้องให้ทุกฝ่ายร่วมกันคุ้มครองสิทธิและโอกาสของผู้พิการให้ได้รับความเป็นธรรมอย่างแท้จริง * ข่าว * เศรษฐกิจ * สังคม * สิทธิมนุษยชน * คุณภาพชีวิต * หวย * สลากกินแบ่งรัฐบาล * คนพิการ
dlvr.it
November 11, 2025 at 1:25 AM
ผลสำรวจกรุงเทพโพล คนอยากทำธุรกิจแต่ไม่กล้าเริ่มต้นเพราะเงินทุนที่มีไม่มากพอ
ผลสำรวจกรุงเทพโพล คนอยากทำธุรกิจแต่ไม่กล้าเริ่มต้นเพราะเงินทุนที่มีไม่มากพอ auser15 Tue, 2025-11-11 - 07:49 กรุงเทพโพลสำรวจประจำไตรมาส 3/2568 จาก 1,129 คน พบส่วนใหญ่ 63.3% มีความตั้งใจที่จะประกอบธุรกิจในอนาคตข้างหน้า แต่ 52.1% ก็ระบุว่าเรื่องเงินทุนที่มีไม่มากพอยังคงเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ไม่กล้าเริ่มต้นธุรกิจ ภาพจาก: กรุงเทพโพล 11 พฤศจิกายน 2568 กรุงเทพโพลร่วมกับคณะการสร้างเจ้าของธุรกิจและการบริหารกิจการ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ สำรวจความเห็นประชาชนเรื่อง “คนไทยคิดอย่างไรกับโอกาสในการเป็นเจ้าของธุรกิจประจำไตรมาส 3 ของปี 2568”โดยเก็บข้อมูลจากประชาชนทั่วประเทศ จำนวน 1,129 คน พบว่า การสำรวจความเห็นเกี่ยวกับจิตวิญญาณของการเป็นผู้ประกอบการ (เจ้าของธุรกิจ) ประจำไตรมาส 3  ของปี 2568 โดยได้ทำการเปรียบเทียบกับการสำรวจครั้งที่ผ่านมา (ช่วงเดือน ก.ค. 2568) ในประเด็นต่างๆ พบว่า มีความตั้งใจที่จะประกอบธุรกิจ ในอนาคตข้างหน้ามากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 63.3 (โดยเพิ่มขึ้น ร้อยละ 18.1) รองลงมาคือ เห็นโอกาสหรือความพร้อมสำหรับการริเริ่มธุรกิจในอนาคต คิดเป็นร้อยละ 60.7 (เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.9) และมีความรู้ความสามารถรวมถึงทักษะและประสบการณ์ที่จำเป็นในการที่จะเริ่มทำธุรกิจใหม่ คิดเป็นร้อยละ 56.4 (เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.5) ขณะที่เห็นว่าไม่อยากลงทุนทำธุรกิจเพราะกลัวความล้มเหลว คิดเป็นร้อยละ 65.7 (ลดลงร้อยละ 7.8) ทั้งนี้สาเหตุที่ไม่กล้าเริ่มต้นธุรกิจของตัวเองพบว่า ส่วนใหญ่ร้อยละ 52.1 ไม่มีเงินทุนมากพอ รองลงมาคือ คิดว่างานที่ทำอยู่มั่นคงแล้ว เลี้ยงตัวเองได้แล้ว  คิดเป็นร้อยละ 37.1  ขาดความรู้ ความเชี่ยวชาญในการทำธุรกิจ คิดเป็นร้อยละ 35.7 ไม่รู้ว่าตัวเองจะทำธุรกิจอะไรดี คิดเป็นร้อยละ 32.0 และกลัวล้มเหลว กลัวขาดทุน คิดเป็นร้อยละ 30.8 * ข่าว * เศรษฐกิจ * สังคม * คุณภาพชีวิต * กรุงเทพโพล * โพล
dlvr.it
November 11, 2025 at 12:54 AM
ศาลยกฟ้อง 'สว.นันทนา' ปม 'คนขายหมู' ไม่หมิ่นประมาท-ไม่ด้อยค่า
ศาลยกฟ้อง 'สว.นันทนา' ปม 'คนขายหมู' ไม่หมิ่นประมาท-ไม่ด้อยค่า See Think Mon, 2025-11-10 - 21:38 10 พ.ย. 2568 ไทยรัฐออนไลน์รายงานว่า ศาลพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ อ 562/2568 ระหว่าง นางแดง กองมา สว. เป็นโจทก์ กับ น.ส.นันทนา นันทวโรภาส สว. เป็นจำเลยในข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาด้วยถ้อยคำว่า "คนขายหมู" ...ทั้งนี้ ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว โจทก์มีตัวโจทก์เบิกความ ประกอบเอกสารว่า ตามวันเวลาตามฟ้อง จำเลยให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนว่า "ฉันเองก็เป็นคนหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากการเกลี่ยอันนี้เช่นเดียวกัน ดิฉันเองสอนและทำงานเกี่ยวกับเรื่องของพัฒนาการเมืองมาโดยตลอด ดิฉันถูกโหวตให้ออกจากกรรมาธิการพัฒนาการเมืองค่ะ ได้คนขายหมูเข้ามาอยู่ในคณะกรรมาธิการพัฒนาการเมืองค่ะ จากผลการโหวตของผู้ที่สมัครเข้ามา ก็ใช้เสียงข้างมากเช่นเดิม ซึ่งตรงนี้ก็ขอฟ้องประชาชนนะคะว่า กระบวนในการคัดสรรผู้ที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งกรรมาธิการไม่ได้เป็นไปตามฐานหรือว่าโปรไฟล์ประวัติกลุ่มของคนที่สมัครเข้ามาเป็น สว.เลย แต่ใช้วิธีการ กระบวนการ คือใช้เสียงข้างมากในการโหวต" โดยสื่อมวลชนนำเสนอข่าวให้ประชาชนรับทราบทั้งสื่อโทรทัศน์และสื่อโซเชียล  ขณะที่ศาลเห็นว่า โจทก์และจำเลยต่างเป็นสมาชิกวุฒิสภาและโจทก์เป็นคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การมีส่วนร่วมของประชาชน สิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา การที่จำเลยกล่าวถึงผลกระทบว่าจำเลยซึ่งสอนและทำงานเกี่ยวกับการเมืองมาโดยตลอดถูกโหวตให้ออกจากกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง และได้โจทก์ซึ่งมีอาชีพแม่ค้าขายหมูเข้ามาอยู่ในกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง และพูดต่อไปถึงกระบวนการคัดสรรว่าใช้เสียงข้างมากในการโหวตนั้น ย่อมหมายถึงจำเลยกำลังวิพากษ์วิจารณ์ถึงกระบวนการในคัดเลือกบุคคลเข้ามาเป็นกรรมาธิการการพัฒนาการเมืองว่า การโหวตโดยใช้เสียงข้างมากจะทำให้ได้รับบุคคลที่มีความเชี่ยวชาญไม่ตรงกับคุณสมบัติที่ใช้ในการปฏิบัติงาน โดยจำเลยยกตัวอย่างว่า ได้คนขายหมูเข้ามาทำงานเกี่ยวกับกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง ซึ่งการกล่าวถึงอาชีพนั้นเป็นเพียงข้อเท็จจริงเท่านั้น หาได้แปลความขยายความได้ถึงขนาดเป็นการด้อยค่าโจทก์ ซึ่งโจทก์เองก็ตอบคำถามค้านทนายจำเลยว่า โจทก์เองก็มีความภาคภูมิใจในอาชีพของตนเอง ดังนั้นการเป็นคนขายหมู หาได้หมายถึงว่าจำเลยถูกด้อยค่าว่าเป็นผู้ไม่มีความรู้ความสามารถหรือหมิ่นความเป็นมนุษย์ไม่ นอกจากนี้เมื่อพิจารณาบริบทของข้อความที่จำเลยได้ให้สัมภาษณ์โดยกล่าวต่อไปในคราวเดียวกับที่โจทก์ฟ้องอีกว่า “...