ประชาไท Prachatai.com
banner
prachatai.com
ประชาไท Prachatai.com
@prachatai.com
'ทนายวิญญัติ' เปิดไทม์ไลน์ 'คดีภาษีหุ้นชินคอร์ป' ผ่าน 2 ยุครัฐประหาร
'ทนายวิญญัติ' เปิดไทม์ไลน์ 'คดีภาษีหุ้นชินคอร์ป' ผ่าน 2 ยุครัฐประหาร Pazzle Wed, 2025-11-19 - 14:06 วิญญัติทนายความประจำตัว “ทักษิณ” เปิดไทม์ไลน์ 'คดีภาษีหุ้นชินคอร์ป' ลำดับเหตุการณ์ตั้งแต่ปี 2548-2568 คดีถูกดึงกลับมาเป็นประเด็นทุกครั้งที่มีการรัฐประหาร ทั้งรัฐประหาร 2549 และ 2557     19 พ.ย. 2568 วิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความประจำตัวของ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัว “วิญญัติ ชาติมนตรี” ลำดับเหตุการณ์คดีภาษีการขายหุ้นบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หลังเมื่อวันที่ 17 พ.ย. ที่ผ่านมา ศาลฎีกาพิพากษากลับให้ทักษิณต้องจ่ายภาษีจากการขายหุ้นชินคอร์ปเรชั่น จำนวน 1.76 หมื่นล้านบาท ให้แก่กรมสรรพากร ทนายวิญญัติไล่เหตุการณ์ตั้งแต่ปี 2548 ที่ตระกูลชินวัตรได้ขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปอเรชั่นให้กับกองทุนเทมาเส็ก จนถึงวันที่ศาลภาษีอากรอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาที่ระบุให้ทักษิณต้องจ่ายภาษีจากการขายหุ้นชินคอร์ปเรชั่น กว่า 1.76 หมื่นล้านบาท เหตุการณ์ทั้งหมดผ่านช่วงเวลาของการรัฐประหารมาถึง 2 ครั้ง ทั้งรัฐประหาร 2549 และรัฐประหาร 2557 ทนายวิญญัติ ชาติมนตรี ลำดับเหตุการณ์คดีภาษีการขายหุ้นบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) • 23 ม.ค. 2549 ตระกูลชินวัตรได้ขายหุ้นบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือชินคอร์ปฯ ซึ่งตระกูลชินวัตรที่เป็นเจ้าของกิจการให้กับกองทุนเทมาเส็ก จำนวน 1,487 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 49.25 บาท รวมเป็นเงินกว่า 73,271 ล้านบาท หลังซื้อมาจากบริษัท แอมเพิลริช จำกัด ในราคาเพียงหุ้นละ 1 บาท โดยไม่เสียภาษี เนื่องจากได้รับการยกเว้นตามกฎหมาย เพราะเป็นการซื้อขายผ่านตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งขณะนั้นอยู่ในช่วงรัฐบาลไทยรักไทย โดยมีทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรี • 19 ก.ย. 2549 ได้เกิดเหตุการณ์รัฐประหาร โดยคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) เพื่อโค่นล้มรัฐบาลพรรคไทยรักไทย • ต่อมาคณะรัฐประหาร คมช. ได้แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการ กระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ รัฐ (คตส.) ขึ้นมาตรวจสอบโครงการต่างๆ ของรัฐบาลไทยรักไทย โดยได้ตั้งอนุกรรมการตรวจสอบการซื้อขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กับบริษัทแอมเพิลริช อินเวสต์เมนต์ จำกัด เป็นหนึ่งในหลายเรื่องที่ตรวจสอบด้วย • 23 เม.ย. 2550 คตส. ได้มีมติให้กรมสรรพากรเรียกเก็บภาษีบริษัท แอมเพิลริช เนื่องจาก บริษัท แอมเพิลริช (กรรมการบริษัทในขณะเกิดหนี้ภาษี คือพานทองแท้ ชินวัตร และพินทองทา ชินวัตร ในฐานะเป็นกรรมการบริษัท) ต้องเสียภาษีในฐานะเป็นการประกอบกิจการในประเทศไทย ทั้งเงินปันผล เงินได้จากการขายหุ้น และการจำหน่ายกำไรไปต่างประเทศ และภาระปลอดหนี้ • 26 ก.พ. 2553 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษายึดทรัพย์ทักษิณจำนวน 4.6 หมื่นล้านบาท โดยชี้ว่า ทักษิณเป็นเจ้าของหุ้นชินคอร์ปฯ ตัวจริง • 29 ธ.ค. 2553 ศาลภาษีอากรกลางจึงมีคำสั่งให้กรมสรรพากรงดเก็บภาษีซื้อขายหุ้นชินคอร์ปของพินทองทากับพานทองแท้ จากบริษัทแอมเพิลริชฯ นอกตลาดหลักทรัพย์ เนื่องจากศาลฎีกาพิพากษาแล้วว่า เจ้าของหุ้นตัวจริงคือทักษิณ ชินวัตร • 22 ก.พ. 2555 เสาวนีย์ กมลบุตร ในฐานะประธานคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากร ยืนยันว่า ที่ประชุมคณะกรรมการฯ ได้วินิจฉัยกรณีการจัดเก็บภาษีจากการซื้อ-ขายหุ้นชินคอร์ปฯ โดยนำคำพิพากษาของศาลฎีกา และศาลภาษีอากรมาประกอบการพิจารณา ซึ่งคำพิพากษาของศาลระบุว่า พานทองแท้และพินทองทาไม่ใช่เจ้าของหุ้นชินคอร์ปฯ แต่เป็นทักษิณ ดังนั้น คณะกรรมการฯ จึงไม่สามารถวินิจฉัยเป็นอย่างอื่นได้ นอกจากจะตัดสินยืนตามคำพิพากษาของศาล สาธิต รังคสิริ อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า หลังจากที่คณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากร ได้สรุปผลการวินิจฉัย กรณีการซื้อ-ขายหุ้นชินคอร์ปฯ ว่า เจ้าของหุ้นชินคอร์ป ที่แท้จริง คือทักษิณ ส่วนพานทองแท้และพินทองทา ชินวัตร ไม่ใช่เจ้าของหุ้นชินคอร์ปฯ ซึ่งการดำเนินการในลักษณะดังกล่าวเข้าข่ายปกปิดบัญชีทรัพย์สินที่จะต้องแสดงต่อสำนักงาน ป.ป.ป.ช. ซึ่งศาลฎีกาได้มีคำสั่งให้ยึดทรัพย์สินทักษิณให้ตกเป็นขอนของแผ่นดินไปหมดแล้ว จากนั้นเมื่อทักษิณซึ่งเป็นเจ้าของหุ้นตัวจริงนำหุ้นชินคอร์ปฯ ไปขายให้กับกองทุนเทมาเสกผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ก็จะได้รับยกเว้นภาษีตามกฎกระทรวงฉบับที่ 126 "เรื่องภาษีชินคอร์ปฯ ตอนนี้ถือว่าจบแล้ว ต่อจากนี้ไป กรมสรรพากรรจะไม่มีการประเมินภาษีคนในตระกูลชินวัตรอีก เนื่องจากผลการตัดสินของคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรถือเป็นที่สิ้นสุด ซึ่งคณะกรรมการ ฯ ก็มีมติเป็นเอกฉันท์ ยืนตามคำพิพากษาของศาลทั้ง 2 ศาล ส่วนเรื่องการประเมินภาษีทักษิณ คณะกรรมการฯ มอบหมายให้เป็นหน้าที่ของกรมสรรพากรเป็นผู้วินิจฉัย เมื่อสรรพากรพิจารณาแล้วว่าไม่ต้องเสียภาษี ตรงนี้ก็ถือเป็นที่สิ้นสุดด้วยเช่นกัน เพราะกรมสรรพากรทำตามผลการวินิจฉัยของคณะกรรมการฯ" เรื่องที่เกี่ยวข้อง * ศาลฎีกาสั่ง ‘ทักษิณ’ จ่ายภาษี 1.76 หมื่นล้านบาท กรณีขายหุ้นชินคอร์ป * 'ณัฐวุฒิ' ไล่ไทม์ไลน์คดีภาษีหุ้นชินคอร์ป ชี้ ‘ทักษิณ’ เจอความอยุติธรรม * ทีละช็อทๆ เพื่อความเข้าใจดีลประวัติศาสตร์ • 22 พ.ค. 2557 เกิดการรัฐประหารอีกครั้ง โดยคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (คสช.) เพื่อโค่นล้มรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ที่นำโดยยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ทำให้มีความพยายามรื้อคดีภาษีหุ้นชินคอร์ปขึ้นมาดำเนินการใหม่อีกครั้ง • 7 มี.ค. 2560 ประภาส คงเอียด รองปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธานคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากร กล่าวว่า ได้พิจารณาตามข้อเสนอของกรมสรรพากรเกี่ยวกับการขยายเวลาการออกหมายเรียกเก็บภาษีเงินได้จากผู้มีหน้าที่ต้องเสียภาษีภายใน 5 ปี เพราะหากกรมสรรพากรไม่ออกหมายเรียกจะทำการประเมินการเสียภาษีไม่ได้ ที่ประชุมหารืออย่างกว้างพิจารณาแล้วว่าจากมาตรา 3 อัฎฐ ประมวลรัษฎากร กำหนดว่า หากมีคดีความทางภาษีระยะเวลา 10 ปี กรมสรรพากรต้องออกหมายเรียกภายใน 5 ปี หากพ้นระยะเวลา 5 ปี แล้ว จะไม่สามารถออกหมายเรียกได้ โดยที่ประชุมคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรเห็นชอบร่วมกันว่า จากมาตรา 3 อัฏฐ ประมวลรัษฎากร ไม่สามารถขยายเวลาการออกหมายเรียกได้ จากนั้นจะนำมติดังกล่าวประกาศในราชกิจจานุเบกษาบังคับใช้เป็นการทั่วไปและดำเนินการต่อทุกคดีทางภาษี • 13 มี.ค. 2560 วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาประชุม และเห็นว่ากรมสรรพากรเคยออกหมายเรียกนายพานทองแท้และพินทองทานอมินีที่ถือหุ้นแทนทักษิณมาไต่สวนเมื่อปี 2555 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 820 - 821 ดังนั้นจึงถือว่าเคยออกหมายเรียกทักษิณมาไต่สวนแล้ว และทำให้อายุความขยายมาจนถึง 31 มี.ค. 2560 และกรมสรรพากรยังสามารถประเมินภาษีทักษิณได้ โดยไม่ต้องออกหมายเรียกมาไต่สวนอีก และทันทีที่ส่งหนังสือประเมินให้ทักษิณอายุความก็จะหยุดลง • 14 มี.ค. 2560 พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงการเรียกเก็บภาษีหุ้นชินคอร์ปของทักษิณ 16,000 ล้านบาท ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทรโอชา นายกฯ มอบหมายให้วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาหารือเมื่อวันที่ 13 มี.ค. 2560 โดยให้หลักเกณฑ์ว่า 1.ต้องไม่ ใช้มาตรา 44 ให้ใช้กฎหมายปกติ 2.ไม่ขยายอายุความ 3.ยืนอยู่บนหลักนิติธรรม ให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และ 4.ต้องดูเจตนาการขายหุ้นดังกล่าวว่าสุจริตหรือไม่ ถ้าสุจริตทุกอย่างจบ ถ้าไม่สุจริตให้ดำเนินการตามสิ่งที่ได้ให้ไว้ การจะดูว่าดำเนินการสุจริตหรือไม่ ได้ข้อสรุปว่าต้องไปฟ้องร้องดำเนินคดีกันในชั้นศาล แต่มีคำถามว่า จะดำเนินการได้ทันก่อนอายุความ 10 ปีจะสิ้นสุดในสิ้นเดือนมีนาคมนี้หรือไม่ ที่ประชุม ครม. ก็ได้แนวทางสว่างว่า เมื่อปี 2555 ศาลภาษีอากรกลางตัดสินไว้ว่า พานทองแท้และพินทองทาเป็นนอมินีของทักษิณไม่ใช่ตัวการสำคัญ เพราะตัวการสำคัญคือทักษิณ ดังนั้น การออกหมายเรียกทั้งคู่ในตอนนั้นจึงเหมือนเป็นการออกหมายเรียกทักษิณแล้ว “มันคงเป็นรายละเอียดที่มีกฎหมายเล็กซ่อนอยู่ในกฎหมายใหญ่ โดยที่ประชุม ครม. วิษณุใช้คำว่า ทำไม่ได้ แต่ทำได้ด้วยอภินิหารของกฎหมาย เพราะฉะนั้นมุมแบบนี้ คงไม่สามารถคิดออกได้ด้วยใครคนใดคนหนึ่ง แต่การประชุมวงวิษณุเมื่อวันที่ 13 มี.ค. ได้เชิญเกจิอาจารย์ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มาจึงคิดออก” • 28 เม.ย. 2560 กรมสรรพากรนำหนังสือแจ้งประเมินภาษีจากการขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปฯ ของทักษิณ เมื่อปี 2549 รวมเป็นเงินกว่า 17,629.58 ล้านบาท ไปติดไว้ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า ซึ่งเป็นบ้านพักของทักษิณ โดยเอกสารดังกล่าว ระบุว่า การประเมินภาษีครั้งนี้เป็นการประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภ.ง.ด.12 ประจำปี 2549 อาศัยอำนาจตามมาตรา 20, 22 ,27 และ 61 แห่งประมวลรัษฎากร ทักษิณมีเงินได้พึงประเมินรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 15,899.27 ล้านบาท เมื่อรวมกับเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม ซึ่งคำนวณถึงวันที่ 31 มี.ค. 2560 รวมเป็นระยะเวลา 120 เดือน ทำให้มีเงินภาษีซึ่งทักษิณต้องจ่ายทั้งสิ้นรวม 17,629.58 ล้านบาท โดยให้ไปชำระที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขาบางพลัด • 25 เม.ย. 2560 ทีมกฎหมายของทักษิณจึงได้ยื่นอุทธรณ์ต่อสู้คดี คัดค้านการประเมินภาษีเพื่อเรียกเก็บภาษีจากการขายหุ้นบริษัทชินคอร์ป • 18 ก.ค. 2565 ศาลภาษีอากรกลางอ่านคำพิพากษาคดีความแพ่ง กรณีทักษิณเป็นโจทก์ยื่นฟ้องกรมสรรพากร กรณีประเมินเรียกเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จากการขายหุ้นบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ "ชินคอร์ป" จำนวน 17,000 ล้านบาท โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งศาลวินิจฉัยว่าเจ้าพนักงานของกรมสรรพากรถือเอาการออกหมายเรียกพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย และพินทองทา บุตรสาว ในฐานะตัวแทน เป็นการดำเนินการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะการประเมินต้องออกหมายเรียกไปยังโจทก์ ซึ่งเป็นผู้ถูกประเมินโดยตรง แต่ปรากฏว่าเจ้าพนักงานประเมินไม่ ได้ออกหมายเรียกตรวจสอบโจทก์ภายในเวลาที่กำหนด และนิติกรรมที่ทำขึ้นทั้งในขณะนั้นและหลังจากนั้นไม่ก่อให้เกิดการโอนกรรมสิทธ์ในหุ้นของ บริษัทชินคอร์ป เพราะพานทองแท้ และพินทองทาไม่ใช่เจ้าของหุ้นที่แท้จริง จึงถือว่าทักษิณเป็นเจ้าของหุ้น ขณะที่กรมสรรพากรให้ทักษิณเสียภาษี อย่างผู้มีรายได้พึงประเมินนั้น ศาลถือว่าทักษิณไม่ใช่ผู้มีเงินได้พึงประเมิน ทำให้การประเมินของเจ้าพนักงานไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงพิพากษาให้เพิกถอนการประเมิน • 2 มิ.ย. 2566 ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีภาษีอากร มีคำพิพากษา ที่ 2819/2566 พิพากษายืนตามศาลภาษีอากรกลาง • 17 พ.ย. 2568 ศาลภาษีอากรอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีที่ทักษิณเป็นโจทก์ยื่นฟ้องกรมสรรพากร ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้เพิกถอนการประเมินตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาฯ ที่แจ้งให้ทักษิณจ่ายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากการขายหุ้นชิน คอร์ปอเรชั่นฯ เป็นเงิน 1.76 หมื่นล้านบาท ให้กับกรมสรรพากร โดยศาลพิพากษาว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า การที่โจทก์ปกปิดการถือหุ้น บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ชินคอร์ป ของตน โดยให้บุคคลอื่น รวมถึงพานทองเเท้ และพินทองทาถือหุ้นแทนเพราะโจทก์ประสงค์ที่จะเข้ารับตำแหน่งทางการเมือง ที่กฎหมายห้ามมิให้โจทก์ถือหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ที่ขาดคุณธรรมทางภาษีและไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมายภาษีอากร ในการจัดเก็บภาษีอากร ส่งผลให้รัฐไม่สามารถจัดเก็บภาษีได้อย่างถูกต้องและแน่นอนตามเจตนารมณ์แห่งกฎหมาย ทั้งเป็นธุรกรรมที่ไม่มีเหตุผลทางเศรษฐกิจนอกเหนือจากการหาประโยชน์อื่น รวมถึงภาษีเงินได้ และเป็นธุรกรรมที่ทำขึ้นเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมายอย่างร้ายแรง กรณีจึงไม่มีเหตุงดและลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มแก่โจทก์ ส่วนประเด็นอื่นไม่จำต้องวินิจฉัยเพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงพิพากษากลับ ให้ ยกฟ้องโจทก์   * ข่าว * การเมือง * วิญญัติ ชาติมนตรี * ทักษิณ ชินวัตร * หุ้นชินคอร์ปอเรชั่น * บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด * สรรพากร * รัฐประหาร * วิษณุ เครืองาม * พินทองทา ชินวัตร * พานทองแท้ ชินวัตร
dlvr.it
November 19, 2025 at 7:25 AM
FTA ไทย-อียู คุ้มหรือไม่? ภาษีเหล้าหายหมื่นล้าน ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพพุ่ง ผู้ผลิตรายย่อยพังยับ
FTA ไทย-อียู คุ้มหรือไม่? ภาษีเหล้าหายหมื่นล้าน ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพพุ่ง ผู้ผลิตรายย่อยพังยับ Pazzle Wed, 2025-11-19 - 08:09 อุตสาหกรรมเหล้าอียูหวังใช้เอฟทีเอตีตลาดไทย ทำรายได้ภาษีลดลงปีละหมื่นล้าน แต่ค่าใช้จ่ายสุขภาพสูงขึ้น คนดื่มมากขึ้น นักดื่มหน้าใหม่เพิ่มขึ้น ผู้ผลิตรายย่อยพัง รัฐบาลต้องหาแนวทางป้องกันผ่านบทเรียนต่างประเทศก่อนจะสายเกินไป หนึ่งในข้อเรียกร้องสำคัญของสหภาพยุโรปหรืออียูในการเจรจาเอฟทีเอกับไทยรอบนี้คือการเปิดเสรีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นเป้าหมายที่อียูต้องครอบครองให้ได้เนื่องจากอียูและสหราชอาณาจักรเป็นผู้ส่งออกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ประมาณครึ่งหนึ่งของโลกใบนี้หรือร้อยละ 51 วิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ เลขาธิการมูลนิธิชีววิถี (BIOTHAI) จึงกล่าวว่า เครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดที่อียูจะได้ประโยชน์ ต้องยอมรับในอุตสาหกรรมนี้อียูมีความแข็งแกร่งมาก มีความหลากหลายของผลิตภัณฑ์และแบรนด์ ซึ่งมีความเรื่องราวและความเป็นมายาวนาน ทั้งในมิติประวัติศาสตร์ ศาสนา สภาพภูมิอากาศ สายพันธุ์องุ่นที่นำมาผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และเทคโนโลยีการผลิตที่สั่งสมมานับพันปี “เฉพาะเหล้าอย่างเดียว 30,000 แบรนด์ และเบียร์ 100,000 แบรนด์ มีแบรนด์ไวน์ 70,000 แบรนด์” วิฑูรย์กล่าว “และที่เป็นแบรนด์ระดับโลกขายได้ทั่วโลก นอกจากแบรนด์ท้องถิ่น อีก 500-800 แบรนด์ ฉะนั้นใครเจออียูเข้าไปก็สู้ไม่ไหว ก็เลยต้องมีมาตรการจำกัดทั้งในเชิงการค้าและผลกระทบที่เกิดขึ้น” เหล่านี้คือข้อมูลที่เปิดออกมาในเวทีสาธารณะ ‘ผลกระทบและข้อเสนอภาคประชาชนต่อการเจรจาการค้า FTA Thai-EU’ ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันพุธที่ 12 พฤศจิกายน 2568 ณ ห้องประชุมโรงแรมแมนดาริน สามย่าน กรุงเทพมหานคร ซึ่งผลกระทบต่อสังคมไทยไม่ได้มีเพียงเท่านี้ วิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ (แฟ้มภาพ) ไทยได้ประโยชน์อะไรจากการลดภาษีเหล้าเป็นศูนย์ เมื่อดูข้อมูลการนำเข้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของไทยในปี 2565 จะพบว่า เรานำเข้าจากอียูและสหราชอาณาจักรสูงถึงร้อยละ 53 ของปริมาณนำเข้าทั้งหมด หากการเจรจาเอฟทีเอ อียูเป็นฝ่ายได้สิ่งที่ต้องการนั่นคือการลดภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นศูนย์ จะทำให้รายได้หายไป 2 ส่วนประกอบด้วยส่วนที่เป็นเงินบำรุงร้อยละ 17.5 ที่เป็นส่วนหนึ่งของภาษีสรรพสามิต เงินส่วนนี้เป็นเงินที่นำส่งให้แก่ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทยหรือไทยพีบีเอส เงินอุดหนุนด้านกีฬา เงินสำหรับผู้สูงวัย และเงินบำรุงท้องถิ่น เป็นต้น อีกส่วนคือเงินรายได้จากภาษีศุลกากรที่มาจากการนำเข้า ซึ่งคิดเป็นประมาณร้อยละ 54-60 ของราคานำเข้า เมื่อตัดรายได้ที่รัฐควรจะได้สองส่วนนี้ออกไปจะส่งผลให้ราคาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นำเข้าจากอียูลดลงทันทีร้อยละ 24 “กรณีเหล้านำเข้ายี่ห้อ Black Label ขายในราคาปัจจุบัน 1,729 บาท เมื่อจะทำเอฟทีเอ ภาษีเป็นศูนย์ ราคาจะถูกลงทันทีเลย 24 เปอร์เซ็นต์จาก 1,700 บาท เหลือแค่ 1,300 บาท ราคาน่าจูงใจขึ้นมาก หรือกรณีเบียร์ยี่ห้อสีเขียวราคาขายปลีกปัจจุบันอยู่ที่ 64 บาท ถ้าภายใต้เอฟทีเอจะเหลือแค่ 51.6 บาท” ขณะที่ภาษีนำเข้าไวน์ถูกลดลงเหลือศูนย์ไปแล้วตั้งแต่สมัยเศรษฐา ทวีสินเป็นนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ด้วยเหตุผลว่าต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้กระทรวงการคลังต้องส่งหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีว่านโยบายนี้จะทำให้อำนาจต่อรองในการเจรจาเอฟทีเอไทย-อียูลดลง เท่ากับช่วยลดภาระของอียูในการเจรจาลงไปโดยปริยาย นอกจากนี้ ยังส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตไวน์ภายในประเทศและสินค้าทดแทนที่มีราคาใกล้เคียงกัน เพิ่มปริมาณการดื่ม และรัฐต้องสูญเสียรายได้เฉพาะภาษีจากไวน์ประมาณ 429 ล้านบาทต่อปี รายได้ลด แต่ค่าใช้จ่ายสุขภาพเพิ่ม หากมองในมุมผู้บริโภคก็ต้องยอมรับว่า ผู้บริโภคจะรับประโยชน์จากในแง่การเข้าถึงผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์นำเข้าที่มีคุณภาพดี มีความหลากหลายกว่า 200,000 ชนิด ในราคาที่ถูกลง แต่ราคาที่สังคมไทยต้องจ่ายก็มีมากไม่แพ้กัน ประการแรกคือการสูญเสียรายได้จากภาษีศุลกากรดั่งที่กล่าวไปข้างต้น ตามมาด้วยผลกระทบต่อผู้ผลิตสุรา คราฟท์เบียร์ และไวน์ท้องถิ่น การเพิ่มขึ้นของนักดื่มหน้าใหม่โดยเฉพาะเยาวชนคนหนุ่มสาว ปริมาณการดื่มต่อคนที่เพิ่มสูงขึ้นซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเนื่องด้านสุขภาพ ปัญหาครอบครัว และอุบัติเหตุบนท้องถนน วิฑูรย์เปิดเผยผลการศึกษาว่าหากไทยยอมรับข้อเสนอของอียูโดยไม่มีเกราะป้องกันใดๆ สิ่งที่จะตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้คือราคาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะถูกลงร้อยละ 20-25 การนำเข้าจากอียูจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 100-300 ขณะที่การนำเข้ารวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 30-100 เมื่อราคาถูกลงย่อมทำให้ปริมาณการดื่มเพิ่มขึ้นพร้อมกับนักดื่มหน้าใหม่ รายได้จากภาษีหายไป 10,500 ล้านบาทต่อปี สวนทางกับค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพที่จะเพิ่มขึ้น “แต่ว่าหมื่นล้านบาทของภาษีเหล้าที่หายไป มันไม่ได้สูญเสียแค่ภาษี มันมาพร้อมปัญหาสุขภาพที่เพิ่มขึ้น แต่เงินที่จะใช้จัดการปัญหาสุขภาพน้อยลง เขาเรียกว่า double losses หรือภาษาเศรษฐศาสตร์เรียกว่า fiscal health paradox คือขัดแย้งกันเอง คุณเจอ 2 เด้ง” บทเรียนจากต่างประเทศ นำเข้าเพิ่มขึ้น ดื่มมากขึ้น แต่ผู้ผลิตในประเทศพัง ข้อวิตกต่อปัญหาเหล่านี้มีหลักฐานเชิงประจักษ์จากต่างประเทศที่มีข้อตกลงเอฟทีเอกับอียูและลดภาษีนำเข้าเครื่องดื่มแอลกฮอล์เป็นศูนย์ ยกตัวอย่างเช่น “เปรูทำข้อตกลงกับอียูว่าจะลดภาษีเป็นศูนย์ภายใน 7-10 ปี หลังจากนั้นปี 2013-2023 การนำเข้าพุ่งพรวดเลย เพิ่มมากที่สุดก็คือเหล้า 4.6 เท่าตัว ปริมาณการดื่มเหล้าเพิ่มขึ้นชัดเจนจาก 5.2 ลิตรต่อคนในปี 2010 เป็น 5.7 ลิตรต่อคนในปี 2019 แล้วสุราประจำชาติของเขาที่เรียกว่า PISCO ก็แทบขายไม่ได้เลย นั่นขนาดมีสุราประจำชาติแล้วนะ ของเรายังเป็นท้องถิ่นอยู่เลย ยังไม่เกิดเลย นี่พัง” เช่นเดียวกับประเทศเอกวาดอร์ หลังจากลดภาษีเบียร์และไวน์เป็นศูนย์ตั้งแต่ปีแรก การนำเข้าจากอียูก็เพิ่มสูงขึ้นถึง 9.8 เท่า Aguardiente เหล้าท้องถิ่นสูญเสียตลาดให้กับจินและว็อดก้านำเข้า ขณะที่จำนวนผู้ดื่มไม่เพิ่มขึ้น ยกเว้นกลุ่มผู้หญิงในเมือง แต่ก็มีการเปลี่ยพฤติกรรมการดื่มมาดื่มเครื่องดื่มนำเข้าแทน กรณีประเทศโคลอมเบียก็เดินตามรอยผลกระทบเช่นเดียวกับเปรูและเอกวาดอร์ ส่งผลให้รัฐบาลเอกวาดอร์จำเป็นต้องออกมาตราบรรเทาปัญหาด้วยเก็บภาษีสรรพสามิตเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 75 เก็บค่าใบอนุญาตการขาย และให้อำนาจแต่ละจังหวัดสามารถออกใบอนุญาตระดับจังหวัด “พอออกมาตรการเหล่านี้ปั๊บ จากที่สูงก็ลงมาเลย ประเทศไทยควรเรียนรู้อย่างยิ่ง แต่ที่คุณจะเจอแน่ๆ คืออียูจะฟ้อง WTO (องค์การการค้าโลก) ว่าขัดกับข้อตกลง ขัดระเบียบการค้า แต่ใช้เวลาในการฟ้องคดีประมาณ 10 ปี ยังเพิ่งต่อรองกันว่าจะลดเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นฟ้องไม่ต้องกลัว มันใช้เวลาในกระบวนการไต่สวน” วิฑูรย์ยังยกตัวอย่างประเทศเกาหลีใต้ซึ่งมีสถานะทางเศรษฐกิจสูงกว่าไทย แต่ก็ได้ผลลัพธ์เหมือนกับตัวอย่างประเทศอื่นๆ คือปริมาณการนำเข้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะช่วงปี 2018-2022 เพิ่มร้อยละ 13.3 ต่อปี แต่ด้วยอิทธิพลของวัฒนธรรมองค์กร เทรนด์สมัยใหม่ กฎหมายที่เข้มงวดจึงทำให้การดื่มโดยรวมลดลงเล็กน้อย สร้างเกราะป้องกันก่อนสายเกินไป เมื่อเห็นผลกระทบที่เกิดขึ้นแบบนี้แล้ว คำถามสำคัญจึงอยู่ที่ว่าประเทศไทยควรทำอย่างไรเพื่อรับมือสถานการณ์ข้างหน้า วิฑูรย์เสนอว่า “สิ่งที่เราทำได้ก็คือ อันที่ 1 ต่อรองให้นานที่สุด ถ้าทำได้ก็คือไม่เอาได้ไหม แต่ถ้าไม่ได้ต้องต่อรองอย่าให้เป็นศูนย์ตั้งแต่ปีแรก คือคุณมีเป้าอยู่ที่ 10 ปีเป็นต้นและหวังว่าภายใน 10 ปีจะจัดการปัญหาผลกระทบได้” ข้อเสนอต่อมาคือใช้วิธีการเดียวกับรัฐบาลเวียดนามที่ขึ้นภาษีสรรพสามิตแทนภาษีศุลกากรและควรเพิ่มก่อนที่ข้อตกลงจะมีผลผูกพัน โดยเวียดนามเพิ่มภาษีสรรพสามิตในบางรายการจากร้อยละ 35 เป็นร้อยละ 90 จากปี 2021-2033 ซึ่งช่วยทดแทนรายได้ที่สูญเสียไปจากภาษีศุลกากรโดยไม่ผิดข้อตกลงใดๆ นอกจากการเพิ่มภาษีสรรพสามิต เกาหลีใต้ยังใช้มาตรการลดความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ในเลือด (Blood alcohol concentration: BAC) เป็นการควบคุมการดื่มให้ลดลงเหลือร้อยละ 0.03 เพื่อลดอุบัติเหตุ ขณะที่ญี่ปุ่นใช้วิธีรณรงค์ด้วยการตั้งเป้าลดการดื่มลงร้อยละ 20 ภายในปี 2025 “นี่คือสิ่งที่เราสามารถทำได้ ที่เราเห็นว่าภาษีเราที่เก็บตอนนี้ 60 เปอร์เซ็นต์ จริงๆ น้อยกว่าอีกหลายประเทศในอียูด้วยซ้ำ ตอนนี้ภาษีต่อราคาขายของไทยแทบจะต่ำสุดใน 4 ประเทศที่ทำการศึกษา เพราะฉะนั้นการเพิ่มภาษีก็ดี ไม่ได้เกิดผลกระทบเลย มาตรการนี้เกิดขึ้นแล้วในยุโรป เพียงแต่เรียกภาษีแตกต่างกันแค่นั้นเอง”   * ข่าว * การเมือง * เศรษฐกิจ * สังคม * วิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ * มูลนิธิชีววิถี * อุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ * การลดภาษีศุลกากรเป็นศูนย์ * fiscal health paradox * FTA ไทย-อียู
