นอนเช้าแต่นอนเยอะ
banner
o-8.bsky.social
นอนเช้าแต่นอนเยอะ
@o-8.bsky.social
🎃🌚👻💀
MCU,(All)💚Xloki 🐍⚡🐊🐸
นอนเช้าตื่น6โมงเยน ✨ตื่นตัวและนัวมาก🐣รักทุกสัตว์👁👄👁
Reposted by นอนเช้าแต่นอนเยอะ
ปิดฉากซีเกมส์ครั้งที่ 33 ส่งไม้ต่อมาเลเซียเจ้าภาพปี 2027
ปิดฉากซีเกมส์ครั้งที่ 33 ส่งไม้ต่อมาเลเซียเจ้าภาพปี 2027 auser15 Sat, 2025-12-20 - 20:33 ปิดฉากซีเกมส์ครั้งที่ 33 ไทยครองเจ้าเหรียญทองสมัยที่ 14 คว้าไป 233 เหรียญทอง 154 เหรียญเงิน 112 เหรียญทองแดง ส่งไม้ต่อมาเลเซียเจ้าภาพปี 2027 20 ธันวาคม 2568 กีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพระหว่างวันที่ 9-20 ธันวาคม 2568 ซึ่งมีการบรรจุกีฬาแข่งขัน 50 ชนิด 3 กีฬาสาธิต และ 1 กีฬาสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ นับเฉพาะกีฬาหลัก 50 ชนิดกีฬา ชิง 573 เหรียญทองที่การแข่งขันได้ปิดฉากลงเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2568 ผลงานนักกีฬาไทย ปิดฉากครองเจ้าเหรียญทองสมัยที่ 14 คว้าไป 233 เหรียญทอง 154 เหรียญเงิน 112 เหรียญทองแดง ทิ้งห่างอันดับ 2 อินโดนีเซีย คว้าไป 91 ทอง 111 เงิน 131 ทองแดง ส่วนอันดับ 3 เวียดนาม 87 ทอง 81 เงิน 110 ทองแดง อันดับ 4 มาเลเซีย 57 ทอง 57 เงิน 117 ทองแดง อันดับ 5 สิงคโปร์ 52 ทอง 61 เงิน 89 ทองแดง อันดับ 6 ฟิลิปปินส์ 50 ทอง 73 เงิน 154 ทองแดง อันดับ 7 เมียนมา 3 ทอง 21 เงิน 49 ทองแดง อันดับ 8 ลาว 2 ทอง 9 เงิน 28 ทองแดง อันดับ 9 บรูไน 1 ทอง 3 เงิน 5 ทองแดง อันดับ 10 ติมอร์เลสเต ไม่ได้เหรียญทอง 1 เงิน 7 ทองแดง สำหรับการแข่งขันซีเกมส์ครั้งต่อไป (ครั้งที่ 34) จะจัดที่ประเทศมาเลเซีย ระหว่าง 18-29 กันยายน 2027 โดยเจ้าภาพมาเลเซีย วางจัดแข่งขันใน 4 เมือง คือ กัวลาลัมเปอร์, ซาราวัก, ปีนัง และยะโฮร์ เบื้องต้นกำหนดชิงชัยทั้งสิ้น 38 ชนิดกีฬา ด้านไทย เตรียมเป็นเจ้าภาพอาเซียนพาราเกมส์ หรือ กีฬาคนพิการอาเซียน ในครั้งที่ 13 ต่อเนื่อง ในระหว่างวันที่ 20-26 มกราคม 2569 ที่จังหวัดนครราชสีมา โดยจะมีการชิงชัยกันทั้งสิ้น 19 ชนิดกีฬา 534 เหรียญทอง * ข่าว * กีฬา * ซีเกมส์
dlvr.it
December 20, 2025 at 1:38 PM
Reposted by นอนเช้าแต่นอนเยอะ
กกต.เตรียมเปิดลงทะเบียนออกเสียงประชามตินอกเขต แต่ต้องใช้สิทธิ 8 ก.พ. เท่านั้น
กกต.เตรียมเปิดลงทะเบียนออกเสียงประชามตินอกเขต แต่ต้องใช้สิทธิ 8 ก.พ. เท่านั้น auser15 Sat, 2025-12-20 - 17:00 กกต. เตรียมเปิดให้ลงทะเบียนใช้สิทธิออกเสียงประชามตินอกเขตได้ หากไม่สะดวกกลับภูมิลำเนา แต่ต้องไปใช้สิทธิ 8 ก.พ. ที่หน่วยกลางเท่านั้น -  เลขาฯ กกต. แจงจัดเลือกตั้งสถานการณ์ไม่ปกติ ยึด 5 หลักการเพื่อให้การเลือกตั้งเป็นวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร รอลุ้นเลือกตั้ง อบต.พื้นที่พิเศษ 11 ม.ค. คำตอบเลือกตั้ง สส. 8 ก.พ. ทำได้หรือไม่ 20 ธันวาคม 2568 ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้แจ้งประชาสัมพันธ์ให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ไม่สามารถไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ในวันอาทิตย์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 ที่หน่วยเลือกตั้งที่มีชื่อตามทะเบียนบ้านได้ และมีความประสงค์จะขอใช้สิทธิออกเสียงลงคะแนนก่อนวันเลือกตั้ง ในวันอาทิตย์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2569 เวลา 08.00 – 17.00 น. สามารถยื่นคำขอลงทะเบียนใช้สิทธิออกเสียงลงคะแนนก่อนวันเลือกตั้งได้ ตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม 2568 ถึงวันที่ 5 มกราคม 2569 ผ่าน 3 ช่องทางนั้น สำหรับการเปิดลงทะเบียนครั้งนี้ เป็นการยื่นคำขอใช้สิทธิล่วงหน้าเฉพาะการเลือกตั้ง สส. ที่จะมีขึ้นในวันที่ 1 กุมภาพันธ์เท่านั้น ไม่ได้รวมการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ เนื่องจากพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การออกเสียงประชามติ เขียนกำหนดไว้ว่าการออกเสียงประชามติให้กระทำได้ในวันเดียวกันทั่วประเทศ หมายความว่าไม่มีกระบวนการการออกเสียงประชามติล่วงหน้า ดังนั้น การลงทะเบียนครั้งนี้จะไม่รวมกับการลงทะเบียนเพื่อออกเสียงประชามตินอกเขต ทั้งนี้ หากนายกรัฐมนตรีประกาศให้มีการออกเสียงประชามติเป็นวันเดียวกับการเลือกตั้ง สส. ผู้มีสิทธิออกเสียงจะต้องออกไปใช้สิทธิในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 แต่สำหรับผู้มีสิทธิที่ไม่สะดวกกลับไปใช้สิทธิตามภูมิลำเนาที่มีสิทธิตามทะเบียนบ้าน ทาง กกต.