ทั้งนี้ จึงได้คนที่เข้ามาเป็น กมธ.ไม่ตรงกับบทบาทภาระหน้าที่...และกลุ่มคนที่จะเข้ามาเป็น สว.ก็ไม่ได้แสดงความรู้ความสามารถให้ตรงกับบทบาทของ กมธ.” ย่อมส่อแสดงถึงเจตนาของจำเลยว่า ต้องการพูดถึงกระบวนการในการใช้เสียงข้างมากมาโหวตจะทำให้ได้กรรมาธิการซึ่งไม่ตรงกับภาระหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายได้  ดังนั้นการที่จำเลยให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชน จึงล้วนเป็นข้อเท็จจริงและการวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับกระบวนการคัดสรรบุคคลที่เข้าดำรงตำแหน่งกรรมาธิการการพัฒนาการเมืองเท่านั้น และเมื่อไม่ปรากฏข้อเท็จจริงอื่นใดนอกเหนืออันจะส่อแสดงให้เห็นเจตนาไม่สุจริตของจำเลย ถือไม่ได้ว่าจำเลยดูหมิ่นพยานหลักฐานโจทก์ไม่มีมูลความผิดตามฟ้อง พิพากษายกฟ้อง. หลังจากที่ศาลมีคำสั่งยกฟ้อง ทางด้าน นันทนา นันทวโรภาส สมาชิกวุฒิสภา (สว.) โพสต์เฟซบุ๊กว่า ศาลแขวงดุสิต ยกฟ้อง ในคดีที่ดิฉันถูกกล่าวหาว่า หมิ่นประมาท ด้อยค่า “คนขายหมู” เนื้อหาโพสต์ดังกล่าวระบุว่า ศาลระบุว่า “ การที่จำเลยให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชน ล้วนเป็นข้อเท็จจริง เป็นการวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับ กระบวนการคัดสรรบุคคล ที่เข้าดำรงตำแหน่ง กรรมาธิการพัฒนาการเมืองเท่านั้น … เมื่อไม่มีปรากฏข้อเท็จจริงอื่นใด อันจะส่อแสดง ให้เห็นเจตนาไม่สุจริตของจำเลย ถือไม่ได้ว่า จำเลยดูหมิ่น พิพากษายกฟ้อง” คำถามคือ คณะกรรมการจริยธรรมรู้อยู่แล้วว่า ศาลจะมีคำตัดสินในวันที่ 10 พฤศจิกายน ทำไมจึงไม่รอคำตัดสินของศาล แต่กลับเร่งรีบรวบรัด บรรจุเข้าระเบียบวาระของวุฒิสภาเป็นการเร่งด่วน เพื่อที่จะให้มีการลงมติกล่าวโทษจริยธรรมร้ายแรงแก่ดิฉัน เช่นนี้ กระบวนการที่สว.สีน้ำเงิน กระทำต่อดิฉันนั้น เป็น “ขบวนการสมคบคิด” ที่มุ่งหวังจะ “สกัดกั้น” มิให้ดิฉันได้ทำหน้าที่เป็นปากเป็นเสียงให้กับประชาชน มิให้ออกมาเปิดโปงขบวนการ ที่ “ฮั้ว” กันเข้ามายึดวุฒิสภา แจกตำแหน่งกันอย่างเอิกเกริก ใช้สิทธิประโยชน์ที่มาจากภาษีประชาชนกันอย่างอิ่มหนำสำราญ คัดเลือกผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระตาม “ธง” โดยไม่คำนึงถึงธรรมาภิบาล บิดกระบวนการแก้รัฐธรรมนูญตามอำเภอใจ และเหิมเกริมถึงขั้นใช้กลไกวุฒิสภา บดขยี้ผู้เห็นต่างด้วยข้อหา “ผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรง” การที่สว.130 คน เห็นว่าดิฉันผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรง ลองเอากระจกส่องดูตัวเองบ้างว่า การกล่าวหาดิฉันเช่นนี้ ท่านมีจริยธรรมอยู่บ้างไหม เมื่อเปิดเกมเอามาตรฐานจริยธรรมมาเล่นงานดิฉันก่อน ก็ขอฟ้องกลับโดยกล่าวหาว่าพวกท่านต่างหากที่ ผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรง เพราะสิ่งที่ท่านทำอยู่นั้นมิได้ยึดโยงกับผลประโยชน์ของประชาชนเลย หากแต่ใช้วุฒิสภาเป็นเครื่องมือให้พวกพ้องของท่าน “กินรวบประเทศ” ได้สำเร็จเท่านั้น * ข่าว * การเมือง * สว. * นันทนา นันทวโรภาส * แดง กองมา
dlvr.it
November 10, 2025 at 2:47 PM
ธรรมชาติในกำกับ: วิพากษ์ลัทธิเผด็จการเชิงนิเวศ
ธรรมชาติในกำกับ: วิพากษ์ลัทธิเผด็จการเชิงนิเวศ ตาล วรรณกูล   sarayut Mon, 2025-11-10 - 21:31 ในสายตาของรัฐไทย “ธรรมชาติ” ไม่ใช่สิ่งที่ดำรงอยู่อย่างอิสระ หากแต่เป็นทรัพย์สินที่ต้องอยู่ในกำกับ บริหาร และควบคุม เพื่อปกป้องจากคนอื่น โดยเฉพาะคนชายขอบที่ถูกทำให้กลายเป็นตัวร้ายของป่า ทั้งที่พวกเขาอยู่กับป่ามานานก่อนที่รัฐจะมีเขตอุทยานเสียอีก นี่คือมายาคติที่สืบทอดมาจากรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ผ่านสำนักราชการแบบอาณานิคม ที่สร้างภาพว่าความเจริญต้องมากับการทำให้ธรรมชาติอยู่ภายใต้แผนที่ กฎหมาย และนโยบายจากส่วนกลาง (Scott, 1998; Vandergeest & Peluso, 1995) รัฐจึงสร้างสิ่งที่เจมส์ สก็อต (1998) เรียกว่า legibility of nature การทำให้ธรรมชาติอ่านออกและควบคุมได้ ผ่านแผนที่ ขอบเขต และตัวเลข เช่น พื้นที่ป่าอนุรักษ์ร้อยละ 30 ของประเทศ หรือจำนวนต้นไม้ที่ปลูกในโครงการฟื้นฟูป่า แต่สิ่งที่มองไม่เห็นคือชีวิตที่อยู่ในนั้น ทั้งมนุษย์และสัตว์ป่า ที่ถูกจัดลำดับคุณค่าภายใต้สายตารัฐ ความเขียวในแบบรัฐไม่ใช่ธรรมชาติที่งอกงามจากความสัมพันธ์ของมนุษย์กับผืนดิน แต่เป็นความเขียวทางราชการ (bureaucratic greenness) ที่ถูกวัดด้วยแผนงาน งบประมาณ และหลักเขตอุทยาน นั่นคือสิ่งที่มิเชล ฟูโกต์ (Foucault, 2007) เรียกว่าอำนาจชีวปกครอง การควบคุมชีวิตผ่านนโยบายและเทคโนโลยีแห่งการบริหารจัดการชีวิต (governmentality) รัฐไทยใช้แนวคิดนี้กับทั้งคนและธรรมชาติ โดยอ้างว่าเป็นการจัดการเพื่อความยั่งยืน แต่ในทางปฏิบัติกลับทำให้ชีวิตป่ากลายเป็นวัตถุแห่งการบริหาร มากกว่าการอยู่ร่วม ตัวอย่างชัดคือการประกาศพื้นที่อนุรักษ์ที่ใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์เป็นเกราะกำบังทางศีลธรรม ทั้งที่วิทยาศาสตร์ดังกล่าวคือศาสตร์ของอำนาจ ที่ถูกผูกโยงกับงบประมาณ โครงการปลูกป่า คาร์บอนเครดิต และระบบราชการที่สร้างอาชีพให้ข้าราชการมากกว่าชีวิตที่อยู่ในพื้นที่จริง ดังนั้นการอนุรักษ์แบบรัฐจึงเป็นทั้งอุดมการณ์ และอุตสาหกรรม มันมีงบ มีตำแหน่ง และมีผลตอบแทนทางการเมือง หากใช้กรอบ Environmental Justice (Schlosberg, 2007) เราจะเห็นว่า ความไม่ยุติธรรมไม่ได้เกิดจากคนทำลายป่า แต่เกิดจากระบบที่กระจายภาระและผลประโยชน์ไม่เท่ากัน ชาวบ้านในเขตป่าอนุรักษ์ต้องรับภาระของการถูกจำกัดสิทธิ ถูกฟ้องคดี และถูกตราหน้าว่าเป็นผู้บุกรุก ขณะที่บริษัทใหญ่สามารถเข้ามาเช่าพื้นที่ปลูกป่าคาร์บอนเครดิต หรือใช้โครงการ CSR ฟอกเขียวภาพลักษณ์ได้อย่างเสรี ในอีกด้านหนึ่ง สัตว์ป่าก็ถูกทำให้เป็นเพียงผู้บริสุทธิ์ ที่ต้องได้รับการคุ้มครอง แต่ไม่เคยมีใครถามว่าพวกมันต้องการอยู่ร่วมกับมนุษย์ในแบบไหน นี่คือ ecological injustice ที่เกิดจากความเข้าใจธรรมชาติแบบแยกส่วน ราวกับมนุษย์กับป่าไม่เคยมีประวัติศาสตร์ร่วมกัน สิทธิมนุษยชนไม่ควรถูกตัดออกจากการอนุรักษ์ แต่รัฐไทยยังคงมองสิทธิเป็นสิ่งรบกวนธรรมชาติ ทั้งที่ในสากลโลก การคุ้มครองสิทธิในทรัพยากรเป็นฐานของการพัฒนาอย่างยั่งยืน (UNDP, 2021) การจัดการป่าโดยไม่คำนึงถึงสิทธิมนุษยชน คือการทำให้ธรรมชาติกลายเป็นเครื่องมือของอำนาจมากกว่าพื้นที่แห่งชีวิต ซึ่งสิทธิเหล่านี้ครอบคลุมทั้งสิทธิในการดำรงชีพ (right to livelihood) สิทธิในการมีส่วนร่วม (right to participation) และสิทธิในการเข้าถึงทรัพยากรและความยุติธรรม (access rights and justice) แต่รัฐไทยกลับตีความว่าสิทธิของคนเป็นภัยต่อสิทธิของป่า ทั้งที่สองสิทธินี้ไม่เคยขัดกัน หากรัฐยอมรับว่าป่าไม่ใช่ของรัฐแต่เป็นของชีวิตทุกชีวิต “ป่า” พูดไม่ได้ เพราะรัฐพูดแทน “ชาวบ้าน” ถูกทำให้เงียบ เพราะนักวิทยาศาสตร์และข้าราชการพูดแทน นี่คือสิ่งที่อาร์ตูโร เอสโกบาร์ (Escobar, 1996) เรียกว่า politics of knowledge หรือการเมืองของความรู้ ที่ผู้มีอำนาจกำหนดว่าอะไรคือความรู้ที่นับว่าเป็นจริง รัฐไทยใช้วาทกรรมวิทยาศาสตร์ป่าไม้ และหลักการอนุรักษ์สากลเป็นเครื่องมือทำให้เสียงอื่นกลายเป็นสิ่งงมงาย ล้าหลัง หรือไร้เหตุผล ทั้งที่ความรู้ของชาวบ้านคือความรู้จากการอยู่ร่วมกับธรรมชาติมานับร้อยปี ดังนั้นการปลดปล่อยความรู้จึงเป็นเงื่อนไขของความยุติธรรมเชิงนิเวศ เพราะตราบใดที่ความรู้ยังอยู่ในมือรัฐ การอนุรักษ์ก็ยังเป็นเพียงพิธีกรรมของอำนาจ เมื่อส่องผ่านแว่นวิเคราะห์ช่องว่างเชิงนโยบาย (Gap Analysis) จะเห็นว่า       1. เกิดช่องว่างเชิงสิทธิ รัฐยังไม่บูรณาการสิทธิมนุษยชนในนโยบายป่าไม้และสัตว์ป่า    2. เกิดช่องว่างเชิงโครงสร้าง อำนาจบริหารทรัพยากรถูกผูกขาดโดยหน่วยงานกลาง ขาดกลไกถ่วงดุลจากท้องถิ่น    3. เกิดช่องว่างเชิงความรู้ การขาดการยอมรับองค์ความรู้และภูมิปัญญาท้องถิ่น ทำให้การจัดการขัดกับวิถีชุมชน    4. เกิดช่องว่างเชิงธรรมาภิบาล ไม่มีระบบตรวจสอบการใช้ทรัพยากรในโครงการเขียว เช่น คาร์บอนเครดิต ถ้าจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงต้องเริ่มจากการกระจายอำนาจการอนุรักษ์ให้กลับสู่มือของผู้คน ไม่ใช่เพียงปรับโครงสร้างกฎหมาย แต่ต้องเปลี่ยนวิธีคิดของรัฐและสังคม เปลี่ยนจากป่าของรัฐ เป็นป่าของทุกชีวิต เปลี่ยนจากความเขียวเชิงอำนาจ เป็นความเขียวเชิงสิทธิ และเปลี่ยนจากการอนุรักษ์แบบราชการ เป็นการอยู่ร่วมอย่างเป็นธรรม นั่นจึงจะเป็นการเปลี่ยนจาก eco-authoritarianism ไปสู่ ecological democracy ประชาธิปไตยทางนิเวศ ที่ทุกชีวิตมีสิทธิในธรรมชาติร่วมกัน ป่าจะมีค่า ก็เพราะมีชีวิต ไม่ใช่เพราะมีรัฐ แต่รัฐไทยยังคงผูกขาดการตีความว่าธรรมชาติคืออะไร และใครควรได้อยู่ในนั้น การอนุรักษ์จึงกลายเป็นกลไกทางการเมืองที่กีดกัน มากกว่าปกป้อง ถ้าหากเรายังไม่รื้ออำนาจสีเขียวนี้ ความยุติธรรมเชิงนิเวศก็จะไม่มีวันเกิดขึ้น เพราะป่ายังคงเป็นสมบัติของรัฐ มากกว่าพื้นที่ของชีวิต     * บทความ * การเมือง * สิทธิมนุษยชน * สิ่งแวดล้อม * ตาล วรรณกูล
dlvr.it
November 10, 2025 at 2:42 PM