dlvr.it
November 19, 2025 at 1:21 AM
ผลสำรวจ PwC ชี้ คนทำงานที่ใช้ AI ทุกวัน ได้เงินเดือนสูงขึ้น มั่นใจมากขึ้น และทำงานได้ผลดีขึ้น
ผลสำรวจ PwC ชี้ คนทำงานที่ใช้ AI ทุกวัน ได้เงินเดือนสูงขึ้น มั่นใจมากขึ้น และทำงานได้ผลดีขึ้น auser15 Wed, 2025-11-19 - 07:47 ผลสำรวจ Global Workforce Hopes & Fears Survey 2025 ของ PwC สัมภาษณ์คนทำงานเกือบ 50,000 คน จาก 48 ประเทศ ใน 28 อุตสาหกรรม พบว่าคนทำงานที่ใช้ AI ทุกวันได้เงินเดือนสูงขึ้น มั่นใจในงานมากขึ้น และทำงานได้ผลดีขึ้น แต่กระนั้นก็ยังมีช่องว่างการพัฒนาทักษะ โดยพนักงานระดับล่างมีโอกาสเติบโตน้อยกว่าผู้บริหารระดับสูง ภาพจาก: Easy-Peasy.AI  19 พฤศจิกายน 2025 คนทำงานที่ใช้ GenAI ทุกวันตลอดปีที่ผ่านมา ระบุว่าพวกเขาทำงานได้ผลดีขึ้น มั่นใจในงานมากขึ้น และได้รับค่าตอบแทนสูงขึ้น ตามผลสำรวจ Global Workforce Hopes & Fears Survey 2025 ของ PwC ที่เผยเมื่อช่วงเดือนพฤศจิกายน 2025 การสำรวจครั้งนี้สัมภาษณ์คนทำงานเกือบ 50,000 คน จาก 48 ประเทศใน 28 อุตสาหกรรม พบว่าเมื่อเทียบกับคนที่ใช้ไม่บ่อย คนที่ใช้ AI ทุกวันเห็นผลชัดเจนมากกว่าในเรื่องประสิทธิภาพการทำงาน (92% เทียบกับ 58%) ความมั่นคงในงาน (58% เทียบกับ 36%) และเงินเดือน (52% เทียบกับ 32%) นอกจากนี้พวกเขายังมองโลกในแง่ดีต่อผลกระทบของ AI มากกว่าในทุกด้านที่สำรวจ อย่างไรก็ตาม การสำรวจพบว่าองค์กรต่างๆ ยังทำได้มากกว่านี้ในการช่วยให้พนักงานพัฒนาทักษะและประสบความสำเร็จท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจที่ท้าทาย พนักงานระดับล่างเพียง 51% เท่านั้นที่รู้สึกว่าตนเองสามารถเข้าถึงโอกาสในการเรียนรู้และพัฒนาที่ต้องการ เมื่อเทียบกับผู้จัดการ 66% และผู้บริหารระดับสูง 72% พีท บราวน์ (Pete Brown) หัวหน้าฝ่ายบุคลากรระดับโลกของ PwC กล่าวว่าพนักงานที่ใช้ AI ทุกวันกำลังเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นประสิทธิภาพที่สูงขึ้น ความมั่นคงในงานที่มากขึ้น และค่าตอบแทนที่ดีขึ้น แต่เพื่อขยายผลประโยชน์เหล่านี้ "ธุรกิจต้องทำมากกว่าแค่อบรม ต้องออกแบบงานใหม่และกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างคนกับเครื่องจักรใหม่ การทำสิ่งนี้ให้ถูกต้องจะเป็นตัวกำหนดว่า GenAI จะกลายเป็นเครื่องยนต์แห่งการเติบโตและการเข้าถึงที่แท้จริง หรือเป็นแค่โอกาสที่พลาดไป" บราวน์ dล่าว การสำรวจยังพบว่าคนที่ใช้ GenAI ทุกวันมองอนาคตงานของตนในอีก 12 เดือนข้างหน้าในแง่ดีมากกว่า (69%) เมื่อเทียบกับคนที่ใช้ไม่บ่อย (51%) และคนที่ไม่ใช้เลย (44%) แม้ว่า 54% ของคนทำงานบอกว่าเคยใช้ AI ในงานในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา แต่อัตราการใช้งานบ่อยยังต่ำ บ่งบอกว่ายังมีโอกาสเติบโตและเข้าถึงผลประโยชน์ที่จับต้องได้อีกมาก มีเพียง 14% เท่านั้นที่ใช้ AI ทุกวัน เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 12% ในปี 2024 ช่องว่างการพัฒนาทักษะ พนักงานระดับล่างมีโอกาสเติบโตน้อยกว่าผู้บริหารระดับสูง แม้องค์กรต่างๆ จะลงทุนในโปรแกรมพัฒนาทักษะเพื่อรับมือกับเทคโนโลยีใหม่ แต่การสำรวจพบว่าความพยายามในการพัฒนาทักษะของนายจ้างยังไม่เท่าเทียมกัน พนักงานระดับล่างเพียง 51% เท่านั้นที่รู้สึกว่ามีทรัพยากรที่ต้องการสำหรับการเรียนรู้และพัฒนา เมื่อเทียบกับผู้จัดการ 66% และผู้บริหารระดับสูง 72% จากแนวโน้มปัจจุบัน คนที่ใช้ AI อยู่แล้วกำลังก้าวนำคนทำงานส่วนใหญ่ห่างออกไปเรื่อยๆ คนที่ใช้ AI ทุกวัน 75% รู้สึกว่ามีทรัพยากรเพียงพอสำหรับการเรียนรู้และพัฒนาตัวเอง ขณะที่คนใช้ไม่บ่อยมีเพียง 59% เท่านั้นที่รู้สึกแบบนี้ นอกจากนี้ยังมีความแตกต่างชัดเจนในเรื่องวัฒนธรรมการเรียนรู้ในที่ทำงาน โดยรวมแล้วคนทำงาน 54% บอกว่าทีมของตนมองความล้มเหลวเป็นโอกาสในการเรียนรู้และเติบโต แต่ในภาคเทคโนโลยีตัวเลขนี้สูงถึง 65% ขณะที่ภาคขนส่งและโลจิสติกส์มีเพียง 47% เท่านั้น คนทำงานทั่วโลกเครียดเรื่องเงินมากขึ้น ส่งผลให้แรงจูงใจในการทำงานลดลง แม้คนทำงาน 70% บอกว่าพอใจกับงานอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง แต่ก็มีสัญญาณความเครียดปรากฏชัดเช่นกัน มีเพียง 53% เท่านั้นที่มองอนาคตงานของตนอย่างมีความหวัง โดยพนักงานระดับล่าง (43%) ห่างจากผู้บริหารระดับสูง (72%) อย่างมาก ความไว้วางใจในผู้บริหารก็แตกแยก มีเพียง 64% ที่บอกว่าเข้าใจเป้าหมายขององค์กร ตัวเลขนี้ยิ่งต่ำลงในกลุ่มพนักงานระดับล่างและ Gen Z คนทำงานทั่วโลก 55% กำลังเผชิญปัญหาการเงิน เพิ่มขึ้นจาก 52% ในปี 2024 มากกว่า 1 ใน 3 (35%) รู้สึกครอบงำอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง และพุ่งเป็น 42% ใน Gen Z น้อยกว่าครึ่ง (43%) ได้ขึ้นเงินเดือนในปีที่แล้ว และน้อยกว่า 1 ใน 5 (17%) ได้เลื่อนตำแหน่ง สะท้อนสภาพเศรษฐกิจที่ยากลำบาก ความตั้งใจจะขอขึ้นเงินเดือนและเลื่อนตำแหน่งลดลงทุกปี จาก 43% เหลือ 37% และจาก 35% เหลือ 32% ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม องค์กรที่ได้รับการสนับสนุนจากทีมงานจะได้ประโยชน์อย่างมาก พนักงานที่เห็นด้วยกับเป้าหมายของผู้นำอย่างเต็มที่มีแรงจูงใจมากกว่า 78% เมื่อเทียบกับคนที่เห็นด้วยน้อยที่สุด นิคกี เวคฟิลด์ (Nicki Wakefield) หัวหน้าฝ่ายลูกค้าและอุตสาหกรรมระดับโลกของ PwC กล่าวว่าคนที่ใช้ GenAI ทุกวันเห็นผลแล้วว่าทำงานได้ดีขึ้น มั่นใจในงานมากขึ้น และได้เงินเพิ่มขึ้นชัดเจน แต่กลับมีแค่ 14% ที่ใช้ทุกวัน ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ตัวเทคโนโลยี แต่อยู่ที่คน พนักงานจะทำงานได้ดีเมื่อเข้าใจทิศทางองค์กร "ถ้าพนักงานเห็นตรงกันกับผู้นำองค์กร แรงจูงใจจะพุ่งขึ้น 78% ในช่วงที่หลายคนกำลังเครียดเรื่องเงินและรู้สึกท่วมท้น ผู้นำต้องปรับวิธีทำงานใหม่และทำให้พนักงานมั่นใจ ด้วยการให้ตัวอย่างการใช้งานที่ง่ายๆ ในชีวิตประจำวัน กำหนดกฎเกณฑ์ที่ชัดเจน และสร้างทักษะ ความไว้ใจ พร้อมสนับสนุนให้ AI เป็นเครื่องมือที่ช่วยงานได้จริง" เวคฟิลด์ กล่าว   ที่มา: Daily GenAI users see higher pay, job security and productivity – while a third of the global workforce regularly feel overwhelmed (PwC, 12 November 2025)  * ข่าว * แรงงาน * ต่างประเทศ * ไอซีที * AI * คนทำงานร่วม AI
dlvr.it
November 19, 2025 at 12:54 AM
'ณัฐวุฒิ' ไล่ไทม์ไลน์คดีภาษีหุ้นชินคอร์ป ชี้ ‘ทักษิณ’ เจอความอยุติธรรม
'ณัฐวุฒิ' ไล่ไทม์ไลน์คดีภาษีหุ้นชินคอร์ป ชี้ ‘ทักษิณ’ เจอความอยุติธรรม auser15 Tue, 2025-11-18 - 18:23 'ณัฐวุฒิ' โพสต์โซเชียลมีเดีย ไล่ไทม์ไลน์คดีภาษีหุ้นชินคอร์ป ชี้ ‘ทักษิณ’ เจอความอยุติธรรม เกินวิสัยถ้าต้องยอมรับสิ่งนี้ 18 พ.ย. 2568 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ โพสต์โซเชียลมีเดีย กรณีศาลฎีกาพิพากษาคดีภาษีของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จากการขายหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) โดยมีผลให้กรมสรรพกรเรียกเก็บภาษีจากนายทักษิณ 1.76 หมื่นล้านบาท ความดังนี้ 13 มี.ค. 2560 ยุครัฐบาล คสช. ดร.วิษณุ เครืองาม เรียกประชุมนักกฎหมายคนสำคัญกลุ่มหนึ่ง เพื่อหาแนวทางเรียกเก็บภาษีขายหุ้นชินคอร์ป ทั้งที่กรมสรรพากรเคยมีข้อสรุปไปแล้วว่าไม่ต้องเสียภาษี เพราะเป็นการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ 14 มี.ค. เรื่องเข้าที่ประชุม ครม. พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกรัฐบาล ให้สัมภาษณ์ว่า การเรียกเก็บภาษีขายหุ้นชินคอร์ปเป็นเรื่องที่มีกฎหมายเล็กซ่อนอยู่ในกฎหมายใหญ่ ดร.วิษณุ เครืองาม ใช้คำว่าทำไม่ได้ แต่ทำได้ด้วย “อภินิหารของกฎหมาย” โฆษกไก่อูบอกด้วยว่า ต้องเชิญเกจิอาจารย์ที่เกี่ยวข้องเรื่องนี้มาประชุมกันถึงคิดออก คำว่าอภินิหารทางกฎหมาย เรียกเสียงวิพากษ์วิจารณ์ลั่นประเทศจากหลายฝ่าย ว่ากฎหมายที่ไหนมันจะมีอภินิหาร และในที่สุดศาลก็ตัดสินกรณีนี้ ให้ ดร.ทักษิณต้องจ่ายภาษีกว่า 17,000 ล้านบาท หลังจากยึดทรัพย์จากการขายหุ้นไปแล้ว 46,000 ล้าน ความคิดเห็นคนต่อเรื่องนี้มีหลายแบบ จำนวนมากเห็นใจ ดร.ทักษิณ ที่ถูกกระทำไม่จบสิ้น บางฝ่ายก็เห็นด้วยกับคำพิพากษา แต่สำหรับผมมองว่านี่คือความอยุติธรรม ไม่ว่าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับใคร ผมก็มีความรู้สึกอย่างเดียวกัน จะให้ยอมรับสิ่งที่เรียกว่าอภินิหารของกฎหมายเป็นเรื่องเกินวิสัย วันเดียวกับที่ศาลตัดสินเรื่องภาษี อัยการสูงสุดก็มีคำสั่งให้อุทธรณ์คำพิพากษาคดี 112 ซึ่งเหตุเกิดจากการแจ้งความของผู้บัญชาการทหารบก ในรัฐบาล คสช.เช่นเดียวกัน 17 พฤศจิกายน 2568 ถือเป็นวันแห่งข่าวร้ายวันหนึ่งของ ดร.ทักษิณ นี่คือนายกรัฐมนตรีจากการเลือกตั้งที่มีผลงานเพื่อประชาชนมากที่สุด และต้องพบเจอวันแห่งข่าวร้ายจากการถูกกระทำทางการเมืองมากที่สุดในคนเดียวกัน ส่วนที่วิเคราะห์กันว่าการยื่นอุทธรณ์จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการขอพักโทษ แม้อาจเป็นเจตนาของผู้มีอำนาจ แต่ต้องไปดูหลักเกณฑ์กันให้ชัด ขณะนี้ ดร.ทักษิณ ต้องโทษ 1 ปีจากทุกคดีซึ่งได้รับพระราชทานอภัยลดโทษ ไม่ถูกศาลออกหมายขังในคดีอื่น ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องในคดี 112 ถึงอัยการยื่นอุทธรณ์ก็ถือว่ายังเป็นผู้บริสุทธิ์ ซึ่งมีกรณีตัวอย่างหลายรายที่กระบวนการพักโทษดำเนินการตามสิทธิและคุณสมบัติของผู้ถูกจำขังได้ ในสังคมที่มีความขัดแย้งทางการเมืองยาวนาน ประชาชนแบ่งแยกเป็นฝักฝ่าย บ้านเมืองจะมีความหวังเมื่อทุกผู้คนล้วนเข้าถึงความยุติธรรมได้ และต้องไม่มีใครได้ประโยชน์จากความอยุติธรรม * ข่าว * การเมือง * คดีภาษีหุ้นชินคอร์ป * ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ * ทักษิณ ชินวัตร
dlvr.it
November 18, 2025 at 11:28 AM
เครือข่ายเยาวชนเพื่ออากาศสะอาด เรียกร้อง สว.เร่งพิจารณาร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด
เครือข่ายเยาวชนเพื่ออากาศสะอาด เรียกร้อง สว.เร่งพิจารณาร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด auser15 Tue, 2025-11-18 - 16:55 เครือข่ายเยาวชนเพื่ออากาศสะอาด ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้สมาชิกวุฒิสภาเร่งพิจารณาร่างพระราชบัญญัติบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ…. ชี้อากาศคือพื้นฐานของการมีชีวิต การนิ่งเฉยคือการทำลายโอกาสการมีชีวิตที่ดีขึ้นของคนไทย รวมถึงเป็นการละเมิดหลักสิทธิมนุษยชนพื้นฐานที่มนุษย์ทุกคนพึงมี เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2568 เพจ Thai Climate Justice for All รายงานว่า เครือข่ายเยาวชนเพื่ออากาศสะอาด ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้สมาชิกวุฒิสภาเร่งพิจารณาร่างพระราชบัญญัติบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ…. ระบุว่าพวกเราเครือข่ายเยาวชนเพื่ออากาศสะอาด (Youth for Clean Air Network) เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ ที่เติบโตมาท่ามกลางสภาวะมลพิษทางอากาศที่ทวีความรุนแรงขึ้นในทุก ๆ ปี ในขณะที่ การแก้ไขปัญหานั้น ล่าช้า และเต็มไปด้วยความเฉยชาของผู้ มีอำนาจมาเป็นเวลาหลายปี จน “อากาศสะอาด” กลายเป็นสิ่งที่ประชาชนต้องร้องขอ ทั้งที่ “อากาศสะอาด” ควรเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานที่พลเมืองไม่จำเป็นต้องต่อสู้ เพื่อให้ได้มา “สิทธิในสิ่งแวดล้อมที่ดี” ซึ่งรวมถึง “สิทธิในอากาศสะอาด” ไม่ควรเป็นอภิสิทธิ์ที่มีเพียงคนบางกลุ่มที่เข้าถึงได้ แต่ควรเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานที่ประชาชนชาวไทยทุกคนสมควรได้รับและภาครัฐมีหน้าที่เคารพ  ปกป้อง และทำให้สิทธินี้เกิดขึ้นจริง อย่างเสมอภาคเท่าเทียมกัน อย่างไรก็ตาม ในปี 2567 คนไทย 12.3 ล้านคนยังคงได้รับผลกระทบจากโรคที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศ และสถิติจากองค์การอนามัยโลก (World  Health Organization หรือ WHO) ปี 2565 ประเมินว่ามีผู้เสียชีวิตจาก PM2.5 ในไทยประมาณ 70,000 คน/ปี ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เด็กเล็กและเยาวชนต้องหยุดเรียน กระทบต่อระบบการศึกษาในภาพรวม นอกจากนั้น ยังส่งผลกระทบต่อคนหลากหลายกลุ่มโดยเฉพาะคนที่ต้องทำงานกลางแจ้งผู้ที่ต้องเผชิญอากาศพิษอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น สถานการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ ชี้ให้เห็นว่าสิทธิในอากาศสะอาดของประชาชนไทยยังคงถูกละเมิดอย่างร้ายแรงและต่อเนื่อง ในปัจจุบันมีความพยายามที่จะตราพระราชบัญญัติบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. .... ซึ่งเป็นกฎหมายที่สำคัญ มีเป้าหมายเพื่อแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศของไทยอันเกี่ยวข้องโดยตรงกับสุขภาพ และปกป้องสิทธิในอากาศสะอาดของประชาชนทุกคน ทว่ากฎหมายฉบับนี้มีความเสี่ยงว่าจะถูกประวิงเวลาไม่ให้สามารถพิจารณาได้แล้วเสร็จก่อนการยุบสภาในเดือนมกราคม 2568  ซึ่งส่งผลให้กฏหมายฉบับสำคัญเช่นนี้ตกไปทันที และในขณะเดียวกันนั้น กลุ่มเครือข่ายผู้ประกอบธุรกิจอ้างว่าเป็นกำลังหลักทางเศรษฐกิจของชาติ กลับเลือกอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับกฎหมายฉบับนี้ ถ้ากลุ่มธุรกิจหนึ่งสามารถอยู่รอดได้ในขณะที่คนทั้งประเทศหายใจด้วยอากาศพิษ แล้วลูกหลานของเราจะมีอนาคตที่สดใสได้เช่นไร กำไรที่ท่านได้นั้นไม่ใช่ ความยั่งยืนที่แท้จริง แต่เป็นความเห็นแก่ตัวในนามของผลประโยชน์ระยะสั้นของตนเอง โดยผลักผลกระทบและภาระให้ประชาชน รวมถึงสรรพชีวิตทั้งหมดการที่พวกเราต้องออกมาเรียกร้องกฎหมายอากาศสะอาดในวันนี้ ไม่ใช่การเริ่มต้น แต่คือผลผลิตของการต่อสู้อันยาวนานของประชาชนตลอดหลายปีที่ผ่านมา ที่ต้องทนเห็นความพยายามในการออกกฎหมายถูกหยุดตามสถานการณ์บ้านเมืองจนล่าช้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า อย่าลืมว่า ขณะที่กระบวนการทางการเมืองพยายามหยุดนิ่ง แต่ประชาชนยังคงหายใจด้วยอากาศพิษอย่างต่อเนื่องไม่เคยหยุด และตัวเลขผู้เสียชีวิตก่อนวัยอันควรก็ไม่ได้รอให้การเมืองพร้อมเสียก่อน ทั้งหมดนี้ คือ หลักฐานว่าความเฉยชาและการประวิงเวลาของผู ้มีอำนาจ คือการปล่อยให้ประชาชนตายไปตามยถากรรม พวกเราในฐานะตัวแทนเยาวชนเชื่อว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจไม่ควรถูกสร้างบนปอดของประชาชน  เราคาดหวังว่าการตัดสินใจของภาครัฐจะสะท้อนถึงความสำคัญของสุขภาพประชาชนเหนือผลประโยชน์อื่นใดทั้งทางเศรษฐกิจหรือการเมือง พวกเรา เครือข่ายเยาวชนเพื่ออากาศสะอาด  (Youth for Clean Air Network) ต้องการมาตรการที่สามารถปกป้องสุขภาพของประชาชนอย่างแท้จริง เราไม่ต้องการการเติบโตเศรษฐกิจที่ต้องแลกมากับความกลัวว่า การหายใจในทุก ๆ วันจะกลับมาทำลายสุขภาพและชีวิตของเรา ลูกหลานของเรา และทำลายธรรมชาติที่ดูแลเรา ถึงเวลาที่ สมาชิกวุฒิสภาทุกท่านต้องรับรู้ว่าคุณภาพอากาศที่ดี กับชีวิตของคนไทยทุกคนเป็นสิ่งที่แยกออกจากกันไม่ได้ เพราะอากาศคือพื้นฐานของการมีชีวิต และการนิ่งเฉยนั้นคือการทำลายโอกาสการมีชีวิต ที่ดีขึ้นของคนไทยทุกคน รวมถึงเป็นการละเมิดหลักสิทธิมนุษยชนพื้นฐานที่มนุษย์ทุกคนพึงมี * ข่าว * สังคม * คุณภาพชีวิต * สิ่งแวดล้อม * เครือข่ายเยาวชนเพื่ออากาศสะอาด * Youth for Clean Air Network * พ.ร.บ.อากาศสะอาด * PM2.5
dlvr.it
November 18, 2025 at 9:58 AM
กกต. มีมติ 4:3 เลือก 'ณรงค์ กลั่นวารินทร์' นั่งประธาน กกต.คนใหม่
กกต. มีมติ 4:3 เลือก 'ณรงค์ กลั่นวารินทร์' นั่งประธาน กกต.คนใหม่ auser15 Tue, 2025-11-18 - 16:21 กกต. มีมติ 4:3 เลือก 'ณรงค์ กลั่นวารินทร์' อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา นั่งประธาน กกต.คนใหม่ นายณรงค์ กลั่นวารินทร์ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) คนใหม่ | ภาพจาก: แฟ้มภาพสำนักศาลยุติธรรมประจำภาค 9 18 พฤศจิกายน 2568 Thai PBS รายงานว่า  สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ สำนักงาน กกต.ได้ดำเนินการจัด ประชุมกรรมการการเลือกตั้งหรือ กกต. ที่ยังไม่พ้นจากตำแหน่ง ซึ่งประกอบไปด้วย นายเลิศวิโรจน์ โกวัฒนะ,นายฐิติเชฏฐ์ นุชนาฏ, นายชาย นครชัย, นายสิทธิโชติ อินทรวิเศษ และนายณรงค์ กลั่นวารินทร์ ร่วมกับ นายอนันต์ สุวรรณรัตน์ และนายณรงค์ รักร้อย ว่าที่ กกต. 2 คน ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมวุฒิสภาและได้ลาออกจากตำแหน่ง หรือเลิกประกอบวิชาชีพ ตามที่มาตรา 13 ประกอบ มาตรา 10(20) (21) (22) และ (23) พ.ร.ป.ว่าด้วย กกต.กำหนดแล้ว เพื่อให้เลือกกันเองให้คนหนึ่งเป็นประธาน กกต. แทนนายอิทธิพร บุญประคอง ที่พ้นจากตำแหน่งเนื่องจากครบวาระ โดยการประชุมเริ่มต้นในเวลา 13.30 น และใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงเศษ เสร็จสิ้นกระบวนการ ซึ่งมีรายงานว่า นายณรงค์ กลั่นวารินทร์ ได้รับเสียงสนับสนุนให้ดำรงตำแหน่ง ประธาน กกต.คนใหม่ ซึ่งเป็นคนที่ 7 ของ กกต. จากมติโหวต 4 ต่อ 3 หลังจากนี้ทางสำนักงาน กกต. จะได้แจ้งผลการคัดเลือกกลับไปยังสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา เพื่อเสนอต่อประธานวุฒิสภา ให้นำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อให้ทรงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งพร้อม นายอนันต์ และ นายณรงค์ รักร้อย เป็น กกต.และนายณรงค์ กลั่นวารินทร์ เป็นประธาน กกต.ในคราวเดียวกัน สำหรับนายณรงค์ กลั่นวารินทร์ เป็น กกต.ที่ได้รับการเสนอชื่อจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกามาดำรงตำแหน่งแทนนายฉัตรไชย จันทร์พรายศรี โดยเข้าดำรงตำแหน่ง กกต.เมื่อวันที่ 30 ส.ค. 2568 ก่อนการดำรงตำแหน่ง กกต. นายณรงค์ กลั่นวารินทร์ เคยดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา (1 ต.ค.2566 - 2568) - ผู้พิพากษาศาลฎีกา (1 ต.ค.2564 - 30 ก.ย.2566) - อธิบดีผู้พิพากษาศาลล้มละลายกลาง(1 ต.ค.2562 - 30 ก.ย.2564) - รองประธานศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ (1 ต.ค.2561 - 30 ก.ย.2562) - ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ (1 ต.ค.2559- 30 ก.ย.2561) * ข่าว * การเมือง * ณรงค์ กลั่นวารินทร์ * กกต.