ได้เตรียมอำนวยความสะดวก โดยจะเปิดให้ลงทะเบียนเพื่อขอใช้สิทธิออกเสียงประชามตินอกเขตได้ ณ หน่วยออกเสียงกลางที่สะดวกได้ ซึ่งขณะนี้ได้ยกร่างระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่อออกมารองรับแล้ว อยู่ระหว่างรอประกาศราชกิจจานุเบกษา ดังนั้น คาดว่าระยะเวลาเปิดระบบให้ลงทะเบียนขอใช้สิทธิออกเสียงนอกเขต อาจจะใกล้เคียงหรือคาบเกี่ยวกับการลงทะเบียนขอใช้สิทธินอกเขตและนอกราชอาณาจักรของการเลือกตั้ง สส. ทั้งนี้การออกเสียงประชามตินอกเขตจะต้องไปใช้สิทธิออกเสียงในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ที่หน่วยออกเสียงกลางที่ได้ลงทะเบียนไว้เท่านั้น สมมตินาย ก. ปัจจุบันอาศัยอยู่ กทม. แต่มีชื่อเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งตามทะเบียนบ้านอยู่ที่ จ.เชียงใหม่ วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 ซึ่งเป็นวันเลือกตั้ง สส.และวันออกเสียงประชามติ ไม่สะดวกเดินทางกลับไปใช้สิทธิที่ จ.เชียงใหม่ แต่มีความประสงค์จะใช้สิทธิทั้งเลือกตั้ง สส. และออกเสียงประชามติ ก็สามารถลงทะเบียนขอใช้สิทธินอกเขตได้ แต่ต้องลงทะเบียนแยกครั้งกัน ไม่สามารถลงทะเบียนรวมกันได้ โดยการเลือกตั้งล่วงหน้า สส. ต้องมาใช้สิทธิ วันที่ 1 กุมภาพันธ์ ส่วนออกเสียงประชามตินอกเขต ต้องไปใช้สิทธิวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 ส่วนการออกเสียงประชามตินอกราชอาณาจักร ก็จะมีเปิดให้ลงทะเบียนเช่นกัน ซึ่งการออกเสียงประชามตินอกราชอาณาจักร กระบวนการนับคะแนนจะดำเนินการที่สถานเอกอัครราชทูต/สถานกงสุลใหญ่ที่ต่างประเทศ จะไม่มีการส่งบัตรกลับมานับคะแนนที่ประเทศไทย แตกต่างจากการเลือกตั้ง สส. รอลุ้นเลือกตั้ง อบต.พื้นที่พิเศษ 11 ม.ค. คำตอบเลือกตั้ง สส. 8 ก.พ. ทำได้หรือไม่ นายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต.โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว ถึงการจัดการเลือกตั้งในสถานการณ์ที่ไม่ปกติ ว่า หากเราจะต้องจัดให้มีเลือกตั้งในการสถานการณ์ที่ไม่ปกติในบางพื้นที่ เรามีหลักการทำงานอย่างไร หลักการในการจัดการเลือกตั้งในบางพื้นที่ ที่มีสถานการณ์ไม่ปกติ เพื่อให้การเลือกตั้งเป็นวันเดียวกันทั่วราชอาจักรตามรัฐธรรมนูญ กรณีไม่กำหนดวันเลือกตั้งใหม่ ตามมาตรา 104 อยู่บน 5 หลักการดังนี้ 1. หลักกฎหมาย หมายความว่า กฎหมายให้อำนาจให้ทำได้ อาทิ การลงคะแนนล่วงหน้า (เอาคนไปหาหน่วย) 2. หลักเป็นการทั่วไปหมายความว่า เป็นการเลือกตั้งพร้อมกันทุกจังหวัด และเป็นวันเดียวกันทั้งประเทศ 3. หลักสุจริตและเที่ยงธรรม หมายความว่ากระบวนจัดการเลือกตั้งต้องทำให้การเลือกตั้งสุจริตและเที่ยงธรรม ไม่เอื้อต่อพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง เป็นธรรม และเสมอภาค 4. หลักอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยหมายความว่า ต้องอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนในการไปออกเสียงลงคะแนน ให้เป็นไปตามหลักการทั่วไปตามข้อ 2 และหลักสุจริตและเที่ยงธรรมตามข้อ 3 และที่สำคัญที่สุดประชาชนต้องปลอดภัยหรือรูสึกปลอดภัย และ 5. หลักการมีส่วนร่วม หมายความว่า รับฟังความเห็นของผู้มีส่วนได้เสีย อาทิ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งในพื้นที่ หรือพรรคการเมืองทีส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง เป็นต้น นายแสวง ยังระบุว่า 11 ม.ค.2569 เลือกตั้ง อบต. มาดูกันว่าพื้นที่พิเศษ จะจัดการเลือกตั้ง อบต. ได้หรือไม่ น่าจะมีคำตอบให้ การเลือกตั้งวันที่ 8 พอสมควร และเมื่อถึงวันนั้นเราอาจได้เลือกตั้งตามวิถีปกติแล้วก็ได้ ติดตามดูกันต่อไป   ที่มาเรียบเรียงจากสำนักข่าวไทย [1] [2]   * ข่าว * การเมือง * การเลือกตั้ง * การเลือกตั้ง 2568 * กกต.
dlvr.it
December 20, 2025 at 10:07 AM
Reposted by นอนเช้าแต่นอนเยอะ
คนละครึ่งพลัส 15 วัน ยอดใช้จ่าย 3.3 หมื่นล้าน ตัดสิทธิ 2.3 แสนราย เตรียมเฟส 2 ผู้ตกหล่นอาจได้ 4 พัน
.
สามารถติดตามต่อได้ที่ : www.dailynews.co.th/news/5297008/
#คนละครึ่งพลัส #ข่าว #ข่าววันนี้
#เดลินิวส์ #เดลินิวส์ออนไลน์
November 13, 2025 at 10:36 AM
Reposted by นอนเช้าแต่นอนเยอะ
สองรัฐมนตรียูเครนลาออกจากตำแหน่ง เหตุเอี่ยวเรื่องอื้อฉาวทุจริตครั้งใหญ่
.
สามารถติดตามต่อได้ที่ : www.dailynews.co.th/news/5296204/
#รัฐมนตรียูเครน #ยูเครน
#ข่าว #ข่าววันนี้
#เดลินิวส์ #เดลินิวส์ออนไลน์
November 13, 2025 at 8:58 AM
เริ่มแยกไม่ออกละ ควบคุมการเผยแพร่ได้ยัง
ผลสำรวจชี้ 97% ของผู้คน “ไม่สามารถ” แยกความแตกต่างของเพลงที่สร้างโดยเอไอ
.
สามารถติดตามต่อได้ที่ : www.dailynews.co.th/news/5297908/
#กรุงปารีส #AI #ข่าว #ข่าววันนี้
#เดลินิวส์ #เดลินิวส์ออนไลน์
November 14, 2025 at 5:30 AM
Reposted by นอนเช้าแต่นอนเยอะ
ผลสำรวจชี้ 97% ของผู้คน “ไม่สามารถ” แยกความแตกต่างของเพลงที่สร้างโดยเอไอ
.
สามารถติดตามต่อได้ที่ : www.dailynews.co.th/news/5297908/
#กรุงปารีส #AI #ข่าว #ข่าววันนี้
#เดลินิวส์ #เดลินิวส์ออนไลน์
November 13, 2025 at 10:50 AM
Reposted by นอนเช้าแต่นอนเยอะ
'เซีย' ปชน. แถลงโต้ กกร. ย้ำ 3 ร่างแก้ พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน ช่วยยกระดับเศรษฐกิจในประเทศ
'เซีย' ปชน. แถลงโต้ กกร. ย้ำ 3 ร่างแก้ พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน ช่วยยกระดับเศรษฐกิจในประเทศ ภาพปก: ที่มา: ทีมสื่อเซีย จำปาทอง XmasUser Thu, 2025-11-13 - 20:29 'เซีย' สส.พรรคประชาชน โต้ กกร. ชี้นายจ้างต้องเปลี่ยนมุมมอง ร่างแก้ไข พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานทั้ง 3 ฉบับ ช่วยยกระดับสิทธิพื้นฐานและสวัสดิการแรงงาน สร้างมาตรฐานความเที่ยงธรรม ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน หมุนเวียนกำไรคืนสู่ภาคเอกชน พัฒนาเศรษฐกิจแห่งอนาคต   13 พ.ย. 2568 ทีมสื่อเซีย จำปาทอง รายงานว่า เมื่อวานนี้ (12 พ.ย.) เซีย จำปาทอง สส.พรรคประชาชน แถลงข่าวต่อสื่อมวลชน ชี้แจงเรื่องร่างแก้ไขพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานทั้ง 3 ฉบับ หลังจากคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) แถลงคัดค้านร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน ที่เสนอโดยพรรคประชาชน ทั้ง 3 ฉบับ และยังชี้ด้วยว่าการพิจารณากฎหมายทั้ง 3 ฉบับ ขาดการรับฟังความคิดเห็นอย่างรอบด้าน ไม่เป็นไปตามหลักการขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) และปฏิบัติไม่ได้จริง พร้อมเสนอให้กระทรวงแรงงาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ทำประชาพิจารณ์อีกครั้ง เซีย กล่าวว่า จากการที่เขาได้ฟังการแถลงชี้แจงของ คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ที่มีต่อ พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน ที่ยื่นโดย สส.พรรคประชาชน สัดส่วนเครือข่ายผู้ใช้แรงงานและคณะทั้ง 3 ฉบับ เป็นที่น่าเสียดายว่า กกร. ยังยึดกระบวนทัศน์ในการแข่งขันทางเศรษฐกิจมิติเดียวและแข็งตึงว่าจะต้องมีค่าแรงที่ต่ำเพื่อดึงดูดนักลงทุน เซีย กล่าวต่อว่า เขาอยากให้ กกร.ลองทบทวนแนวทางการแข่งขัน และถอยหลังออกมาจากจุดยืนของภาคเอกชนไทยว่าเราจะเป็นอย่างไรในการแข่งขันทางเศรษฐกิจบนเวทีโลก ตอนนี้ประเทศไทยเป็นประเทศมีรายได้ระดับกลางบน ในอนาคตอันใกล้ ประเทศไทยจะต้องมุ่งหน้าสู่ภาคการผลิตสมัยใหม่ อุตสาหกรรมใหม่ สิ่งที่พรรคประชาชน ตั้งแต่ยังเป็นพรรคก้าวไกล หรือย้อนกลับไปถึงพรรคอนาคตใหม่ ก็เสนอแนวทางเช่นนี้ เราจะไม่สามารถแข่งขันในตลาดที่มีมูลค่าต่ำเช่นนี้ต่อไปได้อีกแล้ว นอกจากการเปลี่ยนผ่านของภาคอุตสาหกรรม นโยบายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ก็ต้องสอดรับกับทิศทางการเปลี่ยนผ่านเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นนโยบายฝั่งแรงงาน การอุดหนุน (incentive) จากภาครัฐ และสิทธิประโยชน์ด้านภาษีต่างๆ เพื่อให้มุ่งหน้าสู่เศรษฐกิจแห่งอนาคตได้ ดังนั้น การสร้างระบบนิเวศด้านแรงงานเป็นส่วนที่สำคัญอีกด้านหนึ่งที่เขาและเครือข่ายรับผิดชอบ นอกจากการยืนยันสิทธิขั้นพื้นฐาน นี่คือการสร้างระบบนิเวศที่แข็งแรงที่สุดในประวัติศาสตร์แรงงานไทย เพื่อร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยไปข้างหน้า โดยเขาขอชี้แจงแสดงความเห็นต่อ กกร. ทีละ พ.ร.บ.ดังนี้ ฉบับที่ 1 ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ...) พ.ศ. … ของ สส.จรัส คุ้มไข่น้ำ และคณะ ที่ กกร.ให้ความเห็นว่าจะมีผลกระทบ 3 ด้านคือ 1. ความยืดหยุ่นทางการเงินของแรงงานไทยลดลง (Income Shock) 2. กำลังการผลิตของชาติลดลง และ 3. ระบบการจ้างงานซึ่งไม่เกิดผลดีต่อลูกจ้าง ซึ่งปัญหาที่ทาง กกร.อ้างจะส่งผลทำให้เกิดปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัว เขาคิดว่าหากไม่ปรับมาตรฐานเวลาการทำงานที่เหมาะสม แรงงานก็จะขาดประสิทธิภาพ ไม่สามารถสร้างผลิตผลที่ดีมีคุณภาพให้กับบริษัทได้ การกำหนดเวลา 40 ชม.ต่อสัปดาห์นั้นเหมาะสม และเป็นข้อเสนอที่เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของแรงงาน การลดชั่วโมงการทำงานจะทำให้แรงงานมีเวลาพักผ่อนมากขึ้น อีกทั้งยังเปิดโอกาสให้แรงงานได้ใช้เวลาว่างที่เพิ่มขึ้น เข้าอบรม เทรนนิ่ง พัฒนาทักษะ เพื่อปูพื้นสู่อุตสาหกรรมแห่งอนาคตต่อไป ฉบับที่ 2 ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ …) พ.ศ. … ของ สส.วรรณวิภา ไม้สน และคณะ โดย กกร. ให้ความคิดเห็นว่า การออกกฎหมายฉบับนี้เป็นการออกกฎหมายที่เกินความจำเป็น เนื่องจากกฎหมายคุ้มครองแรงงานในปัจจุบัน เป็นกฎหมายที่ครอบคลุมและดูแลลูกจ้างดีแล้ว, ข้อเสนอนี้ กกร.