อนุทิน ชะลอลงนามประกาศอนุญาตแรงงานกัมพูชาที่ใบอนุญาตหมดอายุให้อยู่ต่อในไทย
อนุทิน ชะลอลงนามประกาศอนุญาตแรงงานกัมพูชาที่ใบอนุญาตหมดอายุให้อยู่ต่อในไทย See Think Mon, 2025-11-10 - 18:43 อนุทิน ชะลอลงนามประกาศอนุญาตแรงงานกัมพูชาที่ใบอนุญาตหมดอายุให้อยู่ต่อในไทย ย้ำตรวจสอบเคร่งครัด เตรียมทบทวนมติรอบคอบ 10 พ.ย. 2568 ตามข้อมูลจากเว็บไซต์รัฐบาลไทยระบุว่า ไตรศุลี ไตรสรณกุล เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้สั่งชะลอการลงนามในร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการอนุญาตให้คนต่างด้าว สัญชาติกัมพูชาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2568 ซึ่งเสนอในสมัยรัฐบาลก่อนที่ภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยให้เหตุผลว่าจำเป็นต้องตรวจสอบข้อมูลให้รอบด้านและดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด จากการตรวจสอบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พบว่ามีแรงงานสัญชาติกัมพูชาเกือบ 1 แสนคน ที่ใบอนุญาตทำงานสิ้นสุดลงตั้งแต่เดือน ก.พ. 68 และไม่สามารถยืนยันตัวตนหรือที่อยู่ได้อย่างชัดเจน หากอนุญาตให้อยู่ต่อโดยไม่ผ่านการตรวจสอบ อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคง รวมถึงปัญหาการลักลอบเข้าเมืองหรืออาชญากรรมข้ามชาติ ไตรศุลี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวให้เป็นไปตามกฎหมาย โปร่งใส และตรวจสอบได้ เพื่อไม่ให้เกิดช่องโหว่ที่อาจกระทบต่อความมั่นคงและเศรษฐกิจของประเทศ พร้อมกำชับให้กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงแรงงานร่วมกันทบทวนรายละเอียด เพื่อให้มั่นใจว่าทุกขั้นตอนเป็นไปอย่างถูกต้อง โดยหลังจากนี้จะมีทบทวนมติ ครม. ใหม่เพื่อให้การตรวจสอบเป็นไปอย่างรอบคอบอีกครั้ง  ทั้งนี้ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2568 มีสาระสำคัญคือการผ่อนผันให้แรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม ที่ใบอนุญาตทำงานหมดอายุ สามารถอยู่และทำงานต่อได้ชั่วคราวเป็นเวลา 1 ปี เพื่อบรรเทาปัญหาการขาดแคลนแรงงาน แต่ยังต้องได้รับการลงนามโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยก่อนจึงจะมีผลบังคับใช้ “รัฐบาลชุดนี้ยึดหลักปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด และจะไม่เร่งรัดดำเนินการใด ๆ จนกว่าข้อมูลและหลักฐานทุกอย่างจะถูกต้องสมบูรณ์ เพื่อคุ้มครองผลประโยชน์ของประเทศและประชาชน” ไตรศุลี กล่าว ขณะที่หลายสำนักข่าวรายงานตรงกันวันนี้ (10 พ.ย. 68) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยถึงกรณีที่มีทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิด บริเวณห้วยตามาเรีย อ.กันทรลักษณ์ จ.ศรีสะเกษ ขณะที่ปฏิบัติภารกิจลาดตระเวนเส้นทาง ส่งผลให้มีทหารบาดเจ็บ 2 นาย ว่า ตนได้รับทราบแล้ว เห็นด้วยกับการดำเนินการของกระทรวงกลาโหม และเหล่าทัพ ซึ่งสิ่งที่เราดำเนินการมาโดยตลอด จะหยุดจนกว่ามีความชัดเจน ซึ่งตนจะแจ้งไปยังกระทรวงกลาโหม และกระทรวงการต่างประเทศ ว่าต้องทำตามสิ่งที่ประเทศไทยต้องการเท่านั้น อนุทิน บอกอีกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เราคิดว่าความเป็นปฏิปักษ์ต่อประเทศไทย ต่อภัยความมั่นคงจะลดลงไป มันไม่ได้ลด เมื่อไม่ได้ลด เราจะดำเนินการอะไรนอกเหนือจากนี้ไม่ได้ ยืนยันทุกอย่างจะต้องหยุดการดำเนินการ ส่วนรายละเอียด จะให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และกองทัพออกมาชี้แจง ซึ่งสิ่งที่ยืนยันกับท่าน ถือว่าท่านว่าไปเลย จะอยู่กับท่าน ตามท่านทุกอย่าง เมื่อผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามว่าพรุ่งนี้ (11 พ.ย. 68) จะลงพื้นที่ จ.ศรีสะเกษ ใช่หรือไม่ นายอนุทิน หันกลับมาตอบว่า “ต้องไปสิ ทหารของเราถึงขั้นขาขาด” จากนั้นผู้สื่อข่าวถามเพิ่มเติมว่า เรื่องส่งตัวเชลยศึก 18 คน จะต้องชะลอใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรี ตอบเพียงว่า “หยุดเลย” * ข่าว * การเมือง * แรงงาน * ต่างประเทศ * ความมั่นคง * กรณีพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา * แรงงานกัมพูชา * อนุทิน ชาญวีรกูล
dlvr.it
November 10, 2025 at 11:47 AM
ทางการฮ่องกงอัด นักกิจกรรมลี้ภัย 'เท็ดฮุย' ร้องคว่ำบาตรเลือกตั้งฮ่องกง