dlvr.it
November 18, 2025 at 9:26 AM
กองทัพเรือแจงสื่อกัมพูชาปล่อยข่าวปลอม กล่าวหาล่วงละเมิดแรงงานกัมพูชา
กองทัพเรือแจงสื่อกัมพูชาปล่อยข่าวปลอม กล่าวหาล่วงละเมิดแรงงานกัมพูชา auser15 Tue, 2025-11-18 - 15:59 กองทัพเรือแจงกรณีสื่อกัมพูชารายงานกล่าวหาเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทย ทำร้ายร่างกาย ข่มขู่รีดทรัพย์ และล่วงละเมิดแรงงานชาวกัมพูชา ที่หลบหนีเข้าเมืองผ่านช่องทางธรรมชาติ บริเวณ อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี นั้นเป็นข้อมูลเท็จ ไม่มีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ย้ำการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่กองทัพเรือเป็นไปตามกฎหมายไทย มาตรฐานสิทธิมนุษยชนสากล เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2568 สำนักงานโฆษกกองทัพเรือ ชี้แจงกรณีสื่อกัมพูชา รายงานกล่าวหาเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทย ทำร้ายร่างกาย ข่มขู่รีดทรัพย์ และล่วงละเมิดแรงงานชาวกัมพูชา ที่หลบหนีเข้าเมืองผ่านช่องทางธรรมชาติ บริเวณ อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี นั้น กองทัพเรือได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างละเอียดแล้ว ยืนยันว่า เป็นข้อมูลเท็จ ไม่มีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นอย่างแน่นอน การปฏิบัติของเจ้าหน้าที่กองทัพเรือเป็นไปตามกฎหมายไทย มาตรฐานสิทธิมนุษยชนสากล นอกจากนี้การปฏิบัติในการจับกุมเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหาร ได้บูรณาการร่วมกับเจ้าหน้าฝ่ายความมั่นคงหลายส่วนและปฏิบัติการร่วมกันเป็นชุด ทั้งนี้ยืนยันว่า กำลังพลทุกนายของฝ่ายไทย ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสุภาพ โปร่งใส และเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้หลบหนีเข้าเมืองทุกคน ตามหลักสากลที่ได้รับการยอมรับ กองทัพเรือขอให้ประชาชนติดตามข้อมูลจากหน่วยงานของรัฐ และขอความร่วมมือจากสื่อมวลชนหลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข่าวลวง ที่อาจสร้างความเข้าใจผิดและสร้างความเสียหายโดยไม่จำเป็น * ข่าว * การเมือง * ความมั่นคง * กรณีพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา * กองทัพเรือ * แรงงานข้ามชาติ
dlvr.it
November 18, 2025 at 9:04 AM
บอร์ด สปสช. เดินหน้าดูแลเด็กไทย เพิ่มสิทธิ 'วัคซีนไข้หวัดใหญ่' ให้กลุ่มอายุ 3-5 ปี ทั่วประเทศ
บอร์ด สปสช. เดินหน้าดูแลเด็กไทย เพิ่มสิทธิ 'วัคซีนไข้หวัดใหญ่' ให้กลุ่มอายุ 3-5 ปี ทั่วประเทศ auser15 Tue, 2025-11-18 - 15:29 บอร์ด สปสช. เดินหน้าดูแลเด็กไทย เพิ่มสิทธิ "วัคซีนไข้หวัดใหญ่" ให้กลุ่มอายุ 3-5 ปี ทั่วประเทศ ภายใต้บริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค กองทุนบัตรทอง จัดสรรงบประมาณรองรับ 128.1 ล้านบาท จัดซื้อวัคซีนไข้หวัดใหญ่เพิ่ม 1.4 ล้านโดส พร้อมค่าบริการ ช่วยป้องกันเด็กไทยก่อนป่วย คาดประหยัดค่ารักษากว่า 54 ล้านบาท/ปี พร้อมพัฒนาระบบเชื่อมต่อบริการผ่าน Super App กระทรวงสาธารณสุข นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 11/2568 เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2568 ที่ผ่านมา ได้มีมติเห็นชอบขยายกลุ่มเป้าหมายการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล สำหรับเด็กไทย อายุ 3-5 ปี จำนวน 1.4 ล้านโดส ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 จากเดิมที่ให้เฉพาะกลุ่มเด็ก 6 เดือนถึง 2 ปี, ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป และประชาชนกลุ่มเสี่ยง โดยใช้งบประมาณค่าวัคซีน 100.1 ล้านบาท และค่าฉีดวัคซีนอีก 28 ล้านบาท รวมเป็น 128.1 ล้านบาท พร้อมมอบหมายให้ดำเนินการได้ทันที นายพัฒนา กล่าวต่อว่า การขยายกลุ่มเป้าหมายในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อลดการป่วยและเสียชีวิตจากโรคไข้หวัดใหญ่ รวมถึงโรคแทรกซ้อนในเด็กอายุ 3-5 ปี โดยข้อมูลจากกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข คาดว่า หากกลุ่มเป้าหมายได้รับวัคซีนตามจำนวนที่ตั้งไว้ จะช่วยลดการป่วยจากโรคไข้หวัดใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังช่วยลดภาระผู้ปกครองในการลางานหรือสูญเสียรายได้จากการดูแลบุตรหลานที่เจ็บป่วย คิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจที่ลดความสูญเสียได้กว่า 399 ล้านบาทต่อปี และยังประหยัดงบค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยในได้กว่า 54 ล้านบาทต่อปี นอกจากนี้ การขยายสิทธิประโยชน์จากกลุ่มเป้าหมายเดิมไปยังกลุ่มเด็กอายุ 3–5 ปี ยังเป็นการเสริมความพร้อมของประเทศในการป้องกันการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ และรองรับการใช้วัคซีนที่ผลิตได้ภายในประเทศในอนาคตอีกด้วย ด้าน นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่า สิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่เพิ่มให้กับประชาชนนี้ อย่างเช่น วัคซีนไข้หวัดใหญ่สำหรับกลุ่มเป้าหมายใหม่เด็กอายุ 6 เดือน ถึง 5 ปี, ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป และกลุ่มเสี่ยง จะเชื่อมโยงการเข้ารับบริการกับ ‘Super App หมอพร้อม’ ของกระทรวงสาธารณสุข ที่กำลังพัฒนาในขั้นตอนท้าย ๆ โดยระบบจะมีการแจ้งเตือนให้ประชาชนทราบว่าสิทธิของตนสามารถรับวัคซีนใดได้บ้าง พร้อมแสดงจำนวนวัคซีนคงเหลือ และเปิดให้จองคิวฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ให้บุตรหลานได้ผ่านแอปพลิเคชัน ซึ่งจะช่วยเพิ่มการเข้าถึงสิทธิและการเข้าถึงบริการให้กับประชาชน และยังช่วยให้สถานพยาบาลคู่สัญญาเตรียมวัคซีนและจัดคิวบริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ “การฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล จะเริ่มฉีดในเดือนพฤษภาคม-กันยายน ของทุกปี เพื่อป้องกันการระบาดของไวรัสไข้หวัดใหญ่ในช่วงฤดูฝน สปสช. ขอเชิญชวนให้ประชาชนกลุ่มเป้าหมายเข้าไปรับวัคซีนได้ที่หน่วยบริการในพื้นที่ หรือจองคิวผ่านแอปพลิเคชัน” เลขาธิการ สปสช. กล่าวทิ้งท้าย * ข่าว * สังคม * คุณภาพชีวิต * สปสช. * ไข้หวัดใหญ่ * สุขภาพ
dlvr.it
November 18, 2025 at 8:33 AM
ครม. มีมติเห็นชอบเยียวยาผู้ประสบอุทกภัยเพิ่มเติมแบบขั้นบันได
ครม. มีมติเห็นชอบเยียวยาผู้ประสบอุทกภัยเพิ่มเติมแบบขั้นบันได auser15 Tue, 2025-11-18 - 15:22 ครม. มีมติเห็นชอบเยียวยาผู้ประสบอุทกภัยเพิ่มเติมแบบขั้นบันได พร้อมทบทวนหลักเกณฑ์เพิ่มเติมการช่วยเหลือน้ำท่วมมากกว่า 120 กลุ่มพื้นที่ที่น้ำล้อมรอบ 18 พฤศจิกายน 2568 NBT Connext รายงานว่า นายสิริพงษ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกมนตรี กล่าวว่า ตั้งแต่วันที่ 15 พฤษภาคม 68 มีบ้านเรือนที่อยู่อาศัยน้ำท่วมขัง ช่วยเยียวยาอัตราเดียวคือ 9000 บาทต่อครัวเรือน ทั้งนี้กระทรวงมหาดไทยประเมินว่ามีครัวเรือนที่อยู่อาศัยและเสียหายประมาณ 680,554 ครัวเรือน ในพื้นที่ 65 จังหวัดและได้การจ่ายเงินช่วยเหลือไปแล้วประมาณ 2,520 ล้านบาทคิดเป็นร้อยละ 40.85 ของวงเงินทั้งหมด ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี วันนี้ เห็นว่าสถานการณ์ อุทกภัยที่เกิดขึ้นในครั้งนี้มีความรุนแรงประกอบกับมติครม.เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2568 ยังไม่ครอบคลุมถึงความเดือดร้อนในมิติของประชาชน ดังนั้นให้กระทรวงมหาดไทย ทบทวนหลักเกณฑ์บางส่วน ภายใต้กรอบวงเงินเดิม โดยเพิ่มประเภทผู้ได้รับผลกระทบคือกลุ่มที่ไม่ได้อยู่อาศัยในครัวเรือนที่น้ำท่วมขังแต่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่น้ำล้อมรอบและส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิต เพิ่มเติมขึ้นมา สำหรับเกณฑ์เยียวยาที่กำหนดเพิ่มเติมดังนี้ จากเดิมที่ได้ 9,000 บาทจะเพิ่มเติมขึ้นมาผู้ที่ถูกน้ำท่วมขังติดต่อกันตั้งแต่ 31-60 วันจะได้เพิ่มอีก 5,000 บาท สำหรับผู้ที่ถูกน้ำท่วมขังตั้งแต่ 61 ถึง 90 วัน หรือ 3 เดือนจะได้เพิ่มอีก 5,000 บาท และผู้ที่ถูกน้ำท่วมขังตั้งแต่ 91 วันถึง 120 วัน จะได้เพิ่มอีก 5,000 บาท และผู้ที่ถูกน้ำท่วมขังตั้งแต่ 121 วันขึ้นไปหรือมากกว่า 4 เดือนจะได้เพิ่มอีก 5,000 บาท ส่วนบางกรณี ที่บางกรณีที่มีน้ำท่วมขังเกินกว่า 4 เดือน ให้คณะกรรมการคิดหลักเกณฑ์เพิ่มเติมเพื่อให้เป็นการอุดหนุนครั้งเดียวซึ่งรายละเอียดจะเป็นอย่างไรจะนำเสนอต่อไป * ข่าว * สังคม * คุณภาพชีวิต * สิ่งแวดล้อม * น้ำท่วม * ภัยพิบัติ
dlvr.it
November 18, 2025 at 8:28 AM
ครม. เห็นชอบ 'แมวไทย' เป็นเอกลักษณ์ประจำชาติ ประเภทสัตว์เลี้ยง
ครม. เห็นชอบ 'แมวไทย' เป็นเอกลักษณ์ประจำชาติ ประเภทสัตว์เลี้ยง auser15 Tue, 2025-11-18 - 15:03 คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ “แมวไทย” เป็นเอกลักษณ์ประจำชาติ ประเภทสัตว์เลี้ยง ตามที่คณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ (กอช.) เสนอ - ก่อนหน้านี้ กำหนดให้ “ช้างไทย” เป็นสัตว์ประจำชาติ “ปลากัดไทย” เป็นสัตว์น้ำประจำชาติ “นาค” เป็นเอกลักษณ์ประจำชาติ ประเภทสัตว์ในตำนาน 18 พฤศจิกายน 2568 เว็บไซต์รัฐบาลไทย รายงานว่า นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการกำหนดให้แมวไทยเป็นเอกลักษณ์ประจำชาติ ประเภทสัตว์เลี้ยง ตามที่คณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ (กอช.) เสนอ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2507 - 2567 คณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติกำหนดเอกลักษณ์ประจำชาติไทยในมิติต่าง ๆ เช่น กำหนดให้ “ช้างไทย” เป็นสัตว์ประจำชาติ กำหนดให้ “ปลากัดไทย” เป็นสัตว์น้ำประจำชาติ กำหนดให้ “นาค” เป็นเอกลักษณ์ประจำชาติ ประเภทสัตว์ในตำนาน กำหนดให้ “การไหว้” เป็นเอกลักษณ์ประจำชาติ ประเภทการทักทายและการแสดงความเคารพแบบไทย โดย กอช. ได้ขอเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบให้ “แมวไทย” เป็นเอกลักษณ์ประจำชาติ ประเภทสัตว์เลี้ยง ซึ่งเป็นไปตามมติ กอช. เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2568 ที่เห็นชอบการเสนอให้แมวไทยเป็นเอกลักษณ์ประจำชาติ ประเภทสัตว์เลี้ยง อันเนื่องมาจากผลการศึกษาทางประวัติศาสตร์และการศึกษาทางพันธุกรรมของแมวไทยพบว่า แมวไทยเป็นสัตว์ที่มีเอกลักษณ์ในตัวเองทั้งรูปลักษณ์และลักษณะนิสัยที่มีความโดดเด่น มีความแตกต่างจากแมวสายพันธุ์อื่นอย่างชัดเจน แมวไทยเป็นสัตว์ที่อยู่คู่กับสังคมไทยมานาน โดยปรากฏหลักฐานการมีอยู่ของแมวไทยมาตั้งแต่ในอดีต อีกทั้งยังมีความเกี่ยวพันในด้านต่าง ๆ ทั้งความเชื่อ วิถีชีวิต สังคม ภูมิปัญญา และวัฒนธรรมของคนไทย แมวไทยจัดเป็นหนึ่งในสายพันธุ์แมวที่ได้รับการยอมรับถึงความพิเศษในระดับสากลและเป็นที่นิยมไปทั่วโลกทำให้ชาวต่างชาติมีความพยายามที่จะนำแมวไทยพันธุ์แท้ไปจดทะเบียน กำหนดมาตรฐานสายพันธุ์ โดยปัจจุบันมีแมวไทยพันธุ์แท้เหลืออยู่ 5 สายพันธุ์ ได้แก่ แมวศุภลักษณ์ แมวโคราช แมววิเชียรมาศ แมวโกญจา และแมวขาวมณี ภาครัฐจึงควรให้ความสำคัญกับการประกาศให้แมวไทยเป็นเอกลักษณ์ประจำชาติ ประเภทสัตว์เลี้ยง เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นที่จะทำให้ทุกภาคส่วนเห็นคุณค่านำไปสู่การอนุรักษ์และร่วมมือกันกำหนดมาตรฐานของแมวไทยพันธุ์แท้ในแนวทางเดียวกัน ส่งเสริมการเลี้ยงแมวไทยพันธุ์แท้ให้มากขึ้น และเพื่อเป็นการรักษาสิทธิ์ความเป็นเจ้าของสายพันธุ์แมวไทยและป้องกันการนำไปจดทะเบียนโดยชาวต่างชาติ รวมทั้งยังเป็นโอกาสในการเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจและต่อยอดเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่เกี่ยวเนื่องกับแมวไทย ทั้งนี้ กระทรวงวัฒนธรรมพิจารณาแล้วเห็นชอบด้วย * ข่าว * สังคม * วัฒนธรรม * คุณภาพชีวิต * แมวไทย * แมว * สัตว์เลี้ยง
dlvr.it
November 18, 2025 at 8:10 AM
'แอมเนสตี้-พายุ บุญโสภณ' เรียกร้องสอบสวนอิสระเหตุสลายการชุมนุม 'ราษฎรหยุด APEC 2022'
'แอมเนสตี้-พายุ บุญโสภณ' เรียกร้องสอบสวนอิสระเหตุสลายการชุมนุม 'ราษฎรหยุด APEC 2022' auser15 Tue, 2025-11-18 - 13:23 ครบรอบ 3 ปีเหตุสลายการชุมนุม 'ราษฎรหยุด APEC 2022' แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย พร้อมด้วย 'พายุ บุญโสภณ' นักกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชน ซึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการถูกยิงด้วยกระสุนยางในระยะประชิดจนสูญเสียการมองเห็นถาวร เรียกร้องให้มีการสอบสวนอิสระเหตุสลายการชุมนุม 18 พฤศจิกายน 2568 เนื่องในโอกาสครบรอบ 3 ปีเหตุสลายการชุมนุม “ราษฎรหยุด APEC 2022” แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย พร้อมด้วย พายุ บุญโสภณ นักกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชน ซึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการถูกยิงด้วยกระสุนยางในระยะประชิดจนสูญเสียการมองเห็นถาวร ได้เข้ายื่นหนังสือร้องเรียนต่อ พล.ต.ท. รุทธพล เนาวรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมและ พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพื่อเรียกร้องให้มีการสอบสวนที่อิสระ โปร่งใส และมีประสิทธิภาพ รวมถึงการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบอย่างครบถ้วนตามหลักสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ เพชรรัตน์ ศักดิ์ศิริเวทย์กุล ผู้จัดการฝ่ายรณรงค์แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย เผยว่า ประเทศไทยต้องแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า การใช้กำลังสลายการชุมนุมอย่างรุนแรงเกินความจำเป็นและไม่ได้สัดส่วนนั้น จะไม่ได้รับการยอมรับอีกต่อไป รัฐจำเป็นต้องสอบสวนอิสระและมีประสิทธิภาพ เอาผิดเจ้าหน้าที่ที่ละเมิดสิทธิ และจัดให้มีการเยียวยาและการรับรองความเป็นผู้เสียหายและหรือหยื่อจากการใช้ความรุนแรงโดยเจ้าหน้าที่รัฐอย่างครบถ้วน พร้อมเร่งปฏิรูประบบการใช้กำลังและอาวุธควบคุมฝูงชนให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล เพื่อป้องกันไม่ให้ความรุนแรงเช่นนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่รัฐต้องดำเนินการทันที ไม่ปล่อยให้ผู้เสียหายรอคอยความยุติธรรมอย่างไม่มีที่สิ้นสุดอย่างที่เป็นอยู่ การใช้กำลังและอาวุธควบคุมฝูงชนต้องเป็นมาตรการสุดท้ายเท่านั้น — การยิงกระสุนยางใส่ใบหน้าเป็นการละเมิดร้ายแรง เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2565 กลุ่มราษฎรหยุดAPEC2022 ประกอบด้วย ชาวบ้านจากเครือข่ายภาคประชาสังคม นักศึกษา และประชาชนจำนวนมาก ได้รวมตัวชุมนุมประท้วงโดยสงบเพื่อสะท้อนข้อกังวลต่อผลกระทบจากนโยบาย BCG (Bio-Circular-Green Economy) และเรียกร้องให้รัฐบาลรับฟังเสียงของประชาชน อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชนกลับปิดกั้นเส้นทางและใช้กำลังสลายการชุมนุมโดยไม่มีการแจ้งเตือนล่วงหน้า มีการผลักดัน ทำร้ายร่างกาย และยิงกระสุนยางใส่ฝูงชนอย่างไม่ได้สัดส่วน หนึ่งในกระสุนยางถูกยิงเข้าดวงตาขวาของพายุ บุญโสภณในระยะประชิด ส่งผลให้เขาสูญเสียการมองเห็นถาวร แม้เหตุการณ์จะผ่านมาแล้วกว่า 3 ปี แต่การสอบสวนกลับไร้ความคืบหน้า และยังไม่มีมาตรการเยียวยาที่ชัดเจนต่อผู้เสียหาย แนวปฏิบัติของสหประชาชาติระบุชัดว่า การใช้กำลังต้องเป็นทางเลือกสุดท้าย ต้องสอดคล้องกับหลักความจำเป็นและได้สัดส่วน ห้ามยิงกระสุนยางใส่ศีรษะหรือใบหน้า เจ้าหน้าที่ต้องคำนึงถึงความปลอดภัย และต้องเคารพศักดิ์ศรีและความปลอดภัยของผู้ชุมนุมโดยสงบเป็นอันดับแรก พายุ บุญโสภณ ผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการถูกยิงด้วยกระสุนยาง เปิดเผยว่า ความเจ็บปวดที่สุดไม่ใช่เพียงบาดแผลทางร่างกาย แต่คือการที่ความจริงยังไม่ถูกเปิดเผย เหตุการณ์วันนั้นไม่ได้เป็นเพียงการสลายการชุมนุมประท้วงโดยสงบ แต่คือการทำร้ายศักดิ์ศรีของประชาชนที่ออกมาใช้สิทธิมนุษยชนของตน แต่สิ่งที่เจ็บปวดกว่าคือ ทางการไทยกำลังเลือกหลับตาไม่มองความจริงทั้งสองข้าง “ผมไม่อยากให้กรณีของผมกลายเป็นเพียงเรื่องเล่าโศกนาฏกรรมส่วนบุคคล แต่อยากให้เป็นจุดเริ่มต้นของการยุติวัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิด เพื่อให้คำว่าสิทธิมนุษยชนและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ มีความหมายที่แท้จริงสำหรับทุกคน” พายุย้ำว่าการเดินทางมาในวันนี้ไม่ใช่เพียงเพื่อเรียกร้องสิทธิของตัวเองเท่านั้น แต่เพื่อไม่ให้มีใครต้องสูญเสียชีวิต ร่างกาย หรือเสียศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เพียงเพราะลุกขึ้นมาใช้สิทธิในการชุมนุมประท้วงโดยสงบอีกต่อไป ด้านเพชรรัตน์ ศักดิ์ศิริเวทย์กุล ได้ระบุเพิ่มเติมว่า “ในกรณีของพายุนั้น ได้สะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวเชิงโครงสร้างที่หน่วยงานรัฐทุกระดับต้องเร่งแก้ไขอย่างเป็นระบบ สำนักงานตำรวจแห่งชาติต้องรับผิดรับชอบต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ในสังกัดและการใช้กำลังควบคุมฝูงชนที่เกินความจำเป็น ขณะที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหายมีหน้าที่ตามกฎหมายในการพิจารณาว่าเหตุการณ์นี้เข้าข่ายการกระทำที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีหรือไม่ รวมถึงต้องรับรองสถานะผู้เสียหายและกำหนดมาตรการเยียวยาที่เหมาะสม นอกจากนี้ หน่วยงานที่กำกับดูแลสิทธิในการชุมนุมโดยสงบยังต้องทบทวนมาตรการและแนวทางการควบคุมฝูงชนเพื่อให้การปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่เป็นไปตามหลักการสากลอย่างแท้จริง เพื่อคุ้มครองศักดิ์ศรีและความปลอดภัยของประชาชนที่ใช้สิทธิในการชุมนุมโดยสงบ ไม่ใช่สร้างความเสี่ยงหรือความรุนแรงเพิ่มเติม” ตามหลักสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ รัฐต้องจัดให้มีการเยียวยาที่ครบถ้วน ซึ่งรวมถึงการชดเชย (compensation) การฟื้นฟู (rehabilitation) การคืนสภาพเดิม (restitution) การค้นหาความจริงและยอมรับความรับผิดชอบ (truth-seeking และ satisfaction) และการรับประกันไม่ให้เกิดซ้ำ (guarantees of non-repetition) การเยียวยาเหล่านี้ต้องโปร่งใส ทันเวลา และคำนึงถึงศักดิ์ศรีของผู้เสียหายเป็นหลัก เหตุการณ์นี้ตอกย้ำว่ารัฐไทยต้องดำเนินการปฏิรูปเชิงโครงสร้างอย่างเร่งด่วน ทั้งการแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับการชุมนุมโดยสงบและการใช้กำลังให้สอดคล้องกับพันธกรณีระหว่างประเทศ การกำกับดูแลอาวุธควบคุมฝูงชนทุกประเภทอย่างเข้มงวด การปรับปรุงขั้นตอนปฏิบัติและการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ให้เน้นการลดความตึงเครียด (de-escalation) และการคุ้มครองผู้ชุมนุม การสร้างกลไกตรวจสอบอิสระเพื่อสอบสวนการใช้กำลังที่เกินกว่าเหตุ รวมถึงการกำหนดความรับผิดของผู้สั่งการและผู้ปฏิบัติอย่างชัดเจน ทั้งหมดนี้เป็นการปฏิรูปที่จำเป็นเพื่อยุติวัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิด และป้องกันไม่ให้การละเมิดสิทธิซ้ำรอยเดิมเกิดขึ้นอีก ซึ่งเพชรรัตน์ได้เสริมอีกว่า “คณะกรรมการต่อต้านการทรมานแห่งสหประชาชาติได้แสดงความกังวลและอ้างถึงกรณีพายุโดยตรง พร้อมเสนอให้ไทยปฏิรูปกฎหมายและแนวทางปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ และดำเนินการสอบสวนโดยพลันและเป็นธรรมต่อกรณี พายุ บุญโสภณ รวมทั้งให้มีการเยียวยาผู้เสียหายอย่างรอบด้าน” แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทยเรียกร้องให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเร่งดำเนินการสอบสวนเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2565 อย่างอิสระ โปร่งใส และมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งนำเจ้าหน้าที่ที่ใช้กำลังเกินกว่าเหตุเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม จัดการเยียวยาอย่างเหมาะสมครบถ้วน ทบทวนกฎหมายและแนวปฏิบัติด้านการควบคุมฝูงชน และการชุมนุม และปรับปรุงการฝึกอบรมการใช้กำลังของเจ้าหน้าที่ให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลนอกจากนี้ แอมเนสตี้เรียกร้องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหายออกวินิจฉัยว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเข้าข่ายการกระทำความผิดตาม พรบ.ป้องกันการทรมานฯ หรือไม่ และดำเนินการเอาผิดกับเจ้าหน้าที่หากพบว่ามีการละเมิดเกิดขึ้น รวมถึงการเยียวยาต่อ พายุ บุญโสภณ และผู้ได้รับผลกระทบ จากการชุมนุมราษฎรหยุด APEC 2022 อย่างเหมาะสม นอกจากนั้น แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทยยังเรียกร้องไปยังกระทรวงยุติธรรมดำเนินการตามข้อเสนอของคณะกรรมการต่อต้านการทรมานแห่งสหประชาชาติ และแก้ไขกฎหมายให้คำนิยาม “การทรมาน” สอดคล้องกับมาตรฐานสากล รวมถึงครอบคลุมกรณีการใช้กำลังต่อบุคคลที่ไม่ได้ถูกควบคุมตัวด้วย ดวงดาว เกียรติพิศาลสกุล รองอธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ เปิดเผยว่า กรมฯ ไม่ได้นิ่งนอนใจกับกรณีการใช้ความรุนแรงระหว่างการชุมนุมที่เกิดขึ้นกับ พายุ บุญโสภณ โดยเรื่องดังกล่าวจะถูกนำเข้าสู่การพิจารณาของอนุกรรมการกลั่นกรองข้อเท็จจริง ก่อนเสนอให้คณะกรรมการชุดใหญ่พิจารณาต่อไป พร้อมย้ำว่ากรมฯ มีการอบรมร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การควบคุมฝูงชนเป็นไปอย่างเรียบร้อยและไม่ใช้ความรุนแรง โดยทุกขั้นตอนจะดำเนินการตามระเบียบที่กำหนดไว้ ด้าน นิธิวดี พรหมอาจ หัวหน้ากลุ่มเลขานุการคณะกรรมการและอนุกรรมการ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย ระบุว่า แม้กระทรวงยุติธรรมจะไม่สามารถก้าวล่วงอำนาจศาลได้ แต่ถ้าหากให้กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพติดตามความคืบหน้าของคดี ทางกรมฯ ก็ยินดีที่จะดูแลเรื่องนี้ให้ ทั้งนี้ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพย้ำว่า พร้อมให้การช่วยเหลือในทุกกรณี ไม่ว่าจะเป็นการถูกกระทำจากเจ้าหน้าที่รัฐหรือบุคคลทั่วไป โดยมีทั้งกฎหมายที่ให้การช่วยเหลือด้านการเงิน และมาตรการตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมาน ซึ่งใช้กับกรณีที่เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่รัฐโดยตรง ในปีนี้ พายุ บุญโสภณ เป็นหนึ่งในบุคคลซึ่งแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย คัดเลือกให้เป็นกรณีรณรงค์ภายใต้แคมเปญ “Write For Rights” หรือ  “เขียน เปลี่ยน โลก” เพื่อเชิญชวนให้ประชาชนทั้งในประเทศไทยและทั่วโลกร่วมกันเขียนจดหมายเรียกร้องความยุติธรรมไปถึงผู้มีอำนาจ และผลักดันให้ทางการไทยยุติวัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิดในการสลายการชุมนุมโดยสงบ เยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบอย่างครบถ้วนตามหลักสิทธิมนุษยชน แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทยยืนยันว่าจะเดินหน้ารณรงค์ร่วมกับภาคประชาสังคม เพื่อให้สิทธิมนุษยชนได้รับการเคารพ คุ้มครอง เติมเต็มและเกิดขึ้นจริงในชีวิตของทุกคน * ข่าว * การเมือง * สังคม * สิทธิมนุษยชน * คุณภาพชีวิต * พายุ บุญโสภณ * แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล * ราษฎรหยุด APEC 2022 * การชุมนุม * การสลายการชุมนุม * กระบวนการยุติธรรม
dlvr.it
November 18, 2025 at 6:26 AM
รมว.ยุติธรรม สั่งทบทวนหลักเกณฑ์ส่งรักษาตัวนอกเรือนจำ
รมว.ยุติธรรม สั่งทบทวนหลักเกณฑ์ส่งรักษาตัวนอกเรือนจำ auser15 Tue, 2025-11-18 - 12:52 รมว.ยุติธรรม สั่งทบทวนแก้ไขหลักเกณฑ์ผู้ต้องขังพักโทษ-ส่งรักษาตัวนอกเรือนจำ ของกรมราชทัณฑ์ ตามข้อสังเกต ป.ป.ช. หลังจากเกิดกรณีชั้น 14 จนเป็นเหตุให้ศาลฎีกาสั่ง 'ทักษิณ' กลับไปรับโทษในเรือนจำ ตามคำพิพากษาของศาล 18 พฤศจิกายน 2568 สำนักข่าวไทย รายงานว่า  เมื่อวันที่ 7 พ.ย. ที่ผ่านมา พลตำรวจโท รุทธพล เนาวรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ทำหนังสือบันทึกข้อความ ถึงปลัดกระทรวงยุติธรรม ขอให้พิจารณาทบทวนปรับปรุงกฎ ระเบียบ ประกาศ หลักเกณฑ์ และแนวทาง การส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ การพิจารณาการพักการลงโทษ และการกำหนดอาณาเขตในสถานที่อื่นที่มิใช่เรือนจำให้เป็นสถานที่คุมขัง โดยมีรายละเอียดว่า ด้วยปรากฏว่า คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้มีการ ตั้งคณะกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ และบุคคลที่เกี่ยวข้อง เกี่ยวกับการดำเนินการเพื่อเอื้อประโยชน์ต่อผู้ต้องขัง ซึ่งพบว่ากระบวนการพิจารณาและการตีความระเบียบ หลักเกณฑ์อาจก่อให้เกิดความไม่ชัดเจน ส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของหน่วยงานเพื่อให้การดำเนินการดังกล่าวเป็นไปด้วยความถูกต้อง ชัดเจน รอบคอบ รัดกุม โปร่งใส และเป็นไปตามหลักนิติธรรม จึงขอให้พิจารณาทบทวนปรับปรุงกฎ ระเบียบ ประกาศ หลักเกณฑ์ และแนวทาง ดังนี้ 1. การส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ เช่น การใช้ดุลพินิจของพยาบาลในการ ส่งตัวผู้ต้องขังที่มีอาการเจ็บป่วย ออกไปรักษาตัวนอกเรือนจำ มีความเหมาะสมหรือไม่เพียงใด 2. การพิจารณาการพักการลงโทษกรณีมีเหตุพิเศษ เช่น การใช้ดุลพินิจของพยาบาล ในการประเมินแบบประเมินคัดกรอง ควรเป็นแพทย์ผู้ทำการประเมินหรือไม่ แบบประเมินคัดกรองที่ใช้อยู่ปัจจุบันมีมาตรฐานหรือไม่ ในการพิจารณากรณีไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ หรือช่วยเหลือตัวเองได้น้อยตามประกาศกรมราชทัณฑ์ เรื่องหลักเกณฑ์การคัดเลือกนักโทษเด็ดขาดเข้าโครงการพักการลงโทษกรณีมีเหตุ พิเศษ เนื่องจากเจ็บป่วยร้ายแรง หรือพิการ หรือมีอายุ 70 ปีขึ้นไป ประกาศ ณ วันที่ 29 ตุลาคม 2563 3. การดำเนินการคุมขังสำหรับการคุมขังในสถานที่คุมขัง ให้พิจารณาทบทวนการดำเนินการ เกี่ยวกับระเบียบกรมราชทัณฑ์ ว่าด้วยการดำเนินการสำหรับการคุมขังในสถานที่คุมขัง พ.ศ. 2566 และอนุบัญญัติที่เกี่ยวข้อง โดยต้องจัดทำหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข หรือแนวทางปฏิบัติต่างๆ ในการบริหารเรือนจำ และการบริหารโทษ ตามอำนาจหน้าที่ให้ชัดเจน เพื่อลดโอกาสการใช้ดุลพินิจที่อาจเป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่ผู้ต้องขังบางราย ตามมติคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในการประชุมครั้งที่ 76 / 2568 วันที่ 19 สิงหาคม 2568 4. เรื่องอื่นๆ ที่เห็นควรให้มีการปรับปรุงแก้ไขจึงเรียนมาเพื่อพิจารณาดำเนินการ แล้วรายงานผลการดำเนินการให้ทราบโดยด่วน * ข่าว * การเมือง * สังคม * คุณภาพชีวิต * เกณฑ์ส่งรักษาตัวนอกเรือนจำ * กรมราชทัณฑ์ * กระบวนการยุติธรรม
dlvr.it
November 18, 2025 at 5:55 AM
On This Day - 18 พ.ย. 65 สลายการชุมนุม ‘ราษฎรหยุด APEC 2022’ ประชาชน-สื่อ ได้รับบาดเจ็บ ‘พายุ ดาวดิน’ สูญเสียดวงตาขวา
On This Day - 18 พ.ย. 65 สลายการชุมนุม ‘ราษฎรหยุด APEC 2022’ ประชาชน-สื่อ ได้รับบาดเจ็บ ‘พายุ ดาวดิน’ สูญเสียดวงตาขวา See Think Tue, 2025-11-18 - 12:33 18 พ.ย. 2565 กลุ่มราษฎรและเครือข่ายภาคประชาสังคมได้จัดกิจกรรม ‘ราษฎรหยุด APEC 2022’ บริเวณลานคนเมือง หน้าศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร โดยมีเป้าหมายเคลื่อนขบวนไปยังศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์เพื่อยื่นคัดค้านการรับรองโมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy) เศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว ซึ่งอาจเป็นการเอื้อนายทุนให้เข้ามาใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและที่ดินที่จะถูกแย่งชิงไปจากประชาชนในพื้นที่ ต่อรัฐบาลและผู้นำประเทศที่เข้าร่วมประชุม APEC 2022 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 16–19 พ.ย. 2565  โดยมีข้อเรียกร้อง ดังนี้ * ต้องยกเลิกนโยบาย BCG รวมถึงระเบียบกฎหมายใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับนโยบายนี้ ที่พยายามนำเสนอให้ที่ประชุม APEC รับรอง * ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ไม่มีความชอบธรรมที่จะลงนามข้อตกลงร่วมกับผู้นำกลุ่ม APEC และจะต้องยุติบทบาทในการเป็นประธานการประชุม APEC โดยทันที * ประยุทธ์ต้องยุบสภาและเปิดทางให้มีการเลือกตั้ง พร้อมกับจัดให้มีการร่างรัฐธรรมนูญใหม่โดยประชาชนเพื่อสร้างประชาธิปไตยที่แท้จริง  เมื่อเริ่มเคลื่อนขบวน ผู้ชุมนุมได้ถูกสกัดกั้นโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจเมื่อถึงบริเวณต้นถนนดินสอ ก่อนถึงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย โดยมีการวางกำลังพร้อมรถยนต์ปิดกั้นเส้นทาง ก่อนจะมีการสลายการชุมนุมด้วยความรุนแรง ส่งผลให้มีผู้ชุมนุมถูกจับกุมและสื่อมวลชนได้รับบาดเจ็บหลายราย หนึ่งในกรณีสำคัญ คือ พายุ บุญโสภณ หรือ ‘พายุ ดาวดิน’ ผู้ชุมนุมที่ถูกกระสุนยางของเจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชนยิงใส่ที่ตาขวาอย่างรุนแรง ส่งผลให้มีเลือดออกจำนวนมาก และต้องเข้ารับการผ่าตัดที่โรงพยาบาลตำรวจ แพทย์ระบุว่า ดวงตาข้างขวาของเขาได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง ทั้งลูกตา วุ้นตา เลนส์ตา และจอตา ถูกทำลายจนไม่สามารถรักษาได้ ส่งผลให้พายุต้องสูญเสียดวงตาข้างขวาถาวร นอกจากนี้ สื่อมวลชนที่เข้าไปทำหน้าที่รายงานสถานการณ์ในพื้นที่ชุมนุมก็เผชิญกับการจำกัดเสรีภาพในการปฏิบัติงาน โดยศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมฝูงชนนำโล่ทึบเข้าปิดกั้นแนวกล้องไม่ให้สามารถถ่ายภาพหรือวิดีโอระหว่างการสลายการชุมนุมได้ ได้แก่ ช่างภาพจากสำนักข่าวรอยเตอร์ได้รับบาดเจ็บบริเวณเยื่อบุตาด้านใน, นักข่าวจาก The Isaan Record ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจทำร้ายร่างกายจนหัวแตกและฟกช้ำตามตัว รวมถึงช่างภาพจาก The MATTER และ SPACEBAR ถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชนใช้ไม้ตีบริเวณแขน ขณะกำลังบันทึกภาพเหตุการณ์ ขณะที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยได้เข้ายื่นหนังสือเรียกร้องให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง กรณีสื่อมวลชนบาดเจ็บขณะเกิดการปะทะในเหตุการณ์ครั้งนี้ ระบุว่า มีผู้สื่อข่าวและช่างภาพที่ได้รับบาดเจ็บ 4ราย ได้แก่ ผู้สื่อข่าวจาก The Matter และ ประชาไท, ช่างภาพจาก Top News และ Reuters เหตุการณ์เหล่านี้ สะท้อนการจำกัดสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชน และตั้งคำถามต่อมาตรฐานการใช้กำลังของเจ้าหน้าที่ต่อทั้งผู้ชุมนุมและผู้สื่อข่าวในพื้นที่ที่ควรได้รับการคุ้มครองตามหลักสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพในการรายงานข่าว รายงานของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ระบุ การชุมนุมของราษฎรหยุด APEC 2022 ที่เกิดขึ้นคู่ขนานกับการประชุม APEC 2022 ระหว่างวันที่ 15-19 พ.ย. 2565 มีคดีความเกิดขึ้นจากกิจกรรมชุมนุมทุกวัน ดังนี้ * 15 พ.ย. 2565 - กิจกรรม ‘ไซอิ๋วตะลุยเอเปค’ เดินถือป้ายประท้วงนโยบายจีนเดียวของรัฐบาลจีน ทำให้ ตะวัน-ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ และพวกรวม 12 คน ถูกแจ้งข้อกล่าวหาตาม พ.ร.บ.ชุมนุมฯ ต่อมาศาลแขวงปทุมวันพิพากษายกฟ้องข้อหาดังกล่าว แต่ลงโทษปรับในข้อหาตาม พ.ร.บ.จราจรฯ * 16 พ.ย. 2565 - กลุ่มนักกิจกรรมแต่งชุดหมีพูห์ชูป้ายประท้วงการประชุม APEC 2022 บริเวณหน้าโรงแรมเคมปินสกี้และเกิดเหตุชุลมุนกับเจ้าหน้าที่ ต่อมา ตะวัน-ทานตะวัน ตัวตุลานนท์​ และ สายน้ำ-นภสินธุ์ ตรีรยาภิวัฒน์ เดินทางเข้าไปรับทราบข้อกล่าวหาตามหมายเรียก ในข้อหาต่อสู้ขัดขวาง ทำร้าย และฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงาน * 17 พ.ย. 2565 - การชุมนุม ‘WHAT HAPPENED IN THAILAND’ เดินขบวนจากแยกอโศกไปงาน APEC 2022 เพื่อยื่นจดหมายต่อผู้นำโลกเกี่ยวกับสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศไทย โดยมีผู้ถูกดำเนินคดีจากกิจกรรมนี้รวม 8 คน ใน 4 คดี โดย เก็ท-โสภณ สุรฤทธิ์ธำรง และ ใบปอ-ณัฐนิช ดวงมุสิทธิ์ ถูกดำเนินคดีในข้อหามาตรา 112 จากการอ่านแถลงการณ์ นำสู่การยื่นถอนประกันของทั้งสองคนในวันที่ 9 มกราคม 2565 * 18 พ.ย. 2565 - ผู้ชุมนุมราษฎรหยุด APEC 2022 ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าจับกุมและดำเนินคดีทั้งสิ้น 30 คน ใน 2 คดี ซึ่งเป็นการจับกุมในเหตุพื้นที่ชุมนุมทั้งสิ้น 26 คน ก่อนจะให้พายุไปรักษาตัว ทำให้มีผู้ร่วมชุมนุม 25 คน ถูกฟ้องในข้อหาร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป, ไม่เลิกมั่วสุมตามที่เจ้าพนักงานสั่ง และ พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะฯ * โดย ​​19 ธ.ค. 2567 ศาลแขวงดุสิตนัดฟังพิพากษาในคดีของ 25 นักกิจกรรมและประชาชน (ไม่รวม พายุ บุญโสภณ) ซึ่งถูกฟ้องใน 3 ข้อกล่าวหา โดยให้ 24 คน มีความผิดตามฟ้อง ลงโทษปรับคนละ 2,500 บาท และยกฟ้องจำเลย 1 คน ขณะที่ประชาชนผู้ได้รับความเสียหายจากการสลายการชุมนุม ได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองในข้อหาร่วมกันละเมิดเสรีภาพการชุมนุมและใช้ความรุนแรงต่อประชาชน พร้อมเรียกร้องค่าเสียหายกว่า 12 ล้านบาท นอกจากนี้ ผู้สื่อข่าวจาก Plus Seven และช่างภาพจาก The Matter ได้ยื่นฟ้องจำเลยคือ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ, ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล และผู้บังคับการกองบังคับการอารักขาและควบคุมฝูงชน โดย 26 ก.ย. 2566 ศาลแพ่งพิพากษาให้ศาลพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ หมายเหตุ - ผลงานชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการปริญญานิพนธ์วารสารสนเทศและสื่อใหม่ (็enior Projec่) ของนิสิตภาควิชาวารสารสนเทศ คณะนิเทศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปีการศึกษา 2567 โดยมีผู้จัดทำคือ โยษิตา สินบัว * ข่าว * การเมือง * สิทธิมนุษยชน * on this day บันทึกกาลเมืองไทย * ม็อบราษฎรหยุดAPEC2022 * พายุ ดาวดิน
dlvr.it
November 18, 2025 at 5:46 AM
ศาลบังกลาเทศพิพากษาประหารชีวิตอดีตนายก เหตุสั่งใช้ความรุนแรงสลายการชุมนุมเมื่อปี 2024