ไม่มีเหตุผลอะไรมาโต้แย้งอย่างเป็นรูปธรรม อ้างเพียงว่ากฎหมายเดิมดีอยู่แล้ว แต่สำหรับเขา กฎหมายฉบับนี้เป็นข้อเสนอที่ก้าวหน้า และเหมาะสมกับสถานการณ์ด้านแรงงานของไทยในปัจจุบันแม้จะยังล้าหลังอยู่เมื่อเทียบกับหลายประเทศที่ได้นำร่องบังคับใช้ไปแล้ว การห้ามเลือกปฏิบัติการจ้างงาน การมีมุมปั้มนมหลังจากคุณแม่ลาคลอด การลาปวดท้องประจำเดือน เป็นเรื่องของสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ไม่ได้เป็นเรื่องเกินเลยใดๆ ดังนั้น การยืนยันสิทธิเช่นนี้จะช่วยตั้งค่าบรรทัดฐาน ตั้งแต่การเข้าสู่ตลาดแรงงานของแรงงานในระบบ ให้เที่ยงธรรมยิ่งขึ้น สุดท้าย ฉบับที่ 3 ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ …) พ.ศ. … ของ สส.เซีย จำปาทอง และคณะ โดย กกร. เห็นว่าการกำหนดให้เพิ่มบทนิยามคำว่า "การจ้างงานรายเดือน" เป็นการจ้างงานที่มีลักษณะเป็นงานประจำ และเต็มเวลา โดยลูกจ้างได้รับค่าจ้างเป็นรายเดือน เป็นการกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของบุคคลในการทำสัญญาเกินความจำเป็น และขัดต่อหลักเสรีภาพในการทำสัญญา, ภาคการผลิตที่ใหญ่ที่สุดของประเทศคือ “นอกภาคการผลิต” การเพิ่มบทนิยมเพื่อป้องกันการผลักภาระของนายจ้าง และผู้ว่าจ้างทำของ จะช่วยเพิ่มสวัสดิการและความมั่นคงของแรงงาน เมื่อแรงงานมีรายได้ที่มั่นคง เงินเหล่านั้นจะหมุนเวียนกลับไปอยู่ในมือผู้ประกอบการคืนผ่านการซื้อสินค้าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของประชาชนคนทำงาน จะทำให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตขึ้น และด้วยการยกระดับคุณภาพชีวิตของแรงงานให้ดีขึ้นจะเป็นหลักประกันว่า ประเทศไทยพร้อมที่จะเดินหน้าสู่การแข่งขันใหม่ เศรษฐกิจใหม่ และเงื่อนไขใหม่กับนานาอารยประเทศ เซีย ทิ้งท้ายว่าเขาขอยืนยันในฐานะ สส. สัดส่วนเครือข่ายผู้ใช้แรงงานว่า เนื้อหาของกฎหมายทั้ง 3 นี้ล้วนเป็นข้อเสนอของแรงงานที่เสนอผ่านรัฐบาลมาแล้วหลายยุคหลายสมัย แต่ไม่เคยมีรัฐบาลไหนนำมาดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาให้ผู้ใช้แรงงาน การเสนอกฎหมายที่ประชาชนเห็นด้วยผ่านการเลือกตั้ง สส. ที่เป็นฝ่ายนิติบัญญัติเข้าไปเสนอกฎหมาย ถือเป็นฉันทามติของประชาชน ไม่เพียงเท่านี้ขอยืนยันว่ากฎหมายทุกฉบับล้วนแล้วแต่ผ่านกระบวนการในรัฐสภา เช่น การเปิดรับฟังความคิดเห็น มีคนเข้าร่วมแสดงความคิดเห็นจำนวนมากและส่วนใหญ่เห็นด้วยกับการแก้ไขกฎหมายเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตคนทำงานการประชุมพิจารณากฎหมายในวาระที่ 1 สส.เสียงส่วนใหญ่ก็เห็นด้วย เขาขอยืนยันอีกครั้งว่า กฎหมายทุกฉบับออกแบบมาเพื่อยืนยันบนหลักการและสิทธิขั้นพื้นฐานและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์แรงงาน ซึ่งสอดคล้องกับองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ทั้งในด้านชั่วโมงการทำงานที่เหมาะสม สิทธิการลา การคุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และนี่จะเป็นรากฐานในการสร้างระบบนิเวศของเศรษฐกิจไทย ที่นายจ้างและลูกจ้างอยู่ในสถานะพึ่งพาอาศัยกัน เพื่อสร้างการพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศที่ยั่งยืนต่อไป กกร. ค้านร่างแก้คุ้มครองแรงงาน ขาดความเห็นรอบด้าน ปฏิบัติไม่ได้จริง  ทั้งนี้ การแถลงของเซีย เกิดขึ้นหลังจาก คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย แถลงข่าวย้ำจุดยืนไม่เห็นด้วยกับร่างกฎหมายสำคัญ 3 ฉบับ โดยหนึ่งในนั้นคือร่างแก้ไข พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน ทั้ง 3 ฉบับที่เสนอโดยพรรคประชาชน พ.ร.บ.อากาศสะอาด และ พ.ร.บ.โรงงาน สำหรับร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) กล่าวว่า หลังจากที่สภาฯ รับหลักการวาระที่ 1 ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ... จำนวน 2 ฉบับ และอยู่ในระหว่างเสนอสภาฯ จำนวน 1 ฉบับ กกร.ได้รับเรื่องร้องเรียนและความกังวลจากสมาชิกทั่วประเทศ อาทิ หอการค้าจังหวัดมากกว่า 70 จังหวัดทั่วประเทศ สภาอุตสาหกรรมจังหวัด กลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ สมาคมการค้ามากกว่า 90 สมาคม และหอการค้าต่างประเทศอีกจำนวนหนึ่ง ที่ไม่เห็นด้วยและคัดค้านกับร่างกฎหมายดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งร่างกฎหมายที่ขาดการประเมินผลกระทบกฎหมาย (Regulatory Impact Assessment : RIA) อย่างรอบด้าน ซึ่งเป็นกระบวนการสำคัญในการพิจารณาความเหมาะสม และผลกระทบต่อภาคส่วนต่างๆ พจน์ มองว่า ร่างกฎหมายดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม และเพิ่มภาระต้นทุนการจ้างงานให้กับนายจ้าง ในภาวะเศรษฐกิจผันผวน โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายกลางและรายย่อย (SMEs) ที่ต้องเผชิญต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น จากการปรับข้อกำหนดของกฎหมายใหม่ นอกจากนี้อาจส่งผลให้เกิดการลดลงของความเชื่อมั่นจากนักลงทุนต่างประเทศ ซึ่งจะกระทบต่อความสามารถในการดึงนักลงทุนมาประกอบธุรกิจในประเทศไทยในภาพรวม  พจน์ ได้แจกแจงปัญหาของ ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน แต่ละฉบับ ประกอบด้วย ฉบับที่ 1 ของจรัส คุ้มไข่น้ำ สส.