ทางการฮ่องกงอัด นักกิจกรรมลี้ภัย 'เท็ดฮุย' ร้องคว่ำบาตรเลือกตั้งฮ่องกง See Think Mon, 2025-11-10 - 17:35 รัฐมนตรีความมั่นคงของฮ่องกง คริส ถัง กล่าวประณามอดีตส.ส.และนักเคลื่อนไหวผู้ลี้ภัยไปต่างประเทศ  "เท็ด ฮุย" เรื่องที่เขาเรียกร้องให้ชาวฮ่องกงคว่ำบาตรการเลือกตั้งสภานิติบัญญัติ (LegCo) ซึ่งฝ่ายประชาธิปไตยมองว่าเป็นการเลือกตั้ง "ปลอมเปลือก" ที่ไม่เป็นธรรมเพราะคัดให้มีแต่ "ผู้รักชาติ(จีน)เท่านั้น" ลงชิงที่นั่งได้ โดยที่ถังขู่ว่าการขอให้ประชาชนบอยคอตต์เลือกตั้งด้วยการส่ง "บัตรเปล่า" นั้นอาจเข้าข่ายผิดกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติ นักกิจกรรมฝ่ายประชาธิปไตยและอดีตส.ส. เท็ด ฮุย ที่ลี้ภัยอยู่ในออสเตรเลีย ได้เรียกร้องให้ประชาชนชาวฮ่องกงร่วมกันบอยคอตต์การเลือกตั้งสภานิติบัญญัติ (LegCo) ซึ่งจะจัดขึ้นในเดือน ธันวาคม นี้ โดยบอกว่ามันเป็น "การเลือกตั้งปลอมเปลือก ที่ไม่ยึดโยงกับประชาชน" และมองว่ามัน "สมควรได้รับการบอยคอตต์" ในการเลือกตั้ง สนช.ฮ่องกงนั้นจะมีช่วงเสนอชื่อผู้แทนเป็นเวลา 2 สัปดาห์ และเป็นการเลือกตั้ง สนช.ครั้งที่สองของฮ่องกงนับตั้งแต่ที่จีนได้เปลี่ยนแปลงระบบการเลือกตั้งแบบยกเครื่องให้คัดเลือกแต่ผู้ที่พวกเขามองว่า "เป็นคนรักชาติ" เท่านั้นให้สามารถลงชิงที่นั่งในสภาได้ ทางการจีนได้ออกมาตรการนี้มาตั้งแต่ปี 2564 ทำให้การเลือกตั้ง สนช. ในปีนั้นกลายเป็นการเลือกตั้งเป็นครั้งแรกที่ไม่มีพรรคฝ่ายค้านเข้าร่วมเลย เท็ด ฮุย เป็นหนึ่งในนักกิจกรรม 13 ราย ที่ลี้ภัยในต่างประเทศโดยถูกตั้งค่าหัวจากทางการฮ่องกงด้วยข้อหาฝ่าฝืนกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติ โดยที่เขามีค่าหัวอยู่ที่ 1 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง ฮุย โพสต์ในเฟสบุคเรียกร้องให้ชาวฮ่องกงบอยคอตต์การเลือกตั้งที่เขามองว่าเป็นการเลือกตั้งที่ไม่เป็นธรรม และถ้าหากใครรู้สึกว่าการบอยคอตต์นั้นเป็นเรื่องยุ่งยากมากเกินไป ก็ขอให้ใช้วิธีแค่ไม่สนใจการเลือกตั้งในครั้งนี้ก็พอ เพื่อที่จะเป็นการ "สะท้อนความรู้สึกที่แท้จริงของชาวฮ่องกง" เรื่องนี้ทำให้คริส ถัง รัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงของฮ่องกงโต้ตอบด้วยการต่อว่าฮุย ในเรื่องที่ฮุยขอให้บอยคอตต์การเลือกตั้ง และเตือนว่าการรณรงค์ให้ไม่ไปลงคะแนน หรือให้มีการลงคะแนนด้วย "บัตรเปล่า" นั้น อาจจะเข้าข่ายการละเมิดกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติ ในแง่ของการสมคบคิดกับต่างชาติเพื่อชักใยหรือส่งอิทธิพลต่อการเลือกตั้ง ตามมาด้วยข้อหา ร่วมกระทำการด้วยเจตนาปลุกระดม นอกจากนี้ยังอาจจะเข้าข่ายผิดกฎหมายการเลือกตั้งด้วย แต่ถังก็ไม่ได้อธิบายเพิ่มเติมว่าผิดในแง่ไหน "การกระทำเหล่านี้ชั่วร้ายมาก ... ผมหวังว่าประชาชนจะเข้าใจข้อเท็จจริงอย่างชัดเจนและไม่ถูกชักจูงไปในทางที่ผิด ให้ไปทำอะไรที่ผิดกฎหมาย" ถังกล่าว ในฮ่องกงนั้นมีกฎหมายความมั่นคงทับซ้อนกันสองฉบับ ฉบับแรกมาจากทางการจีน อีกฉบับหนึ่งเป็นกฎหมายความมั่นคงจากรัฐบาลฮ่องกงที่เอียงข้างจีน มีชื่อว่า "เทศบัญญัติรักษาความมั่นคงแห่งชาติ" หรือ มาตรา 23 ที่ออกบังคับใช้เมื่อเดือน มีนาคม 2567 ในกฎหมายฉบับนี้มีการระบุบทลงโทษสำหรับผู้ที่สมคบคิดกับต่างชาติไปจนถึงแทรกแซงการเลือกตั้ง โดยอาจจะมีโทษจำคุกสูงสุด 14 ปี ในขณะเดียวกันฮ่องกงก็มีกฎหมายเดิมอยู่แล้วที่ระบุว่าใครก็ตามที่ยุยงไม่ให้ผู้อื่นไปเลือกตั้งหรือยุให้ทำบัตรเสีย จะถูกลงโทษจำคุกสูงสุด 3 ปี และสั่งปรับ 200,000 ดอลลาร์ฮ่องกง มีอีกประเด็นหนึ่งที่ใกล้เคียงกันกับกรณีเรียกร้องให้บอยคอตต์การเลือกตั้ง คือประเด็นที่ สำนักงานข้าราชการของฮ่องกงได้ออกประกาศสร้างความชัดเจนด้วยน้ำเสียงเข้มงวดว่า ข้าราชการจะไม่สามารถขอ "ลาแบบได้รับอนุญาต" เพื่อไปเข้าร่วมงานที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งได้ หลังจากที่สหภาพข้าราชการฮ่องกงเสนอว่าควรจะสามารถให้สมาชิกข้าราชการขอลาไปเข้าร่วมงานเช่นนี้ได้ ทางสำนักงานข้าราชการฮ่องกงระบุว่า สหภาพข้าราชการจะเชิญชวนให้ข้าราชการไปเข้าร่วมงานที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งได้เฉพาะช่วงนอกเวลางานเท่านั้นและควรให้ไปฐานะส่วนตัว โดยที่การขอลาเพื่อไปเข้าร่วมงานเกี่ยวกับการเลือกตั้งนั้นไม่ได้รวมอยู่ในระเบียบ 1111 ของกฎระเบียบข้าราชการ ที่ระบุถึงการอนุญาตเป็นกรณีพิเศษให้ข้าราชการลาแบบได้รับอนุญาตในเวลางาน อย่างไรก็ตามทางสหภาพแรงงานเปิดเผยว่า พวกเขาได้ส่งรายชื่อผู้เข้าร่วมงานเกี่ยวกับการส่งเสริมการเลือกตั้งที่จัดโดยรัฐบาลไปให้ผู้นำฮ่องกงได้รับทราบแล้ว รวมถึงได้วางแผนจัดบูธและสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์เพื่อส่งเสริมให้ข้าราชการออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งตามที่ผู้นำฮ่องกงขอไว้ ผู้บริหารสูงสุดของฮ่องกง จอห์น ลี เคยส่งจดหมายขอให้ข้าราชการฮ่องกงไปใช้สิทธิเลือกตั้ง โดยเน้นย้ำว่าพวกเขาควรจะทำตัวเป็นตัวอย่างในการทำหน้าที่พลเมือง เรียบเรียงจาก Hong Kong security chief lambasts wanted activist for urging boycott of ‘patriots only’ legislative race, HKFP, 31-10-2025 https://hongkongfp.com/2025/10/31/hong-kong-security-chief-lambasts-wanted-activist-for-urging-boycott-of-patriots-only-legislative-race/ Hong Kong security chief warns fugitive ex-lawmaker calling for election boycott, South China Morning Post, 30-10-2025 https://www.scmp.com/news/hong-kong/politics/article/3330852/no-authorised-absences-allowed-election-events-hong-kong-civil-servants-told * ข่าว * การเมือง * ต่างประเทศ * การเลือกตั้ง * การเลือกตั้งสภานิติบัญญัติฮ่องกง 2568 * สถานิติบัญญัติ * การคว่ำบาตรการเลือกตั้ง * บัตรเสีย * เท็ด ฮุ่ย * คริส ถัง * กฎหมายความมั่นคงฮ่องกง * เทศบัญญัติรักษาความมั่นคงแห่งชาติ * ฮ่องกง * จีน