ศาลบังกลาเทศพิพากษาประหารชีวิตอดีตนายก เหตุสั่งใช้ความรุนแรงสลายการชุมนุมเมื่อปี 2024 auser15 Tue, 2025-11-18 - 12:12 ศาลพิเศษในบังกลาเทศตัดสินประหารชีวิต 'ชีค ฮาซินา' อดีตนายกรัฐมนตรี หลังชี้ว่ามีส่วนสั่งใช้ความรุนแรงสลายการชุมนุมนักศึกษาเมื่อปี 2024 ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 1,400 คน ขณะอินเดียถูกกดดันให้ส่งตัวเธอกลับประเทศ ชีค ฮาซินา (Sheikh Hasina) อดีตนายกรัฐมนตรีบังกลาเทศ | ภาพจาก: Annaliese McDonough/Commonwealth Sectratariat (CC BY-NC-ND 2.0)  สำนักข่าว Al Jazeera รายงานเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2025 ว่า ศาลพิเศษในบังกลาเทศมีคำพิพากษาประหารชีวิต ชีค ฮาซินา (Sheikh Hasina) อดีตนายกรัฐมนตรีที่กำลังหลบหนี หลังศาลชี้ว่าเธอสั่งปราบปรามการประท้วงของนักศึกษาเมื่อปี 2024 แล้วจนมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก คำตัดสินประกาศในกรุงธากา เมื่อวันจันทร์ (17 พ.ย.) ศาลอาญาระหว่างประเทศ (International Crimes Tribunal) ซึ่งเป็นศาลพิเศษของบังกลาเทศ พิจารณาว่า ฮาซินา อายุ 78 ปี กระทำความผิดฐานอาชญากรรมต่อมนุษยชาติร่วมกับผู้ต้องหาอีก 2 คน สหประชาชาติ (UN) ระบุว่า เหตุการณ์ปราบปรามผู้ชุมนุมในปี 2024 ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากถึง 1,400 คน และบาดเจ็บอีกหลายพันคน รัฐบาลของฮาซินาพยายามควบคุมสถานการณ์เพื่อรักษาอำนาจก่อนถูกรัฐประหารในเดือนสิงหาคม 2024 และหลบหนีไปอินเดีย คำตัดสินถ่ายทอดสดทั่วประเทศ ก่อนการเลือกตั้งครั้งแรกหลังการโค่นล้มรัฐบาล ซึ่งจะจัดขึ้นภายในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ผู้พิพากษา โกลัม มอร์ตูซา โมซุมเดอร์ (Golam Mortuza Mozumder) อ่านคำพิพากษาว่า ฮาซินามีความผิด 3 กระทง คือ ยุยงปลุกปั่น สั่งให้สังหาร และไม่สั่งการเพื่อยับยั้งการละเมิดสิทธิ “ศาลเห็นว่าต้องลงโทษสถานเดียว คือ ประหารชีวิต” อดีตรัฐมนตรีมหาดไทย อาซาดุซซามาน ข่าน (Asaduzzaman Khan) ถูกตัดสินประหารชีวิตเช่นกัน โดยพิจารณาคดีลับหลัง ส่วนอดีตผู้บัญชาการตำรวจ เชาดรี อับดุลลาห์ อัล-มามุน (Chowdhury Abdullah Al-Mamun) ที่รับสารภาพ ได้รับโทษจำคุก 5 ปี บรรยากาศในห้องพิจารณาคดีเต็มไปด้วยครอบครัวผู้เสียชีวิต หลายคนร้องไห้ โห่ร้อง และคุกเข่าขอพรหลังได้ยินคำพิพากษา ถือเป็นคำตัดสินที่รุนแรงที่สุดต่อผู้นำประเทศในประวัติศาสตร์บังกลาเทศ ฮาซินาออกแถลงการณ์โต้ ชี้ “ไม่ยุติธรรม” หลังถูกตัดสิน ฮาซินาออกแถลงการณ์จากที่หลบซ่อน ยืนยันว่าข้อกล่าวหาไม่เป็นธรรม เธอบอกว่า เธอและข่าน “ทำทุกอย่างด้วยความสุจริต” และต้องการลดความสูญเสีย เธอยอมรับว่า “ควบคุมสถานการณ์ไม่อยู่” แต่ปฏิเสธว่าไม่ได้สั่งให้เจ้าหน้าที่สังหารผู้ชุมนุม พร้อมวิจารณ์ศาลว่าเป็น “กระบวนการที่ลำเอียงและมีแรงจูงใจทางการเมือง” ฮาซินาไม่สามารถอุทธรณ์ได้ เว้นแต่จะมอบตัวหรือถูกจับตัวภายใน 30 วัน รัฐบาลเฉพาะกาลที่นำโดย มูฮัมหมัด ยูนุส (Muhammad Yunus) เจ้าของรางวัลโนเบล แถลงว่าคำพิพากษานี้ “เป็นหมุดหมายสำคัญ” แต่ขอให้ประชาชนสงบ และเตือนว่าจะจัดการหากเกิดความวุ่นวาย ก่อนหน้านี้ ตำรวจปะทะกับกลุ่มผู้ประท้วงที่ต้องการให้รื้อซากบ้านของ เชค มูจิบูร์ ราห์มาน (Sheikh Mujibur Rahman) บิดาของฮาซินา ซึ่งถูกทำลายบางส่วนจากเหตุความรุนแรงปีที่แล้ว กองกำลังตำรวจและกองกำลังความมั่นคงถูกส่งประจำการในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ รวมถึงอาคารราชการและศาล อินเดียถูกกดดันให้ส่งตัวฮาซินาคืน กระทรวงการต่างประเทศบังกลาเทศเรียกร้องให้รัฐบาลอินเดียส่งตัว ฮาซินา และข่าน กลับประเทศทันที โดยระบุว่าเป็น “ความรับผิดชอบตามกฎหมาย” อินเดียตอบเพียงว่า “รับทราบคำพิพากษา” และจะหารือเชิงสร้างสรรค์ แต่ไม่ได้พูดถึงการส่งตัวผู้ต้องหา ผู้สื่อข่าวของ Al Jazeera ในกรุงธาการายงานว่า โอกาสที่อินเดียจะส่งตัวฮาซินานั้น “แทบเป็นไปไม่ได้” ซาจีด วาเซด (Sajeed Wazed) บุตรชายของฮาซินา พูดในสื่อว่า อินเดียจะไม่ส่งตัวเธอคืน และจะคุ้มครองความปลอดภัยของเธอ ทำให้เกิดความกังวลว่าอาจเกิดปัญหาทางการทูตเพิ่มขึ้น ศรีราธา ดัตตา (Sreeradha Datta) ศาสตราจารย์ด้านเอเชียใต้จากมหาวิทยาลัย Jindal Global University บอกว่า “อินเดียไม่มีทางส่งตัวเธอ และความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศก็อยู่ในจุดที่อ่อนไหวมานานแล้ว” ด้าน อับบาส ไฟซ (Abbas Faiz) นักวิจัยอิสระด้านเอเชียใต้ ระบุว่า รัฐบาลเฉพาะกาลต้องการแสดงให้ประชาชนเห็นว่ากระบวนการยุติธรรมในยุคนี้ “โปร่งใสกว่าเดิม” ก่อนการเลือกตั้งปีหน้า เขาบอกว่า ครอบครัวเหยื่อจำนวนมากอาจพอใจกับคำพิพากษา แต่หลายคนยังต้องการ “ความยุติธรรมที่สมบูรณ์” และคำตัดสินนี้อาจเปิดทางไปสู่ “กระบวนการปรองดองระดับชาติ” ในอนาคต * ข่าว * ต่างประเทศ * บังกลาเทศ * ชีค ฮาซินา * การสลายการชุมนุม
dlvr.it
November 18, 2025 at 5:19 AM
หนังสือใหม่ ‘ไทเรล ฮาร์เบอร์คอร์น’ วิเคราะห์ความคิดนักโทษการเมือง 2490-ปัจจุบัน
หนังสือใหม่ ‘ไทเรล ฮาร์เบอร์คอร์น’ วิเคราะห์ความคิดนักโทษการเมือง 2490-ปัจจุบัน ทีมข่าวการเมือง  auser15 Tue, 2025-11-18 - 11:33 ไทเรล ฮาร์เบอร์คอร์น ศาสตราจารย์ประจำคณะภาษาและวัฒนธรรมเอเชีย ​มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน เมดิสัน สัมพันธ์กับเมืองไทยมากว่า 30 ปี มีความสามารถในการอ่าน เขียนและพูดภาษาไทยได้คล่องแคล่ว ทำงานวิจัยด้านความรุนแรงของรัฐและการเมืองวัฒนธรรมของผู้เห็นต่างในประเทศไทย ตั้งแต่ช่วงสิ้นสุดระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในปี 2475 จนถึงปัจจุบัน โดยมีบทความและหนังสือเกี่ยวกับ ‘ประวัติศาสตร์ชายขอบ’ มากมายทั้งภาษาไทยและอังกฤษ  ปัจจุบันเธอกำลังซุ่มเขียนงานชิ้นล่าสุดเกี่ยวกับ ประวัติศาสตร์การจองจำและประวัติศาสตร์ความคิดของนักโทษการเมืองไทยตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน ระหว่างเส้นทางดังกล่าว เธอได้รับเชิญมาร่วมบรรยายในชั้นเรียนวิชา ‘ประวัติศาสตร์นิพนธ์’ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินวิโรฒ พลันที่ประกาศให้เป็นการบรรยายสาธารณะ ห้องเรียนก็อุ่นหนาฝาคั่งขึ้นด้วยนักศึกษาทั้งปริญญาตรี โท เอก จากมหาวิทยาลัยอื่นๆ ทั้งในและต่างประเทศ  ไทเรลใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงในการบอกเล่า ‘เส้นทาง’ การทำงานและก่อร่างสร้างชิ้นงานประวัติศาสตร์ชุดใหญ่นี้ โดยกล่าวถึงแรงบันดาลใจว่ามาจากการอ่านจดหมายของ ‘นักโทษ’ อย่างอานนท์ นำภา โดยเมื่อ 2 ปีก่อนมีการเผยแพร่จดหมายจากเขาถึงลูกๆ จึงเริ่มแปลเป็นภาษาอังกฤษเพื่อเผยแพร่ให้กว้างขวางขึ้น “จดหมายเป็นหลักฐานสำคัญทางประวัติศาสตร์ในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยหรือสะท้อนความรุนแรงโดยรัฐ แต่มันมากกว่านั้น เขามีไอเดียต่างๆ ที่วาดภาพสังคมประชาธิปไตย ระหว่างบรรทัดก็อธิบายให้ลูกเข้าใจว่าทำไมต้องห่างกันและทำยังไงจึงไม่ลืมกัน เข้าใจว่านี่เป็นการสื่อสารถึงคนอื่นด้วยว่า การต่อสู้จะยาวพอสมควรและจะรักษาตัวเองกันอย่างไร” ไทเรลเล่า จากนั้นเองเธอจึงเริ่มกลับไปอ่านงานเขียนนักโทษการเมืองในอดีต และมองเห็นประวัติศาสตร์เชิงความคิดและบทสะท้อนตัวตนและสังคมในขณะนั้นอย่างน่าสนใจ   ไทเรลเริ่มต้นด้วยการนิยาม ‘นักโทษการเมือง’ ว่าหมายถึงคนที่เป็นอันตรายต่อรัฐหรือผู้มีอำนาจ เพราะมีความคิดต่าง ดังนั้น จึงต้องเอาไปคุมขังไว้  หากถามว่านักโทษการเมืองอยู่ที่ไหนในประวัติศาสตร์นิพนธ์ไทย คำตอบคืออยู่ในชายขอบของ 3 ส่วน คือ 1) ประวัติศาตร์การเมือง ซึ่งใช้การเขียนของนักโทษการเมืองเป็น ‘แหล่งข้อมูล’ เพื่อพูดเรื่องอื่น 2) ประวัติศาสตร์เชิงความคิดฝ่ายซ้าย เพราะฝ่ายซ้ายจำนวนมากก็เคยติดคุก และหลายกรณีประสบการณ์ในคุกสำคัญมากต่อการพัฒนาความคิดของนักคิดฝ่ายซ้ายด้วย 3) ประวัติศาสตร์แห่งการจองจำ เช่นหนังสือเรื่องรัฐราชทัณฑ์, ทัณฑะกาล  แล้วทำไมเรื่องนี้จึงสำคัญ ทำไมจำเป็นต้องสนใจประวัติศาสตร์ของการจองจำและความคิดของนักโทษการเมือง คำตอบของไทเรลคือ “เพราะประวัติศาสตร์ของนักโทษการเมือง คือประวัติศาตร์ของชาติ” “ประวัติศาสตร์ของคุกสะท้อนถึงภาพแย่ที่สุดที่คนในรัฐจะฝันถึงได้ ดังนั้นเมื่อมีคนที่เข้าไปเพราะคิดต่าง ก็จะทำให้เราเห็นความฝันอันแหลมคมและสำคัญที่สุดที่เกิดขึ้นในตอนนั้นเช่นกัน” ไทเรลกล่าว “สิ่งที่เจอว่ายากคือ แต่ละยุค สิ่งที่สำคัญสำหรับนักโทษการเมืองนั้นไม่เหมือนกัน มันไม่ใช่เส้นตรง ไม่ใช่แม้แต่เส้นกราฟขึ้นลง แต่หารูปแบบได้ยาก ดังนั้นจึงไม่ได้กำลังเสนอว่า ความคิดนักโทษการเมืองตั้งแต่กบฏสันติภาพเป็นเส้นตรงในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เพราะเอาเข้าจริงประวัติศาสตร์ก็ไม่ได้เป็นเส้นตรงอยู่แล้ว” ไทเรลกล่าว  อีกสาเหตุหนึ่งที่ไทเรลเสนอว่าเราควรสนใจเรื่องนี้ เพราะความคิดของนักโทษการเมืองเป็นความคิดที่ปรากฏตัวในสังคมไม่ได้ อะไรที่ก็ตามต้องเงียบ พูดไม่ได้ เป็นสิ่งน่าสนใจโดยตัวมันเอง เพราะสะท้อนถึงการใช้อำนาจของสังคม สะท้อนถึงสิ่งที่น่าตื่นต้น ความสร้างสรรค์ ความกล้า ฯลฯ  แล้วจะย้อนศึกษาไปถึงช่วงไหน ? จะแบ่งช่วงเวลาอย่างไร ?  นั่นก็เป็นโจทย์ยากอีกประการ ไทเรลเล่าว่า ตอนแรกจะเริ่มต้นในช่วงก่อน 2475 แต่เห็นว่ายาวเกินไปและทำให้เรื่องราวไม่ค่อยชัดเจน จึงตัดสินใจหดมาที่จุดตั้งต้น ‘รัฐประหาร 2490’ ซึ่งณัฐพล ใจจริง นักประวัติศาสตร์อีกคนหนึ่งเคยเขียนไว้ว่า การรัฐประหารครั้งนี้เป็นการสิ้นสุด ‘ความหวัง 2475’ หรือพูดง่ายๆ ว่า อีกฝ่ายหนึ่งชนะเบ็ดเสร็จแล้ว  ในส่วนของแหล่งข้อมูลที่ใช้ศึกษาในเรื่องนี้นั้น ศาสตราจารย์ประจำมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน เมดิสัน บอกว่า จริงๆ แล้วมีแหล่งข้อมูลเยอะอย่างไม่น่าเชื่อ ในช่วง ‘กบฏสันติภาพ’ มีงานเขียนของนักโทษ(ทางความคิด) ในคุกตีพิมพ์เป็นจำนวนมาก  “เยอะจนต้องเลือกที่จะไม่เขียนถึงใคร รู้สึกผิดเหมือนกัน แต่ถ้ามันเยอะเกินไป ก็จะเป็นข้อจำกัดในด้านการพิมพ์ด้วย”  มาถึงจุดนี้ ปริศนาก็เป็นอันคลี่คลายด้วยชื่อหนังสือ (เบื้องต้น) ของไทเรล ‘The Carceral Kingdom : Political Prisoners and History in Thailand  หนังสือเล่มนี้จะประกอบไปด้วย 6 บท แต่ละบทมีรายละเอียดดังนี้  บทที่ 1) กบฏสันติภาพ (2495-2500) เริ่มต้นที่กบฏสันติภาพ ซึ่งรัฐเริ่มกวาดจับกุมคนเห็นต่างในเดือนพฤศจิกายน 2495 ไทเรลนิยามว่าเป็น “การจับฝ่ายซ้ายหลายชนิด” ไม่เฉพาะคนเรียกร้องสันติภาพ มีทั้งนักสังคมนิยมคอมมิวนิสต์, นักอนาธิปไตย, ส่วนหนึ่งของขบวนการกู้ชาติ “ตั้งแต่อดีตมา รัฐแยกไม่ได้ แยกไม่ออกว่าคอมมิวนิสต์ต่างจากสังคมนิยมยังไง มี 104 คนที่ถูกจับและดำเนินคดี ซึ่งหลากหลายมาก และความคิดแตกต่างกันมาก  สิ่งที่เป็นประโยชน์มากคือ เอกสารเกี่ยวกับการสืบวนคดีกบฏสันติภาพและคำพิพากษา ที่ถูกเผยแพร่ในหนังสือคู่มือการสอบสวนโดยกรมตำรวจ คำพิพากษายาวมาก มี 54 คนถูกพิพากษาว่าผิดข้อหากบฏ ถูกจำคุกระหว่าง 13-20 ปี แต่ได้ออกในปี 2500 เพราะมีหลายคนในสังคมที่เรียกร้องให้ปล่อย และรัฐบอกตอนนั้นครบรอบ 2500 พุทธกาลจึงปล่อยนักโทษ” ไทเรลรวบยอดความคิดให้ว่า สิ่งที่น่าตื่นเต้นสำหรับช่วงนี้คือ คนที่อยู่ในคุกเรียนรู้และใช้ชีวิตด้วยกัน มีการเขียนบันทึกกันพอควร โดยเธอเลือกงานเขียนของ 2 คนในบทนี้ คือ กุหลาบ สายประดิษฐ์​ และสุพจน์ ด่านตระกูล ในกรณีของสุพจน์เขาใช้เวลาในคุกเขียนการบรรยายจากเพื่อนร่วมคุกเป็นหนังสือชื่อ ‘ปทานานุกรุมการเมือง ฉบับชาวบ้าน’ อธิบายศัพท์การเมือง 42 คำ สุพจน์นับเป็นนักคิดฝ่ายซ้ายที่ไม่ค่อยมีคนเขียนถึง ซึ่งอาจเป็นเพราะเขาใกล้ชิด พคท. แต่ก็ไม่ได้เป็นสมาชิก พคท.และมีแนวคิดเสรีนิยมมากที่สุดคนหนึ่ง ในงานดังกล่าวเขาแทบไม่พูดถึงประเทศไทย เขียนแบบสากลนิยม แต่เมื่ออ่านไปเรื่อยๆ จะเห็นว่า เขากำลังคิดหลักการของสังคมที่ดีกว่า สังคมที่เป็นธรรม ทั้งนี้ สุพจน์อยู่ในคุก 5 ปีออกมาในปี 2500 ก็เขียนงานเกี่ยวกับขบวนการกู้ชาติเผยแพร่ในหนังสือพิมพ์เป็นตอนๆ แล้วถูกจับอีกครั้งเพราะการเขียนดังกล่าว คดีอยู่ในศาลทหาร ต้องเป็นทนายตัวเอง จึงได้เขียนหนังสืออีกเล่ม  บทที่ 2) คดีคอมมิวนิสต์ตอนสงครามเย็นพีคๆ (2501-2514)  ไทเรลระบุว่า ช่วงเวลานี้เข้าถึงข้อมูลยากมาก เพราะเจ้าหน้าที่รัฐยุคนั้นมีสิทธิใช้ พ.ร.บ.คอมมิวนิสต์จับกุมคนซึ่งส่วนใหญ่ส่งไปขังที่ลาดยาว แต่น่าสงสัยว่าจะมีการขังในจังหวัดต่างๆ ด้วย  ยุคนี้คนที่โดดเดนคือ จิต ภูมิศักดิ์ ซึ่งถูกจองจำเช่นกัน แต่เนื่องจากมีคนศึกษางานเขียนเขาจำนวนมากแล้ว ไทเรลจึงไม่เขียนถึง และเลือกเทพ โชตินุชิต  สส.ศรีษะเกษที่มีแนวคิดสังคมนิยม กับ ทองใบ ทองเปาด์ ทนายความชื่อดัง ซึ่งเขียนหนังสือเรื่อง ‘คอมมิวนิสต์ ลาดยาว’ ที่บอกเล่าว่ามีความพยายามสร้าง ‘คอมมูน’ ขึ้นในคุก บทที่ 3) หลังเหตุการณ์สังหารหมู่ 6 ตุลาคม 2519 (2519-2521)  ไทเรลระบุว่า เหตุการณ์นี้นับเป็นการจบลงของประชาธิปไตยเบ่งบาน และเป็นการใช้ความรุนแรงของรัฐอีกรูปแบบ เหตุการณ์ดังกล่าวมีคนถูกจับ 3,000 กว่าคน นอก กทม.ด้วย แต่มี 18 คนที่มีคดีในศาลทหาร และ 1 คนมีคดีในศาลพลเรือน คนอื่นที่ถูกจับปล่อยตัวแต่กลุ่มนี้ไม่ถูกปล่อยตัวและโดนตั้งข้อหาคอมมิวนิสต์-กบฏ-112 อยู่ในคุกจนกระทั่งเดือน ก.ย.2521 จึงมีนิรโทษกรรม ซึ่งเป็นการนิรโทษกรรมเพื่อปกป้องคนทำการสังหารหมู่มากกว่า หนังสือ ’เราคือผุ้บริสุทธิ์’ รวบรวมจดหมายของ 18 คนนี้ซึ่งทุกคนเขียนถึง ‘ความจริง’ และการสัมพันธ์ของความจริง โดยพื้นฐานคือ ประสบการณ์ของตัวเองในวันที่การสังหารหมู่เกิดขึ้น ประสบการณ์ในการช่วยเหลือสังคม 2 ปีก่อนหน้านั้น ดังนั้น อาจกล่าวได้ว่าสิ่งที่แต่ละคนกำลังทำคือ การสร้างวิธีคิดแบบใหม่ รวมถึงวิธีเข้าใจความรู้และความจริง  บทที่ 4) คดีคอมมิวนิสต์สงครามเย็นท้ายๆ (2524-2539)  ไทเรลระบุว่า ช่วงเวลานี้หน่วยงานรัฐขัดแย้งกันเอง การจับคนในช่วงนั้นจึงประหลาด โดยยกกรณี ‘สุนี ไชยรส’ ที่เคยถูกจับข้อหาคอมมิวนิสต์ก่อน 6 ตุลา ตอนนั้นทำงานกับกรรมการผู้หญิง เมื่อถูกปล่อยตัวก็เข้าป่า, ปรีดา เปี่ยมพงศ์สานต์ ถูกจับช่วงท้ายและเป็นเรื่องใหญ่มาก โดนกล่าวหาว่าเป็นปัญญาชนที่นำทางและติดต่อคอมมิวนิสต์ใหญ่ในประเทศอื่น, สุรชัย แซ่ด่าน ซึ่งน่าคิดหลายเรื่อง, ชลธิรา สัตยนุรักษ์ ถูกจับกับสามี ทุกคนกลับเมืองแล้วหลังมีคำสั่ง 66/23 แต่ก็ยังถูกจับ รัฐก็ไม่ชัดว่ากำลังทำอะไร  บทที่ 5) คดีมาตรา 112 ยุคแรก (2550-2562)  ไทเรลระบุว่า เป็นยุคที่มีการใช้ ม.112 จำนวนมาก หลังไม่ได้ใช้มานาน มีหนังสือของภรณ์ทิพย์ มั่นคง เรื่อง ‘มันทำร้ายเราได้แค่นี้แหละ’ ที่ให้ภาพชีวิตประจำวันเป็นพื้นที่ของการต่อสู้ และสร้างภาพสังคมที่ดีกว่า แม้เล่าถึงชีวิตประจำวันในคุก แต่อีกแง่วิจารณ์การใช้อำนาจของรัฐเผด็จการที่ทุกคนเข้าถึงได้แน่นอน เป็นคู่มือสำหรับการรอดชีวิตภายใต้เผด็จการทั้งหลาย  บทที่ 6) คดี มาตรา 112 ยุคปัจจุบัน (2563-วันนี้)  ไทเรลอ้างอิงข้อมูลของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนว่า มีคดีมาตรา 112 จำนวน 284 คดีในยุคนี้ และเลือกใช้เรื่องราวของอัญชัญ-ขนุน-เก็ท ที่มักเขียนจดหมายออกมาเรื่อยๆ ทั้งอานนท์ นำภา และทุกคนที่เขียนจดหมาย สิ่งที่เขากำลังทำ คือ กำลังวาดภาพของสังคมที่อยากเห็น และใช้รูปทรงจดหมายจากคุกเพื่อส่งต่อความคิดให้คนข้างนอกใช้เพื่อสร้างสังคมนั้น นอกจากนี้ไทเรลยังเจาะลึกเรื่องราวใน 2 บท คือ บทที่ 3 ความจริงหลัง 6 ตุลาฯ โดยกล่าวถึง อารมณ์ พงษ์พงัน ผู้นำกรรมกร ทำงานการประปานครหลวง เขาเขียนหนังสือเยอะมากโดยเฉพาะตอนที่อยู่ในคุก สิ่งที่น่าสนใจคือ เขาอึดอัดใจกับข้อกล่าวหาคอมมิวนิสต์ คิดว่าไม่เป็นธรรม และตีความว่าในสังคมไทย รัฐไทยมีแต่ ‘คอมฯ กับไม่คอมฯ’ ไม่มีพื้นที่สำหรับความคิดเพื่อความยุติธรรมแบบอื่น และวิจารณ์การแบ่งขั้วแบบนี้ พร้อมนำเสนอว่าการแบ่งทรัพยากรที่เป็นธรรมเป็นอย่างไร เขียนทฤษฎีบทบาทกรรมกร ใช้ประสบการณ์ชีวิตของตัวเองเป็นฐานเขียนในรูปแบบงานวิชาการเลย แต่น่าเสียดายเขาเสียชีวิต 2 ปีหลังออกจากคุก  บทที่ 4 ปัญญาชนอินทรีย์และทฤษฎีรัฐหลังป่าแตก ไทเรลหยิบยกเรื่องราวของ ‘สุรชัย แซ่ด่าน’ โดยระบุว่า เขานับเป็น ‘ปัญญาชนอินทรีย์’ ตามนิยามของกรัมชี่ เขาเขียนหนังสือ ‘นักโทษประหารคนที่ 310’ และ ‘ผ่าคุก’ เป็นการเล่าชีวิตและทุกสิ่งที่เห็นในคุก ทั้งสองเล่มพบว่าเขาให้เกียรติกับประชาชนอย่างมาก เขียนถึงความสัมพันธ์ระหว่งรัฐกับประชาชนผ่านเลนส์ของ ‘การทรยศ’ และสิ่งที่เขาเจอ เขาให้ประชาชนมีฐานะสูงในงานเขียน โดยเล่าถึงสิ่งที่เกิดในชีวิตของเขาเพื่อให้ผู้อ่านตัดสินใจเองว่าเขาทำถูกหรือทำผิด    * สัมภาษณ์ * การเมือง * ประวัติศาสตร์ * ไทเรล ฮาร์เบอร์คอร์น
dlvr.it
November 18, 2025 at 4:43 AM
มหาวิทยาลัยชั้นนำเกาหลีใต้เตรียมเปิดรับฟังความคิดเห็น หลังเกิดคดีโกงข้อสอบด้วย AI ครั้งใหญ่