พรรคประชาชน และคณะ จะมีผลกระทบ 3 ด้าน ดังนี้ 1. ความยืดหยุ่นทางการเงินของแรงงานไทยลดลง (Income Shock) 2. กำลังการผลิตของชาติลดลง และ 3. ระบบการจ้างงานซึ่งไม่เกิดผลดีต่อลูกจ้าง ฉบับที่ 2 ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. … ของ สส.วรรณวิภา ไม้สน และคณะ กกร. คิดเห็นว่าการออกกฎหมายฉบับนี้เป็นการออกกฎหมายเกินความจำเป็น เนื่องจากกฎหมายคุ้มครองแรงงานในปัจจุบัน เป็นกฎหมายที่ครอบคลุมและดูแลลูกจ้างดีแล้ว ฉบับที่ 3 ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ของ สส.เซีย จำปาทอง และคณะ กกร. เห็นว่า การกำหนดให้เพิ่มบทนิยามคำว่า “การจ้างงานรายเดือน” เป็นการจ้างงานที่มีลักษณะเป็นงานประจำและเต็มเวลา โดยลูกจ้างได้รับค่าจ้างเป็นรายเดือน เป็นการกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของบุคคลในการทำสัญญาเกินความจำเป็น และขัดต่อหลักเสรีภาพในการทำสัญญา อีกทั้งการกำหนดให้คณะกรรมการค่าจ้าง ต้องปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเพิ่มทุกปี โดย กกร. เห็นว่าการปรับอัตราจ้างขั้นต่ำย่อมขึ้นอยู่กับตัวเลขทางเศรษฐกิจ ที่สะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการจ่ายของนายจ้าง และค่าครองชีพของลูกจ้างตามที่บัญญัติไว้แล้วในกฎหมายปัจจุบัน โดยให้ความสำคัญกับคณะกรรมการค่าจ้างฯ คณะกรรมการไตรภาคีจังหวัด และมาตรา 87 แห่ง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 เป็นต้น พจน์ กล่าวว่า คณะกรรมการ กกร. สนับสนุนการยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงานตามหลักสากล หรือองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ทั้งในด้านชั่วโมงการทำงานที่เหมาะสม สิทธิการลา การคุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และสนับสนุนการกลไกแรงงานสัมพันธ์ภายในองค์กรในการกำหนดแนวทางที่เหมาะสม เพื่อประเมินผลกระทบเชิงปริมาณและจัดทำมาตรการรองรับอย่างรอบคอบ "ขอย้ำให้เห็นว่า กระบวนการจัดทำร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับคนจำนวนมาก หรือกฎหมายมหาชน ควรมีการรับฟังความคิดเห็นและวิเคราะห์ผลกระทบจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างรอบด้าน ซึ่งในกรณีนี้ ยังขาดข้อมูลที่เพียงพอ และอาจส่งผลต่อกลุ่มที่เกี่ยวข้องโดยตรง" ประธานสภาหอการค้าไทย ระบุ พจน์ ยืนยันว่า กกร. ยังคงคัดค้านร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน ฉบับใหม่ ทั้ง 3 ฉบับ ที่ไม่สอดรับกับข้อกำหนดองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ไม่สามารถปฏิบัติได้จริง ขาดการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างรอบด้าน และเห็นควรให้มีการทำประชาพิจารณ์ใหม่อย่างรอบด้านทั้งให้มีตัวแทน สภาอุตสาหกรรมจังหวัด หอการค้าจังหวัด องค์กรนายจ้าง องค์กรลูกจ้าง (ไตรภาคี) ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยให้กระทรวงแรงงาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เป็นตัวกลางในการดำเนินการดังกล่าว * ข่าว * เศรษฐกิจ * แรงงาน * สิทธิมนุษยชน * คุณภาพชีวิต * เซีย จำปาทอง * พรรคประชาชน * คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน * พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ * สภาหอการค้าไทย * สิทธิแรงงาน * ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน
dlvr.it
November 13, 2025 at 2:15 PM
Reposted by นอนเช้าแต่นอนเยอะ
สร้างขบวนการแรงงานที่เข้มแข็ง ต้องกลับมาเริ่มที่สมาชิกสหภาพแรงงาน
สร้างขบวนการแรงงานที่เข้มแข็ง ต้องกลับมาเริ่มที่สมาชิกสหภาพแรงงาน auser15 Fri, 2025-11-14 - 08:00 รายงานพิเศษจาก Labor Notes ชี้ว่าการสร้างขบวนการแรงงานสหรัฐฯ ให้เข้มแข็งอีกครั้ง ต้องเริ่มที่สมาชิกสหภาพแรงงาน ประธานสหภาพแรงงานช่างฝีมือสหรัฐฯ (IUPAT) ระบุว่าขบวนการแรงงานชะล่าใจมานาน ทำให้สมาชิกสหภาพแรงงานในอุตสาหกรรมก่อสร้างร่วงจาก 38% เหลือ 11% สหภาพจึงเริ่มแคมเปญ Building Union Power ลงพื้นที่พบสมาชิก ให้ความรู้ทางการเมือง และสร้างอำนาจอิสระของคนทำงาน เพราะสมาชิกบอกว่าแทบไม่ได้ยินอะไรจากสหภาพเลย โดยเฉพาะหลังรัฐบาลทรัมป์ยกเลิกโครงการโครงสร้างพื้นฐาน 20,000 ล้านดอลลาร์ ส่งผลกระทบหนักต่อคนทำงาน วิลเลียมส์เชื่อว่าแรงงานต้องมีนโยบายและการเคลื่อนไหวทางการเมืองของตัวเอง ไม่ใช่พึ่งพาพรรคการเมืองใดพรรคหนึ่งอีกต่อไป สมาชิกสหภาพแรงงานช่างทาสี (Painters) เข้าร่วมเดินขบวนวันแรงงานในนิวยอร์ก แคมเปญ Building Union Power ของสหภาพแรงงานช่างทาสีมุ่งฟื้นฟูขบวนการแรงงานด้วยการดึงและกระตุ้นสมาชิกทั่วประเทศให้เข้ามามีส่วนร่วม | ภาพจาก: Jenny Brown/Labor Notes  ผู้เขียนเป็นช่างติดกระจกรุ่นที่ 4 