dlvr.it
November 10, 2025 at 10:48 AM
ปชน.ย้ำ 3 เงื่อนไข ปมยื่นซักฟอกรัฐบาล พร้อมคุย พท. หากเป้าหมายตรงกัน
ปชน.ย้ำ 3 เงื่อนไข ปมยื่นซักฟอกรัฐบาล พร้อมคุย พท. หากเป้าหมายตรงกัน ภาพ: ไอติม พริษฐ์ วัชรสินธุ ถ่ายเมื่อ 22 กันยายน 2568 โดยประชาไท See Think Mon, 2025-11-10 - 16:40 วานนี้ (9 พ.ย.) พริษฐ์ วัชรสินธุ โฆษกพรรคประชาชน (ปชน.) โพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊กถึงจุดยืนของพรรคในการตรวจสอบรัฐบาลอนุทิน ชาญวีรกูล โดยกำหนด 3 เงื่อนไขหลัก ที่จะนำไปสู่การยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ โพสต์ดังกล่าวระบุว่า ในฐานะพรรคฝ่ายค้าน ผมต้องยืนยันว่าพวกเราพรรคประชาชนพร้อมใช้ทุกกลไกของสภาในการตรวจสอบและกำกับการทำงานของรัฐบาลอนุทิน ซึ่งรวมถึงกลไกการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เหตุผลที่เราตัดสินใจทำข้อตกลง MOA ให้เกิดรัฐบาลเสียงข้างน้อย ก็เพื่อให้เราในฐานะฝ่ายค้าน มีกลไกการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เป็นอาวุธในการกำกับและกดดันให้รัฐบาลรักษาสัญญา ทั้งเรื่อง (1) การยุบสภาภายใน 4 เดือน และ (2) การแก้ไขรัฐธรรมนูญ หมวด 15/1 เพื่อเปิดทางสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ดังนั้น ในขั้นต่ำ: 1. หากนายกฯ ไม่ยุบสภาภายใน 31 ม.ค. 2569 เราจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจทันที 2. หากการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หมวด 15/1 ไม่ผ่านความเห็นชอบของรัฐสภาภายในสิ้นปี 2568 เราจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจทันที - เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายดังกล่าว รัฐบาลจะต้องเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญเพื่อให้เกิดการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญดังกล่าว (อย่างน้อยในวาระที่ 2) ก่อน 12 ธ.ค. และเพื่อให้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญผ่านความเห็นชอบของรัฐสภาในวาระที่ 3 (ซึ่งกฎหมายกำหนดว่าจะต้องเกิดขึ้นอย่างน้อย 15 วัน หลังการพิจารณาในวาระที่ 2) ได้ทันก่อนสิ้นปี 3. อย่างไรก็ตาม เราย้ำมาโดยตลอดว่าเงื่อนไขข้อที่ 1-2 ไม่ใช่เป็นการตีเช็คเปล่าให้รัฐบาลอนุทินบริหารประเทศตามอำเภอใจ ในห้วงเวลาระหว่างทางจากวันนี้จนถึงสิ้นปี - หากรัฐบาลดำเนินนโยบาย ใช้อำนาจรัฐ หรือแสดงออกให้เห็นถึงพฤติกรรม ที่จะก่อให้เกิดความเสียหายต่อประชาชนและประเทศอย่างหนักจนไม่อาจให้สามารถอยู่ในอำนาจได้จนถึงสิ้นปี พรรคประชาชนก็พร้อมจะใช้ทุกกลไก (รวมถึงกลไกการอภิปรายไม่ไว้วางใจ) ในการตรวจสอบรัฐบาลอนุทิน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาสแกมเมอร์ ความโปร่งใสในการใช้จ่ายงบประมาณ หรือการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม ผมเข้าใจดีว่าพี่น้องประชาชน ต้องการให้ทุกพรรคการเมืองยึดประโยชน์ของประชาชนเป็นตัวตั้ง พรรคประชาชนตัดสินใจทำข้อตกลง MOA เพื่อให้เกิดการยุบสภาภายในต้นปี ก็เพื่อให้อำนาจในการชี้ชะตาอนาคตกลับคืนสู่มือประชาชนโดยเร็ว พรรคประชาชนตัดสินใจทำข้อตกลง MOA เพื่อปลดล็อกการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ก็เพื่อให้เรามีกติกาและระบบการเมืองที่ตอบโจทย์ประชาชน อย่างไรก็ตาม แม้เราเชื่อว่าการทำให้ข้อตกลง MOA เป็นจริง จะก่อให้เกิดประโยชน์กับประชาชน แต่เราก็ไม่ประสงค์จะให้ห้วงเวลา 2 เดือนข้างหน้านี้ (ที่ต้องใช้ในการดำเนินการตาม MOA) ต้องแลกมากับความเสียหายต่อผลประโยชน์กับประชาชนในมิติอื่นๆ พร้อมหารือ ‘เพื่อไทย’ ปมยื่นญัตติ หากเป้าหมายตรงกัน วันนี้ (10 พ.ย.) พริษฐ์ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวถึง 3 เงื่อนไขหลักที่จะนำไปสู่การยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากรณียื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ หากต้องรอกระบวนการ และทำให้ห้วงเวลาชนกับสิ้นเดือน ม.ค.69 จะทำอย่างไร โฆษกพรรคประชาชนกล่าวว่ากรอบเวลาเป็นอย่างไรคงต้องหารือกัน โดยต้องหารือกับพรรคเพื่อไทยด้วย อย่างไรก็ดี พรรคเพื่อไทยฐานะฝ่ายค้าน มี สส. เกิน 100 คน ย่อมมีสิทธิ์ยื่นญัตติด้วยตัวเอง ตนคิดว่าหากมีเป้าหมายที่ตรงกัน ควรหารือกันว่าแต่ละพรรคมีมุมมองต่อเรื่องดังกล่าวอย่างไร  เมื่อถามย้ำว่าหากไม่เปิดประชุมสมัยวิสามัญ จะดำเนินการอย่างไร นายพริษฐ์ กล่าวว่า สมมติว่าเราเปิดสมัยประชุม 12 ธ.