มหาวิทยาลัยชั้นนำเกาหลีใต้เตรียมเปิดรับฟังความคิดเห็น หลังเกิดคดีโกงข้อสอบด้วย AI ครั้งใหญ่ auser15 Tue, 2025-11-18 - 10:30 มหาวิทยาลัยยอนเซ ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาชั้นนำจากเกาหลีใต้ เตรียมเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเรื่องจริยธรรมการใช้ปัญญาประดิษฐ์หรือ AI หลังจากที่มีคดีอื้อฉาวเกี่ยวกับนักศึกษาจำนวนมากต้องสงสัยว่าใช้ AI ในการโกงข้อสอบมหาวิทยาลัย ในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำวิธีการให้สถานศึกษาปรับตัวรับมือกับกลโกงยุค AI ภาพจาก: ftoday.co.kr  ช่วงเดือนพฤศจิกายน 2568 สื่อเกาหลีใต้รายงานว่า ก่อนหน้านี้เคยมีรายงานข่าวเรื่องที่นักศึกษาจำนวนหลายร้อยรายของมหาวิทยาลัยยอนเซ มหาวิทยาลัยชั้นนำของเกาหลีใต้ ต้องสงสัยว่าได้ทำการโกงการสอบมิดเทอมโดยอาศัยปัญญาประดิษฐ์หรือเอไอ อย่าง ChatGPT ศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัยยอนเซผู้สอนวิชา "การประมวลผลภาษาธรรมชาติกับ ChatGPT" ในชั้นปีที่สาม ได้เปิดเผยเมื่อไม่นานมานี้ว่า ได้ตรวจพบการโกงข้อสอบของนักศึกษาหลายกรณี และได้ให้คะแนนศูนย์กับนักศึกษาเหล่านั้น ในวิชาดังกล่าวนี้มีนักศึกษาเข้าไปเรียนราว 600 ราย เนื่องจากมีนักศึกษาเข้าเรียนทีเดียวเป็นจำนวนมากทำให้ต้องมีการจัดเรียนการสอนแบบออนไลน์ จนกระทั่งเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม ที่ผ่านมา ก็มีการจัดสอบกลางภาคผ่านช่องทางออนไลน์เช่นกัน โดยเป็นข้อสอบแบบให้ตอบตามตัวเลือก ในการสอบครั้งดังกล่าวนี้มีวิธีการป้องกันการโกงข้อสอบโดยการกำหนดให้นักศึกษาต้องอัดวิดีโอหน้าจอคอมพิวเตอร์ของตัวเอง รวมถึงต้องอัดภาพให้เห็นมือและให้เห็นใบหน้าของพวกเขาตลอดช่วงที่มีการสอบ แต่นักศึกษาบางคนก็ใช้วิธีการปรับมุมกล้องให้มีจุดอับ หรือไม่ก็เปิดวินโดว์บนหน้าจอตัวเองไว้หลายวินโดว์เพื่อกันไม่ให้เห็นการจับภาพบนหน้าจอ เมื่ออาจารย์เห็นวี่แววของการโกงข้อสอบเช่นนี้แล้ว เขาก็โพสต์แจ้งเตือนว่า นักศึกษาคนใดก็ตามที่ยอมสารภาพเรื่องการโกงของตัวเองจะแค่ได้รับคะแนนสอบกลางภาคเป็นศูนย์ แต่จะไม่มีการลงโทษใดๆ ไปมากกว่านี้ มีการประเมินตัวเลขว่าน่าจะมีนักศึกษาถึงครึ่งหนึ่งของชั้นเรียนที่ทำการโกงการสอบในครั้งนี้ โดยมีการตั้งข้อสังเกตว่าน่าจะเป็นการใช้เอไอในการโกงการสอบด้วย มีนักศึกษารายหนึ่งบอกกับสื่อว่า "พวกเราแทบทั้งหมดใช้ ChatGPT ในช่วงสอบ" มีนักศึกษาที่เคยเรียนวิชาเดียวกันในภาคเรียนก่อนหน้านี้เป้ดเผยว่า ตัวเขาเองและเพื่อนร่วมชั้นของเขาจำนวนมากต่างก็หาคำตอบในข้อสอบโดยใช้เอไอ เรื่องนี้สะท้อนปัญหาที่ว่า ถึงแม้ปัญญาประดิษฐ์หรือเอไอจะเริ่มเป็นสิ่งที่แพร่หลายในมหาวิทยาลัยต่างๆ ทั่วเกาหลีใต้ แต่สถาบันการศึกษาส่วนใหญ่ก็ยังคงไม่ได้มีการวางแนวทางการใช้งานหรือมีการตอบสนองใดๆ ต่อการใช้เอไอ เคยมีการสำรวจเมื่อปี 2567 จากสถาบันวิจัยเกาหลีเพื่ออาชีวศึกษา เปิดเผยว่าร้อยละ 91.7 ของกลุ่มตัวอย่างนักศึกษา 726 ราย จาก มหาวิทยาลัย 4-6 แห่ง ได้ใช้เอไอในการทำงานส่งหรือในการวิจัย ขณะที่ผลสำรวจอีกชุดหนึ่งโดยสภาเกาหลีเพื่ออุดมศึกษาพบว่า จากในมหาวิทยาลัย 131 แห่งทั่วประเทศมีอยู่ร้อยละ 71.1 ที่ยังไม่ได้เสนอนโยบายอย่างเป็นทางการใดๆ เกี่ยวกับการกำกับดูแลการใช้เอไอในมหาวิทยาลัย ม.ยอนเซ ประกาศเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็น หลังมีความกังวลเรื่องเอไอโกงข้อสอบ การใช้เอไอเพื่อโกงข้อสอบที่เกิดขึ้นเป็นจำนวนมากนั้น ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับเรื่องที่สถาบันอุดมศึกษาจำนวนมากยังไม่มีข้อกำหนดใดๆ ในการกำกับควบคุมการใช้เอไอ ในเว็บบอร์ด Everytime ซึ่งเป็นเว็บบอร์ดที่นักศึกษาในเกาหลีใต้มักจะใช้พูดคุยหารือกัน ก็มีการถกเถียงกันถึงเรื่องการใช้เอไอในการทำข้อสอบหรือทำการบ้าน ทางมหาวิทยาลัยยอนเซ ได้ประกาศว่า จะจัดให้มีการเปิดรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนแบบฉุกเฉิน โดยมีผู้จัดคือสถาบันนวัตกรรมเอไอและสังคมของทางมหาวิทยาลัยเอง ทั้งนี้เพื่อเป็นการหารือถึงปัญหาในหลายด้านเช่นการเปลี่ยนแปลงวิธีการเรียนการสอนและการสอบไปสู่แบบออนไลน์ การที่เอไอมีพัฒนาการด้านฟังชันการทำงานต่างๆ มากขึ้น การที่ผู้คนเริ่มหันมาใช้เอไอกันมากขึ้น และเรื่องที่ว่าผู้ทำการสอนและการประเมินควรมีการปรับตัวอย่างไรบ้าง ทางมหาวิทยาลัยยอนเซระบุว่าพวกเขาจะเชิญชวนให้ทั้งคณะทำงาน อาจารย์ และนักศึกษา เข้าร่วมในการหารือนี้ รวมถึงบอกว่าปัญหาการโกงข้อสอบที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานนี้น่าจะเป็น "โอกาสในการที่จะได้อภิปรายกันเกี่ยวกับความตระหนักรู้ในด้านจริยธรรมที่ควรจะมีในสถาบันอุดมศึกษาในอนาคต" ถึงแม้ว่าในเกาหลีใต้จะมีสถานศึกษาบางส่วนที่มีแนวทางปฏิบัติสำหรับเรื่องเอไอแล้ว แต่ก็ยังคงเป็นแนวทางปฏิบัติที่กำกวมฟังดูกว้างๆ เช่นบอกให้ "เช็คให้แน่ใจเรื่องความแม่นตรงของข้อมูลเวลามีการใช้เอไอสร้างเนื้อหา" หรือ "ให้ปฏิบัติตามคำสั่งของอาจารย์เกี่ยวกับเรื่องการใช้เอไอ" มหาวิทยาลัยยอนเซเองก็มีแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับเอไออยู่ แต่เจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัยก็บอกว่าพวกเขาทำอะไรไม่ค่อยได้ในเรื่องที่นักศึกษาแอบใช้เอไอแบบ "ฉลาดแกมโกง" ผู้เชี่ยวชาญมองว่าแทนที่จะสั่งแบนเอไอไปเลย ทางมหาวิทยาลัยควรจะพัฒนากรอบการใช้งานที่มีความโปร่งใสและมีการสอนเรื่องความรู้เท่าทันเอไอไปพร้อมๆ กับความคิดแบบมีวิจารณญาณ คิม-มยังจู ประธานสถาบันความปลอดภัยเอไอกล่าวว่า วิธีการที่มีประโยชน์คือการให้นักศึกษาต้องอ้างอิงแหล่งที่มาให้ชัดเจนทุกครั้งและอธิบายเหตุผลให้ได้ว่าทำไมถึงต้องตอบคำถามในเชิงข้อเท็จจริงโดยอาศัยเอไอ ตัวชี้วัดเองก็ควรมีการเปลี่ยนแปลงให้คำนึงถึงการชี้วัดเรื่องอื่นๆ ด้วยนอกเหนือจากแค่คำตอบสุดท้าย นอกจากนี้คิมยังได้เสนอว่า ผู้สอนสามารถปรับรูปแบบการสอบให้เป็นไปในแบบที่ผู้สอบไม่สามารถใช้เอไอช่วยสร้างเนื้อหาได้ เช่นการให้นำเสนอพรีเซนเตชันแบบเป็นรายบุคคล หรือเข้าร่วมในการเสวนาทางวิชาการ เรียบเรียงจาก Mass AI cheating scandal uncovered at Yonsei University, hundreds of students reportedly involved, Korea JoongAng Daily, 09-11-2025 Yonsei University plans public hearing amid AI-linked cheating scandal, The Korea Times, 11-11-2025 Mass cheating scandal at Yonsei ignites calls for clearer AI rules on campus, Korea Herald, 10-11-2025   * ข่าว * การศึกษา * ต่างประเทศ * ไอซีที * เกาหลีใต้ * AI
dlvr.it
November 18, 2025 at 3:35 AM
สภาองค์การนายจ้าง ยื่นหนังสือค้านร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน 3 ฉบับ ของพรรคประชาชน
สภาองค์การนายจ้าง ยื่นหนังสือค้านร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน 3 ฉบับ ของพรรคประชาชน auser15 Tue, 2025-11-18 - 09:52 กมธ.การแรงงาน วุฒิสภา รับหนังสือคัดค้านร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน 3 ฉบับ เสนอโดย 3 สส.พรรคประชาชน จาก 16 สภาองค์การนายจ้าง หวั่นกระทบต้นทุนและการจ้างงานของสถานประกอบการ เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2568 สถานีวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์รัฐสภา รายงานว่า นายวิรัตน์ รักษ์พันธ์ ประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การแรงงาน วุฒิสภา พร้อม พันตำรวจโท สุริยา บาราสัน ประธานคณะอนุ กมธ.ด้านการสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ใน กมธ.การแรงงาน วุฒิสภา และคณะ รับหนังสือคัดค้านร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) คุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่..) พ.ศ. .... จำนวน 3 ฉบับ จาก ดร.เนาวรัตน์ ทรงสวัสดิ์ชัย ประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย (อีคอนไทย) และคณะสภาองค์การนายจ้าง 16 องค์การ เนื่องจากเห็นว่าร่างกฎหมายทั้ง 3 ฉบับ มีข้อกฎหมายที่กระทบต่อสถานประกอบกิจการ โดย ดร.เนาวรัตน์ กล่าวว่า ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน ฉบับแรก เสนอโดย นายจรัส คุ้มไข่น้ำ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) จังหวัดชลบุรี พรรคประชาชน (ปชน.) และคณะ ที่มีสาระสำคัญแก้ไขเพิ่มเติมให้ลดชั่วโมงการทำงานของลูกจ้าง จากเดิมทำงาน 48 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ปรับลดลงเป็น 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เนื่องจากทางผู้ประกอบการส่วนใหญ่ เห็นว่าจะส่งผลกระทบให้เกิดปัญหาต่อต้นทุนแรงงานอย่างแน่นอน และกระทบต่อลูกจ้างด้วย เพราะเมื่อมีชั่วโมงการทำงานที่น้อยลง จะทำให้มีรายได้ลดลง รวมถึงเรื่องการแก้ไขเพิ่มวันหยุดประจำสัปดาห์จาก 1 วัน เป็น 2 วัน และเรื่องการแก้ไขเพิ่มเติมสิทธิการลาพักผ่อนประจำปีของลูกจ้าง จากเดิม 6 วัน เป็น 10 วันต่อปี ทางผู้ประกอบการเห็นว่าจะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลง และสุดท้าย ผู้ประกอบการอาจหันไปใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ทำงานแทนแรงงาน ซึ่งจะทำให้แรงงานต้องตกงานเป็นจำนวนมาก ส่วนร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน ฉบับที่สอง เสนอโดย น.ส.วรรณวิภา ไม้สน สส.บัญชีรายชื่อ ปชน. ที่มีการแก้ไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องการลา เนื่องจากมีประจำเดือน เดือนละ 3 วันโดยไม่นับรวมกับวันลาป่วยประจำปี 30 วันที่มีอยู่แล้ว ทางผู้ประกอบการเห็นว่าเป็นการทำให้ต้นทุนของผู้ประกอบการสูงขึ้น รวมถึงเรื่องมุมนมแม่ ซึ่งโรงงานโดยทั่วไปจะมีไว้รองรับอยู่แล้ว แต่หากกำหนดขนาดห้องและอุปกรณ์ด้วย จะเป็นข้อจำกัดต่อผู้ประกอบการรายเล็กที่ไม่สามารถดำเนินการได้ นอกจากนี้ ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน ฉบับที่สาม เสนอโดย นายเซีย จำปาทอง สส.บัญชีรายชื่อ ปชน. ซึ่งมีการกำหนดการจ้างงานเป็นรายเดือนทั้งหมดนั้น เห็นว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนในการสัญญาจ้างมากเกินไป เพราะแต่ละอุตสาหกรรมมีการใช้แรงงานที่แตกต่างกัน ส่วนเรื่องการจ่ายค่าจ้างขั้นต่ำ ควรให้เป็นไปตามที่กฎหมายแรงงานกำหนดว่าต้องพิจารณาเรื่องเงินเฟ้อ ความสามารถในการจ่าย เศรษฐกิจ และค่าครองชีพ ประกอบกัน รวมถึงการขึ้นค่าแรงให้กับแรงงานฝีมือ ควรให้คณะกรรมการไตรภาคีทั้งจากส่วนกลาง กับคณะกรรมการไตรภาคีระดับจังหวัด ร่วมกันพิจารณา ด้าน ประธาน กมธ.การแรงงาน วุฒิสภา กล่าวภายหลังรับหนังสือ ว่า ตามที่สภาผู้แทนราษฎร ได้รับหลักการร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พร้อมตั้ง กมธ.วิสามัญพิจารณาร่างฯ นั้น ขณะนี้ในส่วนของวุฒิสภา ได้มอบหมายให้ กมธ.การแรงงาน วุฒิสภา พิจารณาศึกษาคู่ขนานกับสภาผู้แทนราษฎร โดยหนังสือที่มายื่นคัดค้านร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน 3 ฉบับดังกล่าว ตนจะส่งให้คณะอนุ กมธ.ด้านการสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ใน กมธ.การแรงงาน วุฒิสภา พิจารณาศึกษาข้อมูลในเบื้องต้น ก่อนนำข้อมูลมาพิจารณาในที่ประชุม กมธ. พร้อมจะเชิญผู้แทน 16 สภาองค์การนายจ้างมาให้ข้อมูลเพิ่มเติมต่อไป  * ข่าว * การเมือง * เศรษฐกิจ * สังคม * แรงงาน * คุณภาพชีวิต * พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน * สภาองค์การนายจ้าง * พรรคประชาชน
dlvr.it
November 18, 2025 at 2:55 AM
ไทยเปิดหลักฐานกัมพูชาวางระเบิดใหม่ละเมิดปฏิญญา เตรียมนำหารือที่ประชุมอนุสัญญาออตตาวา
ไทยเปิดหลักฐานกัมพูชาวางระเบิดใหม่ละเมิดปฏิญญา เตรียมนำหารือที่ประชุมอนุสัญญาออตตาวา auser15 Tue, 2025-11-18 - 09:22 เมื่อวันที่ 17 พ.ย. "รัฐบาล-กองทัพ" แจงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา เปิดหลักฐานทหารกัมพูชาวางระเบิดใหม่ ละเมิดปฏิญญาสันติภาพ ย้ำระงับปฏิบัติตามแผน แต่เดินหน้าเก็บระเบิดเร่งด่วน 13 พื้นที่ - กต.เผย เตรียมนำหารือที่ประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาออตตาวา 1-5 ธ.ค. ที่สวิตเซอร์แลนด์ รวมถึงให้สถานทูต-สถานกงศุลทั่วโลก ชี้แจงข้อเท็จจริงและท่าทีของไทย ภาพจาก: สำนักข่าวไทย เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2568 นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก น.ส.โชติมา เอี่ยมสวัสดิกุล อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ นายนิกรเดช พลางกูรอธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา และการเจรจาการค้าไทยกับต่างประเทศ นายสิริพงศ์ กล่าวว่า ตั้งแต่วันที่ 10 พ.ย.ที่ผ่านมา ที่เกิดเหตุทหารเหยียบกับระเบิดใหม่ หลังลงนามปฏิญญาสันติภาพ และมีข้อมูลหลากหลาย ทั้งจากกระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ล้วนแต่เป็นข้อมูลที่ถูกต้อง แต่ช่วงเวลาที่นำเสนออาจทำให้เกิดความสับสนเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา รวมถึงกรณีการเจรจาการค้าระหว่างไทยกับต่างประเทศ ซึ่งทั้งหมดขอยืนยันว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ต้องการให้การค้าเดินหน้าเป็นไปต่อเนื่องควบคู่กับอธิปไตยของประเทศไทย "หากกลไกทวิภาคีของไทย-กัมพูชา ดำเนินการต่อได้จะทำต่อ แต่หากดำเนินการไม่ได้จะดำเนินการต่อในระดับพหุภาคี ที่จะเป็นกลไก รวมถึงการขับเคลื่อนสแกมเมอร์ ยืนยันว่าเราจะใช้แนวทางสันติวิธี แต่และสงวนสิทธิ์ตอบโต้หากโดนยั่วยุตามความเหมาะสม" นายสิริพงศ์กล่าว พล.ร.ต.สุรสันต์ กล่าวว่า ความชัดเจนเรื่องการปฏิบัติการด้านทุ่นระเบิด นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ ตั้งแต่วันที่ 16 ก.ค. ถึงวันที่ 10 พ.ย.ที่ผ่านมา รวม 7 ครั้ง ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บ 20 ราย ขาขาด 7 ราย ในอาณาเขตของไทย ทำให้มีข้อสงสัยว่าเรามีหน่วยปฏิบัติการกวาดล้างทุ่นระเบิดในพื้นที่มาตลอด แต่ทำไมยังเกิดเหตุการณ์ได้นั้น ต้องชี้แจงว่าจากหลักฐานที่เก็บได้บ่งชี้ว่าเป็นฝ่ายกัมพูชาดำเนินการวางใหม่นั้น เนื่องจากพบตัวทุ่นเป็นระเบิดใหม่ วางบนพื้นที่ขุดใหม่ในลักษณะวางเป็นกลุ่ม มีเป้าหมายถึงชีวิต ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่กัมพูชาทำมาตลอดใน 6 พื้นที่ก่อนหน้านี้ อีกทั้งก่อนหน้านั้นไทยได้รายงานอนุสัญญาออตตาวา โดยย้ำว่าประเทศไทยไม่มีการเก็บสะสมทุ่นระเบิดสังหาร และไม่มีครอบครองเพื่อวิจัยและศึกษา และไม่มีทุ่นระเบิด PMN-2 ตั้งแต่สมัยสงครามในครอบครอง จึงเป็นหลักฐานว่าทุ่นระเบิดที่พบไม่ใช่ของไทย ดังนั้นที่พาดพิงว่าเราไปวางเอง เราได้ยืนยันไปแล้วว่าไม่ใช่และตามอนุสัญญาออตตาวาแม้จะระงับแผนปฎิญญาสันติภาพ แต่ฝ่ายมั่นคง ยังเดินหน้าในการเก็บกู้ระเบิด โดยเหลือพื้นที่ต้องการและตรวจสอบ 12.8 กิโลเมตร 15 อำเภอ 6 จังหวัด บริเวณแนวชายแดน รวม 64 พื้นที่ ซึ่งศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ กองบัญชาการกองทัพไทย มีเป้าหมายจะเก็บให้หมด แต่ยังถูกขัดขวางจากกำลังพลกัมพูชา 16 ครั้ง ที่เข้ามาแทรกแซงและขอให้ไทยยุติการดำเนินการ นอกจากนั้นหลังเหตุปะทะ ไทยตรวจพบทุ่นระเบิดพร้อมเพิ่มที่ภูมะเขือ และปราสาทตาควาย เป็นทุ่นระเบิดสังหารบุคคล 72B เพื่อนำไปวางต่ออีกด้วย “เรามีวิดีโอหลักฐาน จากสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ที่มีการถ่ายจริงไม่ใช่เอไอ ที่มาจากจากกล้องและที่เก็บกู้ได้จากโทรศัพท์มือถือของฝ่ายกัมพูชาที่เก็บได้จากเหตุปะทะในพื้นที่ ซึ่งฝ่ายกัมพูชาเป็นคนถ่ายไว้เอง หลักฐานทั้งหมดมีความชัดเจนว่ากัมพูชาละเมิดปฏิญญาร่วม (Join Declaration) อย่างชัดเจน และเป็นภัยคุกคามต่อการเจรจาโดยสันติวิธี” พล.ร.ตสุรสันต์ กล่าว พล.ร.ต.สุรสันต์ กล่าวว่า สำหรับการดำเนินการต่อไปในอนาคตของฝ่ายไทย ด้านความมั่นคง ต้องระงับการ ปฏิบัติตามที่ได้ตกลงไว้ในปฏิญญาร่วม โดยระงับปฎิบัติตามแผน แต่ยังคงเดินหน้าเรื่องเก็บกู้ทุ่นระเบิดในดินแดนไทย บริเวณแนวชายแดนไทย-กัมพูชา จำนวน 13 พื้นที่ ได้แก่ 1. กองกำลังบูรพา 3 พื้นที่ บ้านหนองหญ้าแก้ว ,บ้านหนองจาน จ.สระแก้ว ,บ้านเนินสมบูรณ์ จ,สระแก้ว 2.กองกำลังสุรนารี 6 พื้นที่ ช่องบก อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี, ช่องอานม้า อ.น้ำยืน ,หมู่บ้านสายทอง 10 ใต้ อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ , ช่องกลาง อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ,ช่องเหว อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ,ปราสาทตาควาย อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ โดยนำร่องการเก็บกู้และกวาดล้างทุนระเบิดใน 5 พื้นที่ และ 3.กองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด 4 พื้นที่ บ้านตระการ จ.ตราด,บ้านของ อ.เมือง จ.ตราด ,บ้านโขดทราย อ.คลองใหญ่ จ.ตราด, หมู่บ้านชำราก อ.เมือง จ.ตราด จาก 16 พื้นที่ ซึ่งเป็นพื้นที่หลักที่เป็นพื้นที่เร่งด่วน ตามที่ได้เสนอในการประชุมจีบีซี วาระพิเศษเมื่อวันที่ 23 ต.ค.ที่ผ่านมา และจะเดินหน้าต่อไปโดยไม่สนฝ่ายกัมพูชา เพื่อให้เกิดความปลอดภัยกับการดำรงชีวิตของประชาชนคนไทยในพื้นที่ ขณะที่การปล่อย 18 เชลยศึก จะดำเนินการเมื่อเห็นว่ากัมพูชาสิ้นสุดความเป็นปรปักษ์และความจริงใจ ทั้งกองทัพไทยยืนยันว่าจะปกป้องอธิปไตยไทย เตรียมนำหารือที่การประชุมอนุสัญญาออตตาวา นายนิกรเดช พลางกูร โฆษกประจำกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่ากระทรวงการต่างประเทศได้ดำเนินการในทันทีและทุกระดับไม่ได้เหลือช่องว่างใดๆ จาก 2 เหตุการณ์ที่ทหารไทยได้รับบาดเจ็บจากการวางทุ่นระเบิดของกัมพูชา กระทรวงการต่างประเทศได้ดำเนินการเรื่องการละเมิดปฏิญญาสันติภาพระหว่างไทย-กัมพูชา นั้น นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ได้ติดต่อไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศกัมพูชา เพื่อทำการประท้วงเบื้องต้นโดยทันทีภายหลังจากเกิดเหตุการณ์และไทยทำหนังสือประท้วงอย่างเป็นทางการไปยังกัมพูชา 2 ฉบับ จากนั้นกระทรวงการต่างประเทศได้ชี้แจง ไปยังนายโดนัล ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาและ นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้มีหนังสือไปยังผู้นำทั้ง 2 ประเทศ ในฐานะที่ ทั้งสองประเทศเป็นสักขีพยานในการทำปฏิญญาสันติภาพระหว่างไทย- กัมพูชา โดยใจความสำคัญของหนังสือคือการย้ำว่าไทยย้ำถึงการเจรจาโดยสันติภาพ เคารพ และปฏิบัติตามปฏิญญาสันติภาพระหว่างไทย-กัมพูชา มาตลอดแต่การละเมิดของกัมพูชาทำให้ไทยต้องสงวนสิทธิ์ที่จะดำเนินการปฏิญญา เพื่อปกป้องอธิปไตยและเสรีภาพดินแดนไทย รวมถึงปกป้องความปลอดภัยของประชาชนไทย จึงจำเป็นต้องระงับการปฏิบัติตาม ปฏิญญาชั่วคราว ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับท่าทีและความจริงใจของกัมพูชา ในการปฏิบัติตามปฏิญญา ไทยจึงจะมีการปฏิบัติตามข้อตกลงต่อ นายนิกรเดช กล่าวอีกว่า ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีได้มีการหารือกับ ประธานาธิบดีสหรัฐฯและนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ใน 3 ประเด็น คือ 1.