ในตระกูล เติบโตมาในครอบครัวสหภาพแรงงาน ตอนเด็กๆ ยังจำได้ว่านั่งกินข้าวกับพ่อตอนที่สหภาพแรงงานประท้วง ขอบคุณพระเจ้าที่มีสหภาพแรงงานช่างฝีมือ IUPAT คอยช่วยเหลือแม้ในยามที่ยากลำบาก ประวัติการต่อสู้ของสหภาพแรงงานฝังอยู่ในกระแสเลือดของผู้เขียน ผู้เขียนจะไม่มีวันลืมการเสียสละของคนรุ่นก่อน แต่สมาชิกสหภาพแรงงานในยุคนี้หลายคนรู้สึกห่างเหินจากองค์กร ... ซึ่งผู้เขียนเข้าใจว่าทำไม ปัญหานี้ไม่ใช่เฉพาะสหภาพแรงงานช่างฝีมือ IUPAT เท่านั้น ตลอดชีวิตที่ผู้เขียนเติบโตมา ขบวนการแรงงานชะล่าใจ คิดว่าชีวิตที่ดีขึ้นที่เราได้มาจะอยู่ตลอดไป รับประกันไปเอง คิดว่าถ้าเราทำตัวเงียบๆ พวกนายทุนและนักการเมืองก็จะไม่มายุ่งกับเรา ในขณะที่เราจ้องดูจำนวนสมาชิกสหภาพแรงงานลดลงต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ปี 1973 สหภาพแรงงานในภาคการก่อสร้างมีสมาชิกถึง 38% ของคนทำงานในอุตสาหกรรมนี้ ซึ่งลดลงมาจาก 87% ในปี 1947 แล้ว แต่ปี 2024 เรามีสมาชิกเหลือแค่ 11% เท่านั้น ดึงสมาชิกทุกคนเข้ามามีส่วนร่วม เมื่อเราเห็นสิทธิ จำนวนสมาชิก และอำนาจของเราถูกกัดเซาะไปในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา เราพอจะเห็นชัดเจนว่าการทำแบบเดิมๆ ไม่ได้ผลแล้ว นั่นคือเหตุผลที่สหภาพของเราเริ่มแคมเปญ Building Union Power เพื่อดึงและกระตุ้นสมาชิก IUPAT ทุกคนให้เข้ามามีส่วนร่วม ในฐานะประธาน IUPAT ผู้เขียนและคณะกรรมการที่ได้รับเลือกตั้งของสหภาพแรงงานเดินทางไปยังท้องถิ่นต่างๆ ทั่วอเมริกาเหนือเพื่ออบรมตัวแทน เด็กฝึกงาน เจ้าหน้าที่ หัวหน้างาน และนักจัดตั้งสหภาพแรงงาน เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของขบวนการแรงงานและสหภาพแรงงานของเรา เราคุยกันเรื่องความท้าทายที่รออยู่ข้างหน้า ทั้งปัญหาภายในสหภาพแรงงานและปัญหาที่กระทบทั้งขบวนการแรงงาน และเราจะจัดการกับมันร่วมกันได้อย่างไร เราฝึกตอบคำถามยากๆ และพูดคุยเรื่องที่ไม่สบายใจ เจ้าหน้าที่สหภาพแรงงานท้องถิ่นและสมาชิกนักจัดตั้งสหภาพแรงงานได้รับมอบหมายให้นำเครื่องมือเหล่านี้ไปใช้ในหน้างาน และในการประชุมเพื่ออบรมสมาชิกทั่วไป เราอยากให้สมาชิกทุกคนรู้สึกว่าสหภาพแรงงาน "เข้าถึง" พวกเขา ได้ยินเสียงจากเรา และรู้สองเรื่องคือ หนึ่ง เราอยู่เคียงข้างพวกเขา และ สอง เราต้องการให้พวกเขามาร่วมงาน เข้ามามีส่วนร่วม และขับเคลื่อนสหภาพแรงงานของเราไปข้างหน้า ลงพื้นที่รัฐหลักก่อนเลือกตั้ง ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ผู้เขียนเดินทางไปตามรัฐสมรภูมิหลักกับคณะกรรมการบริหารของสหภาพแรงงาน ผู้เขียนโชคดีที่ได้คุยกับสมาชิกหลายร้อยคนเกี่ยวกับปัญหาใหญ่ที่เราเผชิญอยู่ แต่พอมาถึงฟิลาเดลเฟีย บ้านเกิดของผู้เขียน ผู้เขียนรู้เลยว่าทรัมป์จะชนะการเลือกตั้ง ตัวเมืองเองเป็นฐานเสียงเดโมแครตที่มั่นคงไม่ต้องสงสัย แต่สมาชิกสหภาพแรงงานที่ผู้เขียนคุยด้วยแทบไม่มีใครตื่นเต้นที่จะไปเลือกคามาลา แฮร์ริส (Kamala Harris) ไม่ว่าจะเพราะเหตุผลที่มันสมเหตุสมผลหรือเพราะข้ออ้างที่ไร้มูลความจริงอย่างการที่ทรัมป์อ้างว่าเขาเป็นฝ่ายคนทำงาน สมาชิกของเราก็ไม่รู้สึกตื่นเต้นกับผู้สมัครของเรา พวกเขาไม่เชื่อใจสหภาพแรงงานของเราพอที่จะลงคะแนนตามที่เราแนะนำ และพวกเขาไม่เข้าใจว่าการที่ทรัมป์ชนะจะส่งผลกระทบต่อชนชั้นแรงงานอย่างไร ผู้เขียนรู้เลยตอนนั้นว่าเราต้องเข้าถึงสมาชิกแรงงานให้มากกว่านี้ สมาชิกบอกว่าแทบไม่ได้ยินเสียงจากสหภาพแรงงาน แม้ว่าเจ้าหน้าที่สหภาพแรงงานส่วนใหญ่เคยเป็นช่างมาก่อน แต่พอมาทำงานเต็มเวลาให้สหภาพแรงงาน พวกเขาก็มีภาระหนักมาก ต้องหางานให้สมาชิก ต้องเจรจากับนายจ้างที่ยังไม่มีสหภาพแรงงาน และต้องคอยดูแลแก้ไขปัญหาให้สมาชิกด้วย มันง่ายที่จะเสียสมาธิและห่างเหินจากสมาชิกแต่ละคน ผู้เขียนไม่ตำหนิใครในเรื่องนี้ ตัวผู้เขียนเองก็ทำแบบนั้นเหมือนกัน นั่นคือเหตุผลที่แคมเปญ Building Union Power สำคัญมาก มันบังคับให้เราทุกคนออกไปยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับสมาชิก ฟังจากพวกเขา เรียนรู้จากพวกเขา และเข้าใจว่าพวกเขากำลังเผชิญอะไรอยู่ทุกวัน สิ่งที่ผู้เขียนได้ยินมากที่สุดจากสมาชิกที่ผู้เขียนเจอในการลงพื้นที่คือพวกเขาแทบไม่ได้ยินอะไรจากสหภาพแรงงานเลย จากมุมมองของเรา เราพยายามติดต่อสื่อสารกับพวกเขาตลอดเวลาในหลายรูปแบบ แต่เห็นได้ชัดว่ามันไม่ถึงพวกเขา เราเลยต้องลองวิธีการใหม่ ถือเป็นเรื่องดี ที่สมาชิกต้องการอะไรต่อมิอะไรจากเรามากกว่านี้ มันหมายความว่าพวกเขาอยากการติดต่อสื่อสาร ต้องการข้อมูล ต้องการความสัมพันธ์กับสหภาพแรงงานของพวกเขา ทุกวันนี้ข้อมูลบิดเบือนมีเต็มไปหมด มันเลยจำเป็นมากที่สมาชิกต้องได้ยินจากสหภาพแรงงานเกี่ยวกับสิ่งที่สำคัญจริงๆ สหภาพแรงงานต้องกลับมาสู้อีกครั้ง ผู้เขียนรู้ว่าเรามีเส้นทางที่ยากลำบากรออยู่ข้างหน้า ความเฉยเมยต่อสหภาพแรงงานจะไม่หายไปเพียงแค่แคมเปญเดียว แต่ผู้เขียนมีความรับผิดชอบต่อสมาชิก 