ค. เราจะรู้ก่อนหน้านั้นแล้ว ว่าจะเปิดประชุมวิสามัญหรือไม่ ถ้าไม่เปิดถือว่าผิดเงื่อนไข ข้อ 2 ชัดเจน เพราะไม่สามารถแก้รัฐธรรมนูญผ่านให้แล้วเสร็จภายในสิ้นปี 68 ได้ แต่ถ้าเปิดสมัยวิสามัญพิจารณาวาระสอง เสร็จก่อนวันที่ 12 ธ.ค. ซึ่งในช่วงรอ 15 วันก่อนเข้าวาระ 3 ถ้าตัดสินใจรอก็รอ แต่ถ้ามีเหตุอื่นที่ไม่สามารถรอ 15 วันได้ เป็นสิทธิ์ที่พรรคการเมืองจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจได้ และหากวาระสามในปลายเดือน ธ.ค.68 ไม่ผ่านสภา สามารถอภิปรายไม่ไว้วางใจได้  พริษฐ์ยืนยันว่าพรรคประชาชนให้น้ำหนักทั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญและปัญหาสแกมเมอร์เท่ากัน โดยยึดประโยชน์ของประชาชนเป็นตัวตั้ง พร้อมระบุว่าแม้ ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรค จะกล่าวว่ายังไม่เห็นความผิดร้ายแรง แต่พรรคก็พร้อมตรวจสอบข้อกังขาของรัฐบาลอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะเรื่องสแกมเมอร์และจะนำข้อมูลเกี่ยวกับการเปิดสมัยวิสามัญมาประกอบการตัดสินใจหลังเปิดสมัยประชุมสามัญในวันที่ 12 ธันวาคมนี้ * ข่าว * การเมือง * พรรคประชาชน * การแก้รัฐธรรมนูญ * สสร. * กมธ.ยกร่าง รธน. * พรรคภูมิใจไทย * พริษฐ์ วัชรสินธุ
dlvr.it
November 10, 2025 at 9:45 AM
เยาวชนไทยเรียกร้องให้ผู้นำเร่งดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม ก่อนการประชุม COP30
เยาวชนไทยเรียกร้องให้ผู้นำเร่งดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม ก่อนการประชุม COP30 See Think Mon, 2025-11-10 - 14:45 ขณะที่ทั่วโลกเตรียมพร้อมสำหรับการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศครั้งที่ 30 หรือ COP30 ในสัปดาห์นี้ เด็กและเยาวชนนักเคลื่อนไหวและนักรณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อมกว่า 360 คนทั่วประเทศไทย ได้ร่วมกันส่งเสียงเรียกร้องให้ผู้นำเร่งดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศอย่างเร่งด่วนและทั่วถึง เสียงของพวกเขารวบรวมจากการประชุมปรึกษาหารือเยาวชน 4 ภูมิภาคทั่วประเทศ ซึ่งจัดขึ้นโดย องค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย ร่วมกับ กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (DCCE) เมื่อเร็ว ๆ นี้ โดยผลการหารือสะท้อนให้เห็นว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ส่งผลกระทบต่อชีวิตของเด็กและเยาวชนแล้วอย่างชัดเจน ขณะเดียวกันก็แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของพวกเขาที่จะมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหานี้ด้วยตนเอง เด็กและเยาวชนที่เข้าร่วมเป็นตัวแทนจาก 97 เครือข่ายเยาวชนทั่วประเทศ ทั้งกลุ่มนักเรียน เยาวชนชาติพันธุ์ที่ทำงานอนุรักษ์ป่าและธรรมชาติ รวมถึงเยาวชนที่ขับเคลื่อนประเด็นสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ต่าง ๆ ของประเทศไทย การปรึกษาหารือเปิดโอกาสให้เยาวชนได้แบ่งปันประสบการณ์ ความกังวล และข้อเสนอแนะต่อการกำหนดนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศของประเทศ โดยมีจุดร่วมสำคัญคือ เยาวชนต้องการให้เสียงของพวกเขาได้รับการรับฟังและนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรม นายชัยรัตน์ ดิ๊ผอ (อเล็กซ์) อายุ 19 ปี เยาวชนจากกลุ่มชาติพันธุ์ในจังหวัดเชียงใหม่ หนึ่งในผู้เข้าร่วมการปรึกษาหารือภาคเหนือ และเป็นหนึ่งในตัวแทนเยาวชนไทย 9 คน ที่จะร่วมเดินทางไปกับคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุม COP30 ที่ประเทศบราซิล ระหว่างวันที่ 10–21 พฤศจิกายน 2568 กล่าวว่า “ในชุมชนของผม ความร้อนที่สูงขึ้นและภัยแล้งทำให้หลายครอบครัวปลูกพืชได้ยากขึ้นและมีรายได้น้อยลง เมื่อพืชผลเสียหาย เด็กมักเป็นกลุ่มแรกที่ได้รับผลกระทบ บางคนต้องออกจากโรงเรียนเพื่อช่วยครอบครัว เราอยากให้ผู้นำฟังเรื่องราวของเรา และลงมือปกป้องอนาคตของพวกเรา” ขณะเดียวกัน นันท์นภัส พงศ์วิฑูรย์ เยาวชนวัย 23 ปี ผู้ประสานงานของ GYBN Thailand และ Project Manager ของ Local Conference of Youth (LCOY) Thailand 2025 ซึ่งจะร่วมเดินทางไปประชุม COP30 กับคณะผู้แทนไทย กล่าวว่า LCOY พบว่ากุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น คือการร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดระหว่างคนต่างรุ่นและหลากหลายภาคส่วน “เราได้เรียนรู้ว่าแม้เยาวชนจะมีความสนใจและมุ่งมั่นต่อการแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศมากขึ้น แต่สิ่งที่ยังขาดคือความร่วมมืออย่างแท้จริงระหว่างคนรุ่นต่าง ๆ เยาวชนไม่ได้เพียงสนใจนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่เราพร้อมลงมือปฏิบัติ และความตั้งใจของเรายังขยายจากระดับท้องถิ่นไปสู่ระดับโลกด้วย” เยาวชนจากทั่วประเทศได้เสนอ 