นายกรัฐมนตรีได้ขอให้มีการแยกเรื่องทวิภาคีระหว่างไทย-กัมพูชา เรื่องของความมั่นคง ออกจากประเด็นการค้าที่เป็นผลประโยชน์ระหว่างไทยและสหรัฐฯ 2.ขอให้นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ช่วยหาแนวทางเพื่อฟื้นฟูครับสันติภาพ ในฐาระประธานอาเซียนโดยคำนึงถึงข้อเสนอของไทยคือให้กัมพูชาขอโทษ รวมถึงให้สอบสวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและแสดงความรับผิดชอบเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นเดิมขึ้นอีกในอนาคต และ 3.โดยผู้นำทั้งสองประเทศ ไอ้แสดงความเข้าใจ ในการนำเสนอของไทย ซึ่งภายหลังจากการหารือ นายกรัฐมนตรีได้มีการ ย้ำถึงท่าทีของไทย เพื่อให้กัมพูชาชากลับมาปฏิบัติตามปฏิญญา โดยเฉพาะการเก็บกู้ทุ่นระเบิด ซึ่งมีหลักฐานชัดเจนว่ากัมพูชา เป็นผู้ดำเนินการและต้องรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ดังนั้นขึ้นอยู่กับกัมพูชาที่จะต้องกำหนด อนาคตของปฏิญญา นอกจากนี้กระทรวงการต่างประเทศได้ทำการประท้วง ตามกรอบอนุสัญญาออตตาวา โดยไทยได้มีการทำหนังสือ อีกทั้งยังได้ทำหนังสือไปยังเลขาธิการสหประชาชาติ เพื่อแจ้งเรื่องการวางระเบิดครั้งใหม่ของกัมพูชา รวมถึงการยั่วยุในพื้นที่หนองหญ้าแก้ว ไทยได้หยิบยกเรื่องการละเมิดอนุสัญญาออตตาวา ไปหารือในการประชุม รัฐภาคีอนุสัญญาออตตาวา ครั้งที่ 22 ระหว่าง วันที่ 1-5 ธันวาคม ที่นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ รวมถึงให้สถานเอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวร สถานทูตฯ สถานกงศุลทั่วโลก ชี้แจงข้อเท็จจริงและท่าทีของไทย ต่อประเทศเจ้าบ้าน รวมถึงภาคส่วนต่างๆ ว่ากัมพูชาละเมิดข้อตกลงต่างๆ รวมถึงมีหนังสือเอกอัครราชทูตฯและองค์กรระหว่างประเทศ และได้บรรยายสรุปให้กับคณะทูตมาแล้ว 6 ครั้ง พร้อมทั้งร่วมมือกับฝ่ายความมั่นคงเพื่อรวบรวมท่าทีเพื่อชี้แจ้งข้อเท็จจริง รวมถึงลงพื้นที่ร่วมกับผู้สังเกตุการณือาเซียนเพื่ตรวจสอบสถานการณ์จริงในพื้นที่ทั้ง 2 เหตุการณ์ ส่วนแนวทางที่จะดำเนินการต่อไปของกระทรวงการต่างประเทศนั้น จะมีการดินหน้าชี้แจงต่อประชาคมโลกและสื่อมวลชน ในทุกมิติและทุกครั้งที่มีโอกาส โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจะมีกำหนดในการเดินทาง ไปประชุมอินโดแปซิฟิค ครั้งที่ 4 กับสหภาพยุโรป โดยก่อนการเดินทางจะมีการพบกับผู้สื่อข่าวต่างประเทศประจำประเทศไทย เพื่อให้ได้รับทราบถึงข้อเท็จจริงต่างๆ อีกทั้งจะดำเนินการในประเด็นที่ไทยให้ความสำคัญและต่อยอดสิ่งทีไทยเสนอต่อการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน และสิ่งที่ไทยเสนอ คือเรื่องออนไลน์สแกรม โดยไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม ระหว่างประเทศว่าด้วยการต่อต้านอาชญากรรมหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต ระหว่างรัฐมนตรีในเดือนธันวาคมนี้ พร้อมกับยืนยันว่ากระทรวงการต่างประเทศจะดำเนินการถูกเชิงรุกในทุกกรอบในทุกเวที อย่างทันท่วงที ที่มาเรียบเรียงจาก เว็บไซต์รัฐบาลไทย | สำนักข่าวไทย [1] [2]    * ข่าว * การเมือง * ความมั่นคง * กรณีพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา * ทุ่นระเบิด * กับระเบิด
dlvr.it
November 18, 2025 at 2:28 AM
AOT ลงพื้นที่ชายแดน อ.กันทรลักษ์ หลังพบการวางทุ่นระเบิดใหม่ในฝั่งไทย
AOT ลงพื้นที่ชายแดน อ.กันทรลักษ์ หลังพบการวางทุ่นระเบิดใหม่ในฝั่งไทย auser15 Tue, 2025-11-18 - 09:02 เมื่อวันที่ 17 พ.ย. คณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (AOT) ลงพื้นที่ลงพื้นที่ฐานปฏิบัติการผาหลวง อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ หลังพบการวางทุ่นระเบิดใหม่ในฝั่งไทย เข้าข่ายละเมิดปฏิญญาสันติภาพไทย-กัมพูชา สวท.ศรีสะเกษ รายงานเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2568 ว่า คณะผู้สังเกตการณ์อาเซียนประจำประเทศไทย (AOT) นำโดย พลจัตวา ซัมซุล ริซาล มูซา ผู้ช่วยทูตทหารมาเลเซีย หัวหน้าคณะ AOT และผู้สังเกตการณ์จาก บรูไน และพิลิปปินส์ ลงพื้นที่ฐานปฏิบัติการผาหลวง อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ เพื่อตรวจสอบเหตุการณ์ความไม่สงบตลอดแนวชายแดนไทย–กัมพูชา หลังเกิดกรณีทหารกัมพูชารุกล้ำเข้ามาวางทุ่นระเบิดในพื้นที่ฝั่งไทย ซึ่งเข้าข่าย “ละเมิดปฏิญญาสันติภาพ” ที่ทั้งสองประเทศลงนามร่วมกัน ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568 พันตรี ผดุงเดช พ่อค้าช้าง รองผู้บังคับกองพันทหารราบที่ 12 รายงานต่อคณะ AOT ว่า ระหว่างการลาดตระเวนในเส้นทางฝั่งประเทศไทย ซึ่งเป็นเส้นทางประจำของชุดปฏิบัติการ กำลังพลได้เหยียบทุ่นระเบิดสังหารบุคคลชนิด PMN-2 แต่ด้วยความโชคดีที่กลไกระเบิดทำงานไม่สมบูรณ์ ทำให้ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ จากการตรวจสอบพื้นที่ พบทุ่นระเบิดรวม 4 ทุ่น • จุดแรก: พบ 3 ทุ่น วางห่างกันประมาณ “หนึ่งก้าว” • ห่างออกไป 50 เมตร: พบเพิ่มอีก 1 ทุ่น ทั้ง 4 ทุ่นเป็นระเบิดใหม่ และมีการวางหลังเหตุการณ์ความขัดแย้ง แต่เป็นการวางหลังการลงนามในปฏิญญาสันติภาพ หรือไม่ ยังไม่สามารถระบุได้ คณะ AOT ให้ความสนใจในประเด็นของรูปแบบ และเจตนาในการหวังผลของการวางวางทุ่นระเบิดของทหารกัมพูชา  ซึ่งพันตรีผดุงเดช ชี้ว่า ลักษณะการวางทุ่นระเบิดเป็น “รูปแบบโจมตีโดยเจตนา” มากกว่าการวางเพื่อป้องกันตัวของฝ่ายกัมพูชา เนื่องจากจุดเกิดเหตุอยู่ในดินแดนไทย และเป็นเส้นทางคู่ขนานในการลาดตระเวนร่วมก่อนเกิดความขัดแย้ง จึงถือเป็นการละเมิดปฏิญญาสันติภาพอย่างชัดเจน โดยทุ่นระเบิดที่เก็บกู้ได้จะถูกส่งตรวจสอบทางเทคนิคในระดับสากล เพื่อตรวจแหล่งที่มาที่แท้จริงต่อไป ด้านพลจัตวา ซัมซุล ริซาล มูซา กล่าวต่อสื่อมวลชนหลังลงพื้นที่ว่า ได้รับทราบสถานการณ์ที่กำลังพลไทยเหยียบทุ่นระเบิดรุ่นใหม่ และถือเป็นความโชคดีที่ระเบิดทำงานไม่เต็มที่ ไม่เกิดความสูญเสีย พร้อมทั้งหยิบทุ่นระเบิดที่พบในพื้นที่ขึ้นแสดงหมายเลขกำกับต่อสื่อมวลชน เป็นเชิงประจักษ์ การลงพื้นที่ครั้งนี้ถูกจับตาในระดับภูมิภาค เนื่องจากเกิดขึ้นในช่วงที่ความตึงเครียดแนวชายแดนเพิ่มสูงขึ้น และถือเป็นการประเมินสถานการณ์ภายใต้กรอบสันติภาพอาเซียน หลังเกิดเหตุละเมิดข้อตกลงอย่างต่อเนื่องของฝ่ายทหารกัมพูชา * ข่าว * การเมือง * ความมั่นคง * กรณีพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา * คณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน * AOT * กันทรลักษ์ * ศรีสะเกษ
dlvr.it
November 18, 2025 at 2:06 AM
ปลดล็อก รย.17–รย.18 หนุน 'ไรเดอร์-ไดรเวอร์' 2 แสนรายเข้าระบบ
ปลดล็อก รย.17–รย.18 หนุน 'ไรเดอร์-ไดรเวอร์' 2 แสนรายเข้าระบบ auser15 Tue, 2025-11-18 - 08:46 กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเคาะ 5 มาตรการ เตรียมปลดล็อก รย.17–รย.18 หนุน ไรเดอร์-ไดรเวอร์ 2 แสนรายเข้าระบบ พร้อมช่วยเหลือสูงสุด 2 หมื่นบาท/ราย เว็บไซต์รัฐบาลไทย รายงานเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2568 ว่า  นายไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานการแถลงข่าวความคืบหน้ามาตรการบรรเทาผลกระทบให้แก่กลุ่มผู้ขับขี่รถรับจ้างผ่านแอปพลิเคชัน พร้อมด้วยนางสาวมัลลิกา จิระพันธุ์วาณิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นายไชยชนก กล่าวว่า ภายหลังการรับหนังสือร้องเรียนจากไรเดอร์ และไดรเวอร์ เรื่อง “ประกาศเรื่องรถรับจ้างผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (รย.17 และ รย.18)” ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้ขับขี่กว่า 200,000 ราย เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2568 ที่ผ่านมา กระทรวงดีอี และกระทรวงคมนาคม โดย ETDA และกรมการขนส่งทางบก(ขบ.) ได้เร่งประสานงาน สถาบันการเงิน และภาคเอกชน เพื่อแก้ไขปัญหาผลกระทบดังกล่าว และกำหนดเป็น 5 มาตรการสำคัญในการช่วยเหลือไรเดอร์และไดรเวอร์ทั่วประเทศ โดยมีกรอบระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่วันที่ 17 พฤศจิกายน 2568 - 28 กุมภาพันธ์ 2569 ดังนี้ 1. ลงทะเบียนผู้ขับขี่สำหรับจดทะเบียนรถรับจ้างสาธารณะผ่านแอปฯ โดย ETDA - เปิดให้ลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ https://driververify.mdes.go.th (ล็อกอินผ่าน Thai ID) ไปจนถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2569 ซึ่งเมื่อข้อมูลได้รับการยืนยันจากแพลตฟอร์ม จะได้รับ “ใบรับแจ้งลงทะเบียน” (QR Code) เพื่อใช้แสดงต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทันที และผู้ขับขี่จะต้องดำเนินการจดทะเบียนเป็นรถสาธารณะและทำใบขับขี่สาธารณะกับกรมการขนส่งทางบกให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2569 2.แก้ปัญหาไฟแนนซ์-ลีสซิ่ง-ประกันภัย  - กรมการขนส่งทางบก อนุญาตให้รถที่ติดไฟแนนซ์สามารถใช้สำเนาใบคู่มือจดทะเบียน ยื่นจดทะเบียนแทนเล่มจริงได้ ไปจนถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2569 - ขอความร่วมมือบริษัทลีสซิ่งทุกราย ลดค่าธรรมเนียมเปลี่ยนสัญญาเช่าซื้อ โดยขณะนี้ ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี (ttb) จะนำร่องเป็นรายแรก จากเดิม 1% ของยอดเงินคงเหลือตลอดสัญญา เหลือ 0.25% ต่อปี  - ให้สามารถใช้ประกันภัยชั้น 3 (ภาคสมัครใจ) ได้ ไม่จำเป็นต้องทำประกันสาธารณะชั้น 1 เพื่อลดค่าใช้จ่าย โดยได้ขอความร่วมมือกับบริษัทลีสซิ่งทุกราย ซึ่ง ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี (ttb)) ให้การตอบรับเป็นรายแรก 3. ปลดล็อกเอกสาร-ขนาดเครื่องยนต์  - แก้ปัญหาภูมิลำเนาของผู้ขับขี่รถยนต์สาธารณะ โดยใช้เอกสารเฉพาะส่วนบุคคล เช่น บัตรนักเรียน-นักศึกษา เอกสารการทำงานในพื้นที่ กทม. ลดปัญหาการหาผู้รับรอง  - พิจารณาขยายขนาดเครื่องยนต์รถจักรยานยนต์สาธารณะ จากเดิม 125 ซีซี โดยจะร่วมหารือการปรับปรุงกฎหมาย ร่วมกับ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) สภาผู้บริโภค เพื่อกำหนดขนาดซีซีที่เหมาะสมต่อไป คาดว่าจะใช้เวลาในการพิจารณาประมาณ 1 เดือน 4. พิจารณาแก้กฎหมายให้นำรถเช่ามาให้บริการสาธารณะผ่านแอปฯได้ กระทรวงดีอีได้หารือร่วมกับกระทรวงคมนาคม เบื้องต้นกระทรวงคมนาคมเห็นชอบในหลักการแก้ไขกฎกระทรวง และอยู่ระหว่างการดำเนินการของกรมการขนส่งทางบก 5. มาตรการมอบเงินสนับสนุนพิเศษ กระทรวงดีอีประสานแพลตฟอร์มผู้ให้บริการมอบเงินสนับสนุนช่วยเหลือผู้ขับขี่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน โดยมี Grab และ LINE MAN ให้การตอบรับและพร้อมสนับสนุนเงินพิเศษ ซึ่งผู้ขับขี่จะได้รับเงินสนับสนุนตั้งแต่ 5,000 – 20,000 บาทต่อคน นอกจากนี้ยังมีแนวทางในการเพิ่มความเข้มงวดในการกำกับดูแลแพลตฟอร์มผู้ให้บริการ หากพบผู้ให้บริการรายใดไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย หรือปล่อยปละละเลยให้รถที่ผิดกฎหมายและไม่ได้จดทะเบียนเป็นรถสาธารณะมาให้บริการ กระทรวงดีอีพร้อมดำเนินการทันที “กระทรวงดีอีให้ความสำคัญต่อการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ซึ่งกลุ่มไรเดอร์ และไดรเวอร์ ถือเป็นฟันเฟืองสำคัญของเศรษฐกิจดิจิทัล โดยเร่งหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อช่วยปลดล็อกผู้ประกอบอาชีพขับขี่รถรับจ้างผ่านแอปฯ ให้สามารถเข้าสู่ระบบได้อย่างถูกต้องและเป็นธรรม ทั้งนี้ต้องขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่ให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่จนได้ข้อสรุปที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรมในระยะเวลาอันสั้น โดยมีเป้าหมายเพื่อการสนับสนุนผู้ให้บริการภาคดิจิทัลให้ได้รับความเป็นธรรม ถูกต้องตามกฎหมาย การควบคุมดูแลแพลตฟอร์มที่โปร่งใส และดูแลประชาชนผู้ใช้บริการให้ได้รับความมั่นคงปลอดภัยต่อไป” นายไชยชนก กล่าว * ข่าว * สังคม * แรงงาน * คุณภาพชีวิต * ไอซีที * แรงงานแพลตฟอร์ม * ไรเดอร์ * แอปพลิเคชันเรียกรถ * แพลตฟอร์มขนส่ง
dlvr.it
November 18, 2025 at 1:52 AM
'แรงงานต่างชาติ' ไม่ใช่ 'ต้นทุนราคาถูก' สำหรับ 'ธุรกิจขนาดเล็กในญี่ปุ่น' อีกต่อไป
'แรงงานต่างชาติ' ไม่ใช่ 'ต้นทุนราคาถูก' สำหรับ 'ธุรกิจขนาดเล็กในญี่ปุ่น' อีกต่อไป auser15 Tue, 2025-11-18 - 08:21 ตลาดแรงงานญี่ปุ่นตึงตัวหนัก อัตราว่างงานต่ำเพียง 2.6% คนญี่ปุ่นไม่อยากทำงานโรงงาน โดยเฉพาะโรงงานขนาดเล็ก ทำให้แรงงานต่างชาติกลายเป็นกำลังสำคัญที่ขาดไม่ได้ แต่ความเชื่อเก่าๆ ว่าจ้างคนต่างชาติเพราะต้นทุนถูกกว่าไม่เป็นความจริงอีกต่อไป ต้นทุนจริงเมื่อรวมค่าฝึกอบรม ค่าเดินทาง ค่าหอพัก และค่าธรรมเนียมต่างๆ กลับเท่ากับหรือแพงกว่าคนญี่ปุ่นเสียอีก แต่บริษัทก็ยังต้องจ้าง เพราะไม่มีทางเลือก แรงงานต่างชาติเปลี่ยนจากแรงงานถูกเป็นกระดูกสันหลังของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรม ญี่ปุ่นไม่มีทางถอยหลังได้แล้ว แรงงานต่างชาติภายใต้โครงการฝึกงานทางเทคนิค มีส่วนสำคัญให้โรงงานขนาดเล็กในญี่ปุ่นดำเนินการต่อไปได้ | ภาพจาก: jobpal.jp โรงงานเล็กๆ แห่งหนึ่งในเมืองโออิซูมิ จังหวัดกุนมะ ช่วงกลางวันต้นเดือนกันยายน 2025 อากาศร้อนจัดถึง 35 องศาเซลเซียส ชายหนุ่มชาวเวียดนามอายุ 24 ปีกำลังตัดชิ้นส่วนพลาสติกอย่างตั้งใจ แม้โรงงานจะไม่มีเครื่องปรับอากาศ แต่เขาก็ยังทำงานอย่างมุ่งมั่น "ผมชอบงานนี้ อยากทำที่นี่ไปนานๆ" เขาบอก ที่ Kusakabe Plastic แห่งนี้มีพนักงาน 15 คน เป็นคนต่างชาติ 5 คน โทชิโอะ คุซากาเบะ ประธานบริษัทอายุ 74 ปี พูดขณะเช็ดเหงื่อว่า "คนญี่ปุ่นไม่ค่อยมาสมัครงานที่บริษัทเล็กๆ แบบเรา เราโชคดีจริงๆ ที่มีแรงงานต่างชาติ" โรงงานแห่งนี้เริ่มจ้างแรงงานต่างชาติมาประมาณ 20 ปีแล้ว แม้จะมีอุปสรรคเรื่องภาษา คุซากาเบะยังประทับใจในจรรยาบรรณการทำงานและความมุ่งมั่นของพวกเขามาก ผู้ฝึกงานชาวต่างชาติหลายคนที่เริ่มต้นผ่านโครงการฝึกงานทางเทคนิค (Technical Intern Training Program) ต่างเลือกที่จะอยู่ทำงานต่อในญี่ปุ่น ด้วยวีซ่าแรงงานทักษะเฉพาะทาง (Specified Skilled Worker) เมื่อ "แรงงานราคาถูก" กลายเป็น "แรงงานราคาแพง" อย่างไรก็ตาม บริษัทบางแห่งเริ่มชะลอการจ้างงาน เพราะค่าจ้างขั้นต่ำรายชั่วโมงปรับขึ้นตั้งแต่เดือนตุลาคม 2025 จาก 1,055 เยนในปี 2024 เป็น 1,121 เยนในปี 2025 เพิ่มขึ้น 66 เยนหรือ 6.3% ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ รัฐบาลยังเร่งเป้าหมายค่าจ้างขั้นต่ำเฉลี่ย 1,500 เยนให้เร็วขึ้น จาก "ภายในกลางทศวรรษ 2030" เป็น "ภายในทศวรรษ 2020" ที่น่าสนใจคือ รายงานจาก OECD เผยว่าต้นทุนการฝึกอบรมและการดูแลแรงงานต่างชาติภายใต้โครงการฝึกงานทางเทคนิคคิดเป็นประมาณ 11-15% ของค่าใช้จ่ายบุคลากรทั้งหมด หมายความว่าต้นทุนการจ้างแรงงานต่างชาติสูงกว่าการจ้างคนญี่ปุ่นในตำแหน่งพนักงานไม่ประจำโดยเฉลี่ย 4% แล้ว เจ้าของธุรกิจแห่งหนึ่งในโออิซูมิหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมาแสดงให้ดู "ลองดูนี่สิ" เขาชี้รายการค่าใช้จ่ายในการจ้างผู้ฝึกงานเทคนิค 1 คน นอกจากค่าจ้างแล้ว ยังมีค่าฝึกอบรมก่อนเข้าประเทศ 100,000 เยน ค่าเดินทางมาญี่ปุ่น 50,000 เยน และค่าธรรมเนียมรายเดือนให้องค์กรตัวกลาง 25,000 เยน บริษัทจ่ายค่าจ้างผู้ฝึกงานใกล้เคียงกับค่าจ้างขั้นต่ำ แต่เมื่อรวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดแล้ว ต้นทุนแรงงานจริงคิดเป็นอัตราชั่วโมงละ 1,500 ถึง 1,800 เยน บริษัทอีกแห่งที่สร้างหอพักไว้ให้บอกว่า "เมื่อคำนวณเป็นอัตราชั่วโมงแล้ว สูงเกิน 1,800 เยน" ไม่มีทางเลือกนอกจากแรงงานต่างชาติ คุซากาเบะ ประธานบริษัท Kusakabe Plastic กล่าวว่า "มีพรรคการเมืองบางพรรคพยายามผลักดันแนวคิด 'ญี่ปุ่นต้องมาก่อน' แต่ผมไม่ค่อยเข้าใจว่าหมายความว่าไง สิ่งที่ผมรู้ก็คือ ถ้าไม่มีแรงงานต่างชาติ ธุรกิจเราก็ไม่มีทางอยู่ได้ นี่ไม่ใช่แค่บริษัทเล็กอย่างเราเท่านั้น บริษัทใหญ่ก็เหมือนกัน เราไม่มีทางถอยหลังได้แล้ว" เมืองโออิซูมิเป็นที่ตั้งของโรงงานใหญ่ของ Subaru และ Panasonic ล้อมรอบไปด้วยผู้รับเหมาช่วงขนาดเล็กนับร้อยแห่ง แรงงานต่างชาติคือส่วนสำคัญที่ทำให้โรงงานเหล่านี้ดำเนินการได้ ตัวเลขสิ้นปี 2024 แสดงว่าโออิซูมิมีประชากร 41,653 คน มีชาวต่างชาติถึง 8,871 คน คิดเป็น 21.3% ของประชากรทั้งหมด ตัวแทนจากหอการค้าและอุตสาหกรรมโออิซูมิเน้นย้ำว่า "แรงงานต่างชาติมีค่ามาก ไม่ใช่แค่สำหรับผู้รับเหมาช่วง แต่บริษัทใหญ่ก็ต้องการเหมือนกัน ถ้าไม่มีพวกเขา ธุรกิจจะเสี่ยงหยุดชะงัก" ตลาดแรงงานที่ยังตึงตัว สถานการณ์แรงงานของญี่ปุ่นยังคงตึงตัว อัตราการว่างงานในเดือนกันยายน 2025 อยู่ที่ระดับ 2.6% อัตราส่วนการมีงานว่างอยู่ที่ 1.20 หมายความว่ามีตำแหน่งงานว่าง 120 ตำแหน่งต่อผู้หางาน 100 คน จำนวนแรงงานหญิงทั้งหมดอยู่ที่ 31.53 ล้านคน สูงที่สุดนับตั้งแต่เริ่มมีข้อมูลเปรียบเทียบได้ในปี 1953 ปัญหาค่าจ้างจริงที่ปรับด้วยเงินเฟ้อยังคงเป็นความท้าทาย จากไตรมาส 1 ปี 2021 ถึงไตรมาส 1 ปี 2025 ค่าจ้างจริงลดลงสะสม 2% แม้จะเริ่มทรงตัวในช่วงหลัง ขณะที่อัตราเงินเฟ้อในเดือนพฤษภาคม 2025 ยังอยู่ที่ 3.5% สูงเป็นอันดับ 2 ในกลุ่ม G7 รองจากสหราชอาณาจักร ความตึงตัวในตลาดแรงงาน ซึ่งเป็นอาการแสดงของปัญหาการลดลงของประชากร เป็นสัญญาณบวกว่าแนวโน้มค่าจ้างที่เพิ่มขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้จะดำเนินต่อไป นักเศรษฐศาสตร์ระบุไว้เช่นนั้น   ที่มา: A Fresh Take on Japan’s Labor Immigration Policy: OECD Report Offers Partial Defense of TITP (Korekawa Yu, Nippon.com, 28 January 2025)  Japan's Sept. jobless rate unchanged at 2.6% as labor market remains tight (KYODO NEWS, 31 October 2025)  Foreign interns supporting small factories in Japan no longer just 'cheap labor' (Mainichi Japan, 4 November 2025)  * รายงานพิเศษ * แรงงาน * ต่างประเทศ * แรงงานข้ามชาติ * ญี่ปุ่น