140,000 คน ของสหภาพ IUPAT ผู้เขียนไม่สามารถนั่งนิ่งๆ ไม่ทำอะไรในขณะที่สมาชิกของเราสูญเสียความเชื่อมโยงกับ IUPAT ทุกคนเข้าร่วม IUPAT ด้วยเหตุผลเดียวกัน คือเพื่อค่าแรงที่ยุติธรรม สวัสดิการดี เงินบำนาญ และความมั่นคง เชื่อว่าเมื่อมีบัตรสหภาพแรงงานแล้วสิ่งเหล่านี้จะได้รับการรับประกัน แต่ทุกอย่างที่เราได้มาคือผ่านการต่อสู้อย่างหนัก ถ้าเราไม่เริ่มสู้อีกครั้ง ขบวนการแรงงานก็จะเสื่อมถอยต่อไป และคนรวยก็จะรัดบ่วงสังคมให้แน่นขึ้นเรื่อยๆ เพื่อความอยู่รอดของสหภาพแรงงาน และเพื่อรักษางานก่อสร้างที่ดีและปลอดภัย เราต้องการให้สมาชิกทุกคนเข้าใจว่าเดิมพันคืออะไร และลงสนามต่อสู้ สร้างความเข้าใจทางการเมือง ผู้เขียนได้ยินคนบ่นบ่อยๆ ว่าเราต้อง "เอาการเมืองออกจากสหภาพแรงงาน" และผู้เขียนเข้าใจความรู้สึกนั้น การพูดเรื่องการเมืองตลอดเวลามันน่าเบื่อ โดยเฉพาะเมื่อทั้ง 2 พรรคทำให้เราผิดหวังเรื่อยๆ และผู้เขียนเข้าใจจริงๆ ว่าสมาชิกหลายคนรู้สึกว่าพวกเขาได้ยินจากสหภาพแรงงานก็ต่อเมื่อใกล้เลือกตั้งเท่านั้น แต่ตอนนี้น่าเสียดายที่เราเห็นชัดเจนว่าการเมืองมีความสำคัญแค่ไหนในขบวนการแรงงาน ไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ก็ตาม การตัดสินใจของนักการเมืองส่งผลกระทบอย่างมากต่อสหภาพแรงงาน กระเป๋าเงิน และชุมชนของเรา ก่อนหน้านี้ รัฐบาลทรัมป์ยกเลิกโครงการโครงสร้างพื้นฐานมูลค่า 20,000 ล้านดอลลาร์ในนิวยอร์ก และชิคาโก รัฐบาลอ้างว่าเป็นเพราะนโยบายยอมรับความแตกต่างหลากหลาย (DEI) ของพื้นที่เหล่านั้น แต่การโจมตีเหล่านี้ดูเหมือนเป็นการลงโทษศัตรูทางการเมืองและทำตามอำเภอใจของรัฐบาล โดยไม่สนใจว่าจะส่งผลเสียต่อสมาชิกสหภาพและชนชั้นคนทำงานทั้งหมด เมื่อระบบการเมืองของเราแบ่งขั้วกันมากขึ้นเรื่อยๆ ความจริงก็คือมีสามาชิกพรรครีพับลิกันในระดับรัฐบาลกลางเพียงไม่กี่คนที่สนใจทำงานกับเรา ถึงแม้จะอ้างว่าพรรครีพับลิกันตอนนี้เป็นพรรคของคนทำงานแล้วก็ตาม และคนที่ยอมทำงานกับเรามักทำด้วยเจตนาที่ไม่จริงใจและคิดแต่ผลประโยชน์ตัวเอง แม้ว่าทั้ง 2 พรรคจะพูดปอปั้นคนทำงานแต่จริงๆ แล้วรับใช้แต่พวกชนชั้นสูง พรรครีพับลิกันในยุคนี้แทบจะไม่แกล้งทำเป็นว่าสนับสนุนสหภาพแรงงานเลยด้วยซ้ำ และต่อต้านคนทำงานในเชิงอุดมการณ์มากจนเกือบจะหาจุดร่วมในเรื่องใดๆ ไม่ได้เลย ทุกครั้งที่พวกเขามีโอกาส พวกเขาก็ยกเลิกสัญญา หยุดงาน และพลิกชีวิตคนทำงาน สร้างพลังการเมืองของตัวเอง ถ้าอยากเอาชนะทรัมป์และนักการเมืองที่ต่อต้านคนทำงาน เราต้องรวมพลคนทำงานให้มากพอ เราไม่สามารถหลบหน้าหนีด้วยความกลัวแล้วหวังว่าทรัมป์จะใช้อำนาจแบบเผด็จการแล้วมันจะหายไปเอง เราต้องหาสมาชิกสหภาพแรงงานใหม่ สร้างพลังทางการเมืองของเราเองในชุมชน และบอกเพื่อนคนทำงานกับคนในชุมชนให้เข้าใจว่าเรากำลังเสี่ยงอะไรอยู่ เราต้องจับตานักการเมืองทุกคนที่ไม่เข้าข้างคนทำงาน ไม่ว่าจะมาจากพรรคไหน ไม่ว่าจะพูดอะไรมา ผู้เขียนเชื่อว่าขบวนการแรงงานต้องมีชุดนโยบายของเราเอง และต้องมีการเคลื่อนไหวทางการเมืองแบบอิสระของเราเอง เพื่อให้ประเทศนี้ประสบความสำเร็จ เราไม่สามารถขี่หลังพรรคนี้พรรคนั้นต่อไปได้ หรือหวังว่ารอบหน้าจะถึงคราวเรา เราต้องการกองทัพของคนทำงานที่เข้าใจประวัติศาสตร์ของสหภาพแรงงานและขบวนการแรงงานของพวกเขา และพร้อมที่จะต่อสู้เพื่อขบวนการแรงงานใหม่ เหมือนที่บรรพบุรุษของเราเคยทำไว้เพื่อคนรุ่นหลัง   รายงานชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของซีรีส์พิเศษของ Labor Notes สื่อที่เป็นกระบอกเสียงให้กับขบวนการแรงงานในสหรัฐอเมริกา ต่อประเด็นที่ถามว่าสหภาพแรงงานจะป้องกันอำนาจของคนทำงานต่อต้านทรัมป์ 2.0 ได้อย่างไร? ผู้เขียนงานชิ้นนี้ 'จิมมี่ วิลเลียมส์ จูเนียร์' (Jimmy Williams Jr.) ประธานสหภาพแรงงาน International Union of Painters and Allied Trades (IUPAT) องค์กรแรงงานที่เป็นตัวแทนของช่างฝีมือกว่า 140,000 คน ในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา เรื่องที่เกี่ยวข้อง * 'ต่อต้านทรัมป์ 2.0' สหภาพแรงงานสหรัฐฯ ต้องใช้ทั้งการเมืองและการลงมือทำจริงจัง  ที่มา: To Build a Stronger Labor Movement, Go to the Members (Jimmy Williams Jr., Labor Notes, 29 October 2025)    * รายงานพิเศษ * แรงงาน * ต่างประเทศ * สหภาพแรงงาน * Labor Notes * สหรัฐอเมริกา
dlvr.it
November 14, 2025 at 1:09 AM
Reposted by นอนเช้าแต่นอนเยอะ
พระนุ่งกางเกงดีกว่ากินเนื้อสัตว์: สำรวจมุมมองชาวพุทธวัชรยานในอินเดียที่มีต่อพระภิกษุ