6 ข้อเรียกร้องเร่งด่วน เพื่อปกป้องสุขภาพ ความเป็นอยู่ และความมั่นคงของทรัพยากรน้ำ โดยมุ่งเน้นไม่ให้มีเด็กคนใดถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ได้แก่ * ระบบสาธารณสุขที่ตอบสนองต่อความเสี่ยงจากสภาพภูมิอากาศ เช่น ความร้อนจัด มลพิษ PM2.5 โรคไข้เลือดออก และผลกระทบทางจิตใจจากภัยพิบัติ * การศึกษาด้านสภาพภูมิอากาศสำหรับนักเรียนทุกคน เพื่อให้เด็กมีทักษะในการรับมือภัยพิบัติ การเกษตรที่ยั่งยืน และการจัดการของเสีย * เศรษฐกิจที่เป็นธรรมและยั่งยืน โดยผู้ก่อมลพิษต้องรับผิดชอบ พร้อมเสริมความแข็งแกร่งให้ภาคอาชีพในท้องถิ่น เช่น เกษตรกรรมและการท่องเที่ยว ให้สามารถรับมือกับผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศ * การจัดการภัยพิบัติที่ขับเคลื่อนโดยชุมชนและครอบคลุมทุกกลุ่ม มีระบบเตือนภัยที่ทั่วถึงและมาตรการอพยพที่คำนึงถึงความปลอดภัยของเด็ก * ความมั่นคงด้านน้ำสำหรับทุกคน ผ่านการปกป้องลุ่มน้ำ การควบคุมมลพิษ และการใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นในการบริหารจัดการ * การสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างจริงจัง เช่น การจัดเก็บภาษีพลาสติกระดับประเทศ และสนับสนุนธุรกิจชุมชนที่แปรรูปของเสียให้เกิดมูลค่า นางเซเวอรีน เลโอนาร์ดี รองผู้แทนองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย กล่าวว่า “เสียงของเยาวชนเหล่านี้คือการเรียกร้องให้เกิดการดำเนินการในระดับประเทศ เยาวชนได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าพวกเขาไม่เพียงกังวลต่อวิกฤตสภาพภูมิอากาศ แต่ยังพร้อมจะเป็นผู้นำและร่วมลงมือ ยูนิเซฟจึงขอเรียกร้องให้แนวทางและนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศของประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นแผนการปรับตัวแห่งชาติ (NAP) และเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (NDC) สะท้อนความต้องการของเด็กและเยาวชนด้วย  ขณะที่เรากำลังก้าวสู่การประชุม COP30 นี่คือช่วงเวลาสำคัญที่ประเทศไทยจะได้แสดงภาวะผู้นำ โดยให้ความต้องการและเสียงของเด็กเป็นหัวใจสำคัญของการตัดสินใจด้านสภาพภูมิอากาศ” เยาวชนยังได้เสนอให้มีการจัดตั้ง เครือข่ายเยาวชนด้านสภาพภูมิอากาศระดับภูมิภาค ที่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ รวมถึงการจัดตั้ง กองทุนเยาวชนเพื่อการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศระดับประเทศ และการออกนโยบายที่คุ้มครองสิทธิเด็กในช่วงการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ จากผลสำรวจ U-Report ปี 2567 พบว่า แม้กว่าร้อยละ 90 ของเยาวชนไทยต้องการมีส่วนร่วมในประเด็นสภาพภูมิอากาศ แต่มีเพียง ร้อยละ 34 ที่ได้รับโอกาสนั้นจริง ข้อมูลนี้สอดคล้องกับรายงาน “จากรุ่นสู่รุ่น ในโลกใบเดียวกัน” (Between Generations, One Planet)” ของยูนิเซฟเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ซึ่งระบุว่าแม้เยาวชนจะเป็นพลังสำคัญในการสร้างความตระหนักรู้และขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศ แต่พวกเขายังมีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจน้อยเกินไป เพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของเยาวชนมากขึ้น ยูนิเซฟจึงได้จัดทำ แคมเปญ #CountMeIn 2025 “จากเหนือจรดใต้ ทุกเสียงของเด็กมีความหมาย: รับฟัง ลงมือทำ รับมือโลกรวน” ซึ่งมุ่งส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนมีบทบาทมากขึ้นในการแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศ โดยได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นรูปธรรมจากทุกภาคส่วนของสังคม นอกจากนี้ ยูนิเซฟยังสนับสนุนให้ชัยรัตน์, นันท์นภัส และตัวแทนเยาวชนไทย ได้นำเสียงและข้อเสนอของพวกเขาไปสู่การประชุม COP30 เพื่อให้มุมมองของเด็กและเยาวชนไทยได้รับการสะท้อนในเวทีเจรจาระดับโลก เลโอนาร์ดีเน้นย้ำว่า การเปิดโอกาสให้เยาวชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง ไม่เพียงเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่ยังเป็นกุญแจสำคัญต่อการแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศอย่างยั่งยืน “เด็กและเยาวชนคือผู้อยู่แนวหน้าของวิกฤตสภาพภูมิอากาศ มุมมองและภาวะผู้นำของพวกเขามีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการสร้างประเทศไทยที่มีความยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในอนาคต” เธอกล่าวปิดท้าย น้ำท่วมจังหวัดสุโขทัย ปี 2024 ภาพจาก UNICEF ถ่ายโดย Patipat_Janthong  * ข่าว * สิทธิมนุษยชน * คุณภาพชีวิต * สิ่งแวดล้อม * การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ * การประชุม COP30 * ยูนิเซฟ * สิทธิเด็ก
dlvr.it
November 10, 2025 at 8:01 AM