dlvr.it
November 18, 2025 at 1:29 AM
ศาลฎีกาสั่ง ‘ทักษิณ’ จ่ายภาษี 1.76 หมื่นล้านบาท กรณีขายหุ้นชินคอร์ป
ศาลฎีกาสั่ง ‘ทักษิณ’ จ่ายภาษี 1.76 หมื่นล้านบาท กรณีขายหุ้นชินคอร์ป admin666 Mon, 2025-11-17 - 19:35 ศาลฎีกาพิพากษากลับให้ 'ทักษิณ' ต้องจ่ายภาษีจากการขายหุ้นชินคอร์ปจำนวน 1.76 หมื่นล้านบาทให้กรมสรรพากร  17 พ.ย.2568 สำนักข่าวหลายแห่งรายงานตรงกันว่าศาลฎีกามีคำพิพากษากลับในคดีภาษีของทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ในฐานะโจทก์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการที่กรมสรรพากรเรียกเก็บภาษีจากการขายหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จำนวน 1.76 หมื่นล้านบาท โดยหลังจากนี้จะต้องมีการบังคับคดี อาจต้องขอให้ออกหมายบังคับคดีเสียก่อน โดยอาจใช้เวลา ราว 1-2 เดือนถึงจะออกหมายบังคับคดีได้ สำหรับคดีภาษีของทักษิณเกี่ยวข้องกับการเรียกเก็บภาษีจากการขายหุ้นบริษัท ชินคอร์ปฯ นั้น ก่อนหน้านี้ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษได้มีคำพิพากษาเมื่อปี 2566 ให้เพิกถอนการประเมินภาษีของกรมสรรพากร โดยให้เหตุผลว่าการดำเนินการไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งทักษิณได้ชนะคดีทั้งชั้นต้นและอุทธรณ์ ต่อมากรมสรรพากรได้ยื่นฎีกาต่อศาลฎีกา กระทั่งเมื่อวันที่ 17 พ.ย. 2568 ศาลฎีกามีคำพิพากษากลับโดยให้บังคับคดีเรียกเก็บภาษีจากการขายหุ้นชินคอร์ป ในรายงานมีการระบุถึง คดีดังกล่าวว่าเป็นคดีที่กรมสรรพากรเรียกเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 1.76 หมื่นล้านบาท จากทักษิณ จากการขายหุ้นบริษัท ชินคอร์ปฯ โดยกรมสรรพากรได้แจ้งประเมินภาษีเมื่อปี 2560 แต่ศาลภาษีอากรกลางมีคำพิพากษาให้ทักษิณชนะคดี และให้เพิกถอนการประเมินภาษีดังกล่าว โดยให้เหตุผลว่าการดำเนินการของกรมสรรพากรไม่ชอบด้วยกฎหมาย และต่อมามีคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ โดยพิพากษายืนตามศาลภาษีอากรกลาง กระทั่งกรมสรรพากรยื่นฎีกาต่อศาลฎีกา กระทั่งศาลฎีกามีคำพิพากษากลับให้เรียกเก็บภาษีดังกล่าวกับทักษิณ * ข่าว * การเมือง * บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด * ทักษิณ ชินวัตร * กรมสรรพากร * ศาลฎีกา
dlvr.it
November 17, 2025 at 1:04 PM
ศาลอุทธรณ์จำคุก ‘นรินทร์’ 10 วัน แต่รอลงโทษ 1 ปี ฐานละเมิดศาล เหตุถือป้าย ‘พระราชทาน’ ในศาล
ศาลอุทธรณ์จำคุก ‘นรินทร์’ 10 วัน แต่รอลงโทษ 1 ปี ฐานละเมิดศาล เหตุถือป้าย ‘พระราชทาน’ ในศาล ภาพ แมวส้ม admin666 Mon, 2025-11-17 - 17:59 ศาลอุทธรณ์พิพากษาตามศาลชั้นต้นจำคุก ‘นรินทร์’ 10 วันแต่ให้รอลงโทษ 1 ปี และปรับ 200 บาท เหตุสวมชุดซานต้าฯ ถือป้าย “พระราชทาน” ในบริเวณศาลถือเป็นการกระทำไม่เรียบร้อยกระทบความน่าเชื่อถือของกระบวนการยุติธรรม 17 พ.ย.2568 ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนรายงานว่า ศาลอาญากรุงเทพใต้นัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดีละเมิดอำนาจศาลของ “นรินทร์” นักกิจกรรมทางการเมือง จากกรณีที่เขาแต่งชุดซานคตาคลอสชูป้าย #พระราชทาน ในการไปให้กำลังใจ ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ และเนติพร เสน่ห์สังคม ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้เมื่อ 25 ธ.ค.2566  ศูนย์ทนายความฯ ระบว่าศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นจำคุก 10 วัน ปรับ 200 บาท โดยให้รอการลงโทษจำคุกไว้ 1 ปี  ศาลอุทธรณ์ให้เหตุผลว่า ศาลออกข้อกำหนดตามประมวลวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 30 ออกข้อกำหนดเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในบริเวณศาล และศาลได้ออกข้อกำหนดห้ามไม่ให้ทำการใดๆ ให้เกิดการเผยแพร่ภาพและเสียงเว้นแต่ได้รับอนุญาตจากอธิบดีศาล เพื่อไม่ให้การดำเนินคดีถูกรบกวน  ศาลอุทธรณ์เห็นว่า แม้นรินทร์จะไม่ได้กระทำการดังกล่าวต่อหน้าศาลและมีเพียงภาพบันทึกเหตุการณ์เป็นบุคคลสวมหน้ากากใส่ชุดซานต้าฯ และถือป้ายมีคำว่า “พระราชทาน” จากหน้าต่าง แต่การกระทำละเมิดอำนาจศาลไม่จำเป็นต้องกระทำต่อหน้าศาลหรือขณะพิจารณา หากการกระทำใดส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของศาลเกิดขึ้้นในศาลหรือภายในบริเวณศาลถือว่าการกระทำนั้นกระทบต่อความสงบเรียบร้อยในศาล และแม้ไม่ได้การเผยแพร่ภาพและเสียงเองหรือมีส่วนร่วมในการเผยแพร่ก็ถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่เรียบร้อย กระทบต่อความน่าเชื่อถือของกระบวนการยุติธรรม * ข่าว * สิทธิมนุษยชน * ละเมิดอำนาจศาล * นรินทร์ * ศาลอาญากรุงเทพใต้ * ศาลอุทธรณ์
dlvr.it
November 17, 2025 at 11:13 AM
112WATCH คุย 'พลอย-Iryne' ผู้ลี้ภัยม.112 อายุน้อยสุด การเติบโตในบ้านที่ไม่คุ้นเคย
112WATCH คุย 'พลอย-Iryne' ผู้ลี้ภัยม.112 อายุน้อยสุด การเติบโตในบ้านที่ไม่คุ้นเคย 112WATCH สัมภาษณ์ admin666 Mon, 2025-11-17 - 15:06 112WATCH สัมภาษณ์ Iryne Lené หรือชื่อเดิมคือ พลอย–เบญจมาภรณ์ นิวาส เยาวชนนักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยที่ต้องกลายเป็นผู้ลี้ภัยทางการเมืองที่อายุน้อยที่สุดจากการถูกดำเนินคดีด้วยมาตรา 112 จำนวน 2 คดีเพราะแชร์โพสต์เกี่ยวกับงบสถาบันพระมหากษัตริย์และการทำโพลล์สำรวจความคิดเห็นต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และจากการถูกคุกคามโดยเจ้าหน้าที่รัฐเพราะการร่วมกิจกรรมกับกลุ่ม "ทะลุวัง" กว่าจะได้สถานะถาวรในแคนาดาก็ผ่านการปรับตัวเติบโตด้วยตัวคนเดียว เรื่องที่เกี่ยวข้อง * ชีวิตของ ‘พลอย’ ผู้ลี้ภัยอายุน้อยที่สุด 112WATCH : คุณเคยออกมาเปิดเผยเรื่องความขัดแย้งภายในและการถูกแสวงหาประโยชน์จากความเป็นเยาวชนในขบวนการเคลื่อนไหว คุณคิดว่าขบวนการประชาธิปไตยในภาพรวมควรมีกลไกที่เป็นรูปธรรมอย่างไรในการ คุ้มครองและดูแลสิทธิทางจิตใจ รวมถึงความปลอดภัยของเยาวชนที่เสี่ยงต่อคดีร้ายแรง เช่น ม.112 เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดบาดแผลซ้ำซ้อน? พลอย : กระบวนการประชาธิปไตยในภาพรวมควรมีกลไกที่ให้ความสำคัญ คำนึงถึงการออกมาทำกิจกรรมของเด็กและเยาวชน สมัยที่เรายังทำการเคลื่อนไหวในฐานะนักกิจกรรมเยาวชนของประเทศไทย เรามองเห็นว่าเยาวชนถูกทำให้เหมือนเป็นตัวอะไรก็ไม่รู้ในขบวนการเคลื่อนไหว ผู้ใหญ่ในขบวนไม่เคยแคร์หรือคำนึงถึงความปลอดภัยของเด็กจริง ๆ ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้วเด็ก ๆ ต้องออกไปเผชิญหน้ากับความเสี่ยงและความท้าทายหลายอย่างมาก เช่น การโดนคดี การมีปัญหากับครอบครัว ถูกคุกคามโดยเจ้าหน้าที่รัฐ ผู้คนบนโลกออนไลน์ รวมไปถึงการล่วงละเมิดจากคนในขบวนการเคลื่อนไหวเดียวกัน ร้ายแรงสุดคือมีเยาวชนเสียชีวิตในที่ชุมนุมจากการสลายการชุมนุมของรัฐ แน่นอนเราออกมาเรียกร้องให้รัฐบาล ตำรวจ ทหาร ผู้ที่เกี่ยวข้องยุติการดำเนินคดีกับเด็กและหยุดคุกคามประชาชน ทว่าอีกอย่างที่พวกเราทำได้ในฐานะของคนที่เป็นผู้ใหญ่คือการวางขอบเขตการทำกิจกรรมทางการเมืองที่ชัดเจนสำหรับเด็กและเยาวชน ไม่ส่งเด็กออกไปปะทะหรือเผชิญหน้ากับความรุนแรงโดยตรง มีกิจกรรมที่ “Child friendly” สร้างพื้นที่ปลอดภัยสำหรับเยาวชนมากขึ้น มีกระบวนการการดูแลรักษาบาดแผลทางจิตใจโดยผู้เชี่ยวชาญ และร่วมการจับตามอง ไม่ปล่อยผ่านผู้ที่สร้างความรุนแรงกับเด็กหรือเยาวชน คุณตัดสินใจลี้ภัยหลังจากเผชิญกับการคุกคามที่รุนแรงขึ้น เช่น จดหมายข่มขู่จากชื่อปลอม และการโทรศัพท์ อ้างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐพร้อมใช้ภาพโปรไฟล์คล้ายทหาร การคุกคามในรูปแบบ "จิตวิทยา" เช่นนี้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตและความมั่นคงในชีวิตประจำวันอย่างไร และคุณอยากเตือนให้ผู้ลี้ภัยคนอื่น ๆ เฝ้าระวังกลวิธีใดเป็นพิเศษ? การคุกคามของรัฐในรูปแบบจิตวิทยาเกิดขึ้นกับเราตอนที่ยังเป็นเยาวชนที่ต้องโดนติดตามจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดนคดี และมีปัญหากับที่ครอบครัว ทำให้สุขภาพจิตในตอนนั้นย่ำแย่ถึงที่สุด เราไม่สามารถใช้ชีวิตประจำวันแบบปกติได้อย่างปลอดภัย เช่น ออกไปใช้ชีวิตข้างนอกโดยไม่กังวลว่าจะถูกจับกุมหรือถูกติดตาม ไม่มีเงินซื้ออาหารหรือสิ่งของจำเป็นเพราะเราต้องประหยัดมากเนื่องจากถูกตัดขาดจากครอบครัว เรามีปัญหากับครอบครัวอยู่แล้ว การที่เจ้าหน้าที่รัฐโทรศัพท์และส่งจดหมายหาครอบครัวเราทำให้เรามีปัญหากับครอบครัวมากขึ้น ลึก ๆ แล้วมันสร้างความหวาดกลัวและความรู้สึกไร้หนหางไปต่อในชีวิตของเรา เราอยากเตือนให้ผู้ลี้ภัยคนอื่นระมัดระวังตัว "Low profile" ก่อนที่จะลี้ภัยเพราะเจ้าหน้าที่รัฐติดตามจับตาดูเราอยู่เสมอตราบใดที่เรายังอยู่ในประเทศหรือประเทศเพื่อนบ้าน ดูแลสุขภาพจิตใจของตัวเองให้ดีที่สุด การคุกคามในรูปแบบจิตวิทยาของรัฐต้องการให้เราล้มเลิก สยบยอม และใช้ชีวิตอยู่ด้วยความหวาดกลัว การใช้ชีวิตอย่างมีความหวังและดูแลสุขภาพจิตของตัวเองให้เข้มแข็งเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด แม้จะได้รับสถานะผู้ลี้ภัยถาวรในแคนาดา คุณกล่าวว่ายังไม่รู้สึกว่าที่นี่คือบ้าน และคุณต้องทำงานพาร์ทไทม์เพื่อผ่อนชำระหนี้คืนรัฐบาลแคนาดา อะไรคือ ต้นทุนทางความรู้สึกและภาระทางการเงิน ที่คุณต้องแบกรับในฐานะผู้ลี้ภัยทางการเมืองที่อายุน้อยที่สุด และคุณวางแผนจะใช้ประสบการณ์นี้เปลี่ยนบทบาทไปเป็นผู้สนับสนุนผู้ลี้ภัยรุ่นใหม่ในอนาคตได้อย่างไร? เรายังไม่รู้สึกว่าที่นี่คือบ้านเพราะเราไม่ได้เกิดและโตที่นี่ เราไม่ได้มาที่นี่ในสมัยยังเด็กเหมือนคนอื่น ๆ ทำให้หลาย ๆ ครั้งเรายังรู้สึกว่าที่นี่ไม่ใช่ที่ของเรา แต่หากไม่ใช่ที่นี่ก็ไม่มีที่ไหนแล้วที่เราสามารถกลับไปได้ ทำให้เราต้องปรับตัวให้เข้ากับบ้านหลังใหม่นี้มากขึ้น เราต้องแบกรับต้นทุนทางความรู้สึกและภาระทางการเงินมากกว่าเด็กคนอื่นที่มาที่นี่แบบปกติ แบบที่มาเรียน มีครอบครัวซัพพอร์ตให้มา เราต้องฝึกภาษาอังกฤษเพราะที่ไทยเราไม่มีโอกาสได้เรียนในสถาบันกวดวิชาดี ๆ มีคุณภาพ เราไม่มีเงินติดตัวสักบาท ทำให้เราต้องทำงานเพื่อเก็บเงินใหม่ทั้งหมดและยังต้องชำระหนี้ค่าตั๋วเครื่องบินที่รัฐบาลออกให้ก่อน การเติบโตของเราด้วยตัวเองคนเดียวในวัยไม่ถึงยี่สิบนับว่าลำบากมากทีเดียว ยังโชคดีที่มีผู้ใหญ่มากมายคอยช่วยเหลือเราที่นี่ ทำให้เราสามารถพยุงตัวเองขึ้นมาได้และค่อย ๆ เติบโตต่อไปทีละเล็กทีละน้อย เรารู้สึกว่าผู้ลี้ภัยรุ่นใหม่ที่มาหลังเรา หรือเพิ่งมาที่แคนาดาเก่งกว่าเราเยอะ อย่างน้อยเขาก็มีประสบการณ์ในชีวิตมากกว่าเรา มีต้นทุนมากกว่าเราประมาณนึง ประเทศแคนาดาดูแลผู้ลี้ภัยดีมากอยู่แล้ว การที่พวกเขามาที่แคนาดาได้ ก็เท่ากับว่าพวกเขามีชีวิตรอดปลอดภัยและไม่ต้องกังวลอะไรแล้ว เราเพียงให้คำแนะนำเบื้องต้นในการปรับตัวอยู่ที่แคนาดา ให้คำปรึกษาในเรื่องต่าง ๆ สำหรับเราในตอนนี้เรามองว่ามันเล็กน้อยมาก แต่ว่าในอนาคตเราจะมีต้นทุนที่จะช่วยเหลือผู้ลี้ภัยรุ่นใหม่ในอนาคตมากขึ้นแน่นอน ทั้งในประเทศแคนาดาและผู้ที่ยังติดอยู่ประเทศที่สอง คุณเริ่มต้นจากการต่อสู้กับปัญหาอำนาจนิยมในสถาบันการศึกษาภายใต้องค์กร "นักเรียนเลว" การเดินทางทางความคิดของคุณจากสิทธิเรื่องทรงผมและกฎระเบียบในโรงเรียน มาสู่การเรียกร้องการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ภายใต้ "ทะลุวัง" มี จุดเชื่อมโยงทางโครงสร้างอำนาจ อย่างไรในมุมมองของคุณ?  ในตอนที่ทำนักเรียนเลว ตอนนั้นเรายังเป็นนักเรียนอยู่ เราจึงเริ่มต้นจากการทำประเด็นที่ใกล้ตัวมากที่สุดอย่างประเด็นระบบการศึกษา อำนาจนิยมในโรงเรียนกับอำนาจของสถาบันกษัตริย์มีจุดเชื่อมโยงกันคือ การศึกษาไทยเป็นเหมือน “Foundation” พื้นฐานในการฝึกเด็กให้เชื่องเพื่อเติบโตไปเป็นทาสในระบบ เด็กถูกฝึกให้เชื่องภายใต้กฎทรงผมและกฎระเบียบของโรงเรียน อย่างเช่น การตัดผมทรงเดียวกัน ความยาวเท่ากัน ผู้ชายตัดผมเหมือนทหารฝึกหัด ต้องเข้าแถวเคารพธงชาติหน้าเสาธงเพื่อปลูกฝังความชาตินิยม หมอบกราบหมอบคลานเข้าหาคุณครูเพื่อจะได้คุ้นชินกับความเป็นทาส แต่ทุกปัญหาทางการเมืองจะไม่ถูกแก้ไขได้เลยหากไม่มีการเรียกร้องการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ เพราะสถาบันกษัตริย์ก็เป็นเหมือน “Foundation” ปัญหาโครงสร้างพื้นฐานในสังคมไทยเช่นกัน โดยเฉพาะเรื่องความเหลื่อมล้ำและเรื่องปากท้อง ถ้าหากเราอยากเปลี่ยนแปลงประเทศ ทำลายอำนาจเผด็จการ การไม่วิพากษ์วิจารณ์สถาบันกษัตริย์หรือการหลีกเลี่ยงไม่พูดถึงจึงเป็นไปไม่ได้ เราออกมาทำงานกับทะลุวังหลังจากที่ตัดสินใจลาออกจากโรงเรียน นั่นทำให้เรามีความกล้ามาขึ้นที่จะออกมาพูดเรื่องกษัตริย์โดยไม่ต้องกังวลว่าเจ้าหน้าที่รัฐจะมาคุกคามเราหรือเด็กคนอื่น ๆ ในโรงเรียน ทราบมาว่าคุณจะเปลี่ยนชื่อและนามสกุล อธิบายถึงการตัดสินใจนี้ได้ไหม? เราอยากลาออกจากการเป็นคนไทยโดยสิ้นเชิง เราเลยตัดสินใจเปลี่ยนชื่อและนามสกุล เราไม่อยากมีอะไรที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทยอีก ไม่ว่าจะสัญชาติไทย ชื่อ-นามสกุลภาษาไทย ทุกวันนี้เราใช้ภาษาไทยก็เพื่อคุยกับครอบครัว เพื่อน และทำงานอดิเรกพอ ขอพูดตามตรงเลยว่าเราไม่เคยชอบชื่อของตัวเองเลยตั้งแต่เกิด เรารู้สึกว่าเราไม่ถูกใจชื่อ “เบญจมาภรณ์” ที่ใครไม่รู้ตั้งให้ เป็นชื่อที่เราไม่ได้ตั้งเองด้วยซ้ำ และเราไม่ได้ชอบมันด้วยซ้ำ ยิ่งย้ายมาแคนาดาชื่อและนามสกุลภาษาไทยของเรายิ่งกลายเป็นภาระ เป็นเรื่องยุ่งยากในการทำเอกสาร แถมเรายังรู้สึกอับอายที่ต้องใช้นี้ เราชอบที่จะใช้ชื่อเพียงสองพยางค์สั้น ๆ ที่บ่งบอกอัตลักษณ์ความเป็นตัวเอง “ Iryne” มาจากชื่อ “Irene” ที่หมายถึงความสงบสุข สันติภาพ อันเป็นสิ่งที่เราปรารถนาบนโลกใบนี้ ชื่อที่แสนสำคัญซึ่งเรามอบให้ตัวเองด้วยความรัก เปรียบเหมือนชีวิตใหม่ที่เราได้รับหลังมาอยู่ที่นี่ เรารู้สึกภูมิใจและมีความสุขมาก ๆ เวลาที่มีคนเรียกชื่อเราด้วยไอรีน มากกว่าชื่อภาษาไทยอย่างเบญจมาภรณ์ (พลอย) เพราะเหมือนเราได้รับการยอมรับตัวตนจากผู้คนและชีวิตใหม่ในครั้งนี้แล้ว * ข่าว * การเมือง * ผู้ลี้ภัยทางการเมือง * คดีการเมือง * มาตรา 112 * พลอย * เบญจมาภรณ์ นิวาส * Iryne Lené
dlvr.it
November 17, 2025 at 8:54 AM
อสส. สวนมติ คกก. คดี ม.112 ให้อุทธรณ์คดี ‘ทักษิณ’ ให้สัมภาษณ์สื่อเกาหลี
อสส. สวนมติ คกก. คดี ม.112 ให้อุทธรณ์คดี ‘ทักษิณ’ ให้สัมภาษณ์สื่อเกาหลี admin666 Mon, 2025-11-17 - 13:17 อัยการสูงสุดให้อุทธรณ์คดีม.112 แม้ว่าก่อนหน้านี้คณะกรรมการคดีม.112 ของอัยการเคยมีมติ 8-2 ไม่อุทธรณ์ หลังศาลชั้นต้นยกฟ้องไปแล้ว 17 พ.ย.2568 สำนักข่าวหลายแห่งรายงานถึงความคืบหน้าคดีหมิ่นประมาทกษัตริย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ของทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จากการให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับสาเหตุของการรัฐประหารของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กับสื่อมวลชนเกาหลี โดยก่อนหน้านี้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องไปแล้วและ 26 ก.ย.2568 มีรายงานว่าที่ประชุมคณะกรรมการคดีมาตรา 112 ของอัยการมีมติไม่อุทธรณ์คดีแล้ว  มติชนออนไลน์รายงานว่าเมื่อปลายสัปดาห์ก่อน อิทธิพร แก้วทิพย์ อัยการสูงสุดมีความเห็นให้อุทธรณ์คดีต่อศาลอุทธรณ์ และเมื่อมีคำสั่งจากอัยการสูงสุดแล้วสำนวนจะส่งให้อัยการเจ้าของสำนวนในสำนักงานคดีอาญา 8 ต่อไป เรื่องที่เกี่ยวข้อง * ศาลยกฟ้อง ‘ทักษิณ’ ม.112 พยานมีอคติเคยขึ้นเวทีไล่ ไม่ได้พูดเจาะจงถึงพระมหากษัตริย์ * อัยการขอขยายเวลาอุทธรณ์ คดี ม.112 ‘ทักษิณ’ หลังศาลยก คปท.จี้ อสส.ไม่ตัดจบแค่ชั้นต้น * ศาลอาญาอนุญาตขยายเวลาอุทธรณ์ คดี ม.112 'ทักษิณ ชินวัตร' ถึงวันที่ 21 พ.ย. 68 ทั้งนี้หลังจากเมื่อ 22 ส.ค.2568 ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องทักษิณทั้งข้อหาตามมาตรา 112 และพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ 2550 เนื่องจากเห็นว่าข้อความที่โจทก์ฟ้องไม่เข้าข่ายเป็นความผิดเนื่องจากไม่ได้กล่าวเจาะจงถึงผู้ที่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย อีกทั้งไม่สามารถนำพยานหลักฐานมาพิสูจน์ได้และพยานที่มามีอคติ ต่อมาเมื่อ 26 ก.ย.คณะกรรมการพิจารณาคดี 112 ของอัยการมีมติ 8-2 ไม่ยื่นอุทธรณ์คดีและได้ส่งสำนวนให้ไพรัช พรสมบูรณ์ศิริ อัยการสูงสุด และไพรัชพิจารณาก่อนหมดวาระและเปลี่ยนเป็นอิทธิพรซึ่งเป็นอัยการสูงสุดคนใหม่ * ข่าว * สิทธิมนุษยชน * มาตรา 112 * ทักษิณ ชินวัตร * อิทธิพร แก้วทิพย์ * อัยการสูงสุด * กระบวนการยุติธรรม
dlvr.it
November 17, 2025 at 6:28 AM