พระนุ่งกางเกงดีกว่ากินเนื้อสัตว์: สำรวจมุมมองชาวพุทธวัชรยานในอินเดียที่มีต่อพระภิกษุ เจษฎา บัวบาล   sarayut Tue, 2025-09-23 - 21:10 วัฒนธรรมการกินเนื้อสัตว์ของพระในประเทศเถรวาท เช่น พม่า ไทย ลาว กัมพูชาและศรีลังกา ทำให้พระหลายรูปไม่รู้สึกลำบากใจที่จะไปซื้อเนื้อในตลาดหรือสั่งอาหารที่เป็นเนื้อสัตว์นั่งกินต่อหน้าผู้คน พฤติกรรมนี้เป็นเรื่องที่รับไม่ได้สำหรับคนจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวทิเบตพลัดถิ่นซึ่งเป็นสาวกของวัชรยาน ทั้งชาวอินเดียที่เป็นฮินดูและชาวทิเบตวัชรยาน แม้ฆราวาสจะกินเนื้อสัตว์บ้าง แต่ก็มีความคาดหวังว่าพระจะต้องไม่กินเนื้อ สำหรับพวกเขาแล้ว ความกรุณาหรืออหิงสาขั้นพื้นฐานที่เห็นได้ชัดเจนสะท้อนผ่านการไม่กินเนื้อสัตว์ด้วย เถรวาทเน้นเสื้อผ้า วัชรยานเน้นอาหาร สิ่งที่พระเถรวาทพยายามรักษาอย่างมากคือ การแต่งชุดพระในทุกที่ โดยเชื่อว่าการแต่งแบบฆราวาสจะเป็นอาบัติ เราจึงเห็นพระที่ไปอยู่ในประเทศหนาวเช่นยุโรป แม้จะใส่เสื้อกันหนาวแล้วก็ยังจะสวมอังสะหรือจีวรทับ ไม่ใช่แค่ให้คนเห็นว่าท่านเป็นพระ แต่เพราะเชื่อลึกๆ ด้วยว่าหากใส่แต่เสื้อผ้าของฆราวาสจะทำให้ขาดจากความเป็นพระ แม้ท่านจะใส่ถุงเท้า รองเท้าหรือหมวกเพราะอากาศหนาว ก็จะเลือกที่เป็นสีเดียวกับจีวร ทั้งนี้พระหลายรูปก็พยายามปรับตัว เช่น เมื่อท่านมาเรียนที่อินเดีย ก็อาจไม่ต้องห่มจีวรทุกครั้ง เวลาไปฉันอาหารร่วมกันกับฆราวาสซึ่งมีทั้งหญิงและชาย ก็จะใช้ผ้าอาบน้ำคลุมไหล่เพื่อให้ดูสุภาพขึ้น (ไม่ต้องโชว์นม/ขนรักแร้) แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า การแต่งกายก็ยังดูรุงรังอยู่ดี เพื่อนอินเดียคนหนึ่งถามอย่างตรงไปตรงมาว่า “ทำไมไม่ใส่เสื้อยืด กางเกงขาสั้นแบบสบายๆ” แน่นอนว่าเขาไม่รู้ว่าเถรวาทยึดมั่นกับการแต่งกายมากแค่ไหน แต่อย่างน้อยคำพูดเขาก็สะท้อนว่า หากท่านจะใส่กางเกงขาสั้น เขาก็ยังมองว่าท่านเป็นพระ ไม่จำเป็นต้องทำตัวให้ลำบากด้วยการแต่งทั้งชุดและดูรุงรัง แต่ประเด็นคือ พระเถรวาทกลับไม่สนใจเรื่องเมนูอาหาร พวกเขานั่งกินเนื้อสัตว์ต่อหน้าคนอื่นๆ ได้ ซึ่งแน่นอนว่า สำหรับการตีความแบบเถรวาท ท่านไม่ได้ทำผิดอะไร เพราะท่านไม่ได้ฆ่าสัตว์ด้วยตัวเอง ไม่เห็น ไม่ได้ยินและไม่สงสัยเวลาที่คนอื่นทำมาให้ด้วย แต่สำหรับคนอินเดียซึ่งส่วนใหญ่คือฮินดู พวกเขาพยายามกินมังสวิรัติ และเมื่อเห็นว่า “นักบวช” กินเนื้อสัตว์ ก็จะรู้สึกแปลกๆ แม้จะไม่ได้ถามออกไปตรงๆ ปี 2566 ผมได้มาเที่ยวอินเดียกับพระไทยรูปหนึ่ง ท่านมาทำวิจัยเรื่องชาวทิเบตพลัดถิ่น ขณะที่เราพักที่ Majnu Ka Tilla หรือทิเบตแคมป์ในเมือง Delhi ก็ได้เข้าไปกินอาหารในร้านหนึ่ง ทั้งสองคนสั่งเมนูที่เป็นเนื้อสัตว์ แต่ผู้จัดการร้านซึ่งเป็นชาวทิเบตเดินมาบอกว่า เขาทำเมนูนี้ให้ผมที่เป็นฆราวาสได้ แต่ขอให้พระช่วยเปลี่ยนเมนู เพราะเขาไม่อยากสนับสนุนให้พระกินเนื้อสัตว์ และหลวงพี่รูปนั้นก็เปลี่ยนเป็นเมนูมังสวิรัติ สิ่งที่ตรงกันข้ามคือ พระวัชรยานทั้งในเมือง Dharamshala และ Delhi คือ Majnu Ka Tilla จะไม่ค่อยสนใจเรื่องการแต่งกาย หลายรูปจะใส่เสื้อยืด แขวนนาฬิกาข้อมือ ใส่รองเท้าผ้าใบ บ้างก็นุ่งกางเกงแบบฆราวาส (แต่มักเป็นสีพื้น ไม่ฉูดฉาด) หลายคนเป็นพนักงานของร้านค้าหรือโรงแรมที่เป็นของวัดด้วย นั่นคือเวลาไปซื้อของ เรามักจะเห็นผู้ชายใส่ชุดแบบเรียบง่ายจัดของในร้าน กวาดพื้น ขนของ ฯลฯ แต่โกนผม ซึ่งพวกเขาก็คือพระนั่นเอง จะแต่งกายเต็มรูปแบบก็ต่อเมื่อไปร่วมพิธีกรรม ซึ่งก็ยังได้รับความเคารพจากฆราวาสเหมือนเดิม รูปที่ 1 และ 2:ร้านค้าของวัด ใน Majnu Ka Tilla ที่มีพระเป็นพนักงาน แต่พระเหล่านี้จะไม่ไปซื้อเนื้อตามตลาด ไม่กินเนื้อสัตว์ให้ชาวบ้านเห็น แน่นอนว่าในชีวิตจริงเขาอาจแอบกินเนื้อบ้างก็ได้ เช่นเมื่อต้องคลุกคลีกับพระเถรวาทและถูกชวนไปกินอาหารที่ปรุงกันเอง สำหรับพระวัชรยาน การเน้นเรื่องความกรุณา (compassion) จะเกี่ยวโยงกับชีวิตประจำวันเช่นการกินอาหารด้วย ดังนั้น การรณรงค์ให้ไม่กินเนื้อสัตว์ นอกจากจะเป็นการสนับสนุนให้ไม่เกิดการฆ่าแล้ว ยังรวมถึงการต้อง “ไม่ทำร้ายจิตใจคนอื่นด้วยการไปซื้อเนื้อกินเนื้อสัตว์ให้ใครเห็น” ศีล VS วัฒนธรรม สำหรับพระเถรวาท การกินเนื้อสัตว์ไม่ได้ผิดศีล แต่การกินอาหารหลังเที่ยงวัน (ตีความมาจากคำว่า ยามวิกาล) ถือเป็นการละเมิดสิกขาบท สมมติว่า ถ้าพระฉันข้าวตอน 11.59 น. ถือว่าท่านยังรักษาศีลได้ดี แต่เมื่อท่านฉันเวลา 12.01 น. จะถือว่าท่านทำผิดวินัยทันที พูดง่ายๆ คือ การกินอาหารห่างกันแค่ 2 นาที จะเป็นตัวชี้วัดเลยว่า ท่านเป็นคนดีหรือไม่ดี เคารพหรือไม่เคารพพระวินัย การกำหนดเวลาเช่นนี้ดูจะไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย ในขณะที่มหายานและวัชรยาน พระฉันข้าวในตอนเย็นได้ เพราะเมื่อหิวก็กินอาหารเพื่อให้ไม่ทรมาน แต่ที่สำคัญคือ ท่านต้องไม่กินเนื้อสัตว์ เพื่อไม่เป็นการสนับสนุนการฆ่า เหตุผลนี้ดูจะฟังขึ้นกว่ามาก อย่างน้อยก็มีหลักการเรื่องความกรุณาหรืออหิงสามารองรับ ต่างจากเถรวาทที่เป็นการรักษาศีลด้วยความเชื่อล้วนๆ เน้นรักษาจารีตวัฒนธรรมหรืออัตลักษณ์โดยไม่ตั้งคำถาม Tenzin เพื่อนชาวทิเบตใน Majnu Ka Tilla บอกว่า “เวลาเห็นพระเถรวาทซื้อเนื้อหรือนั่งกินเนื้อสัตว์ ผมรู้สึกเหมือนเห็นยักษ์กำลังจับสัตว์กินต่อหน้าต่อตา” เมื่อพระอธิบายว่า “นั่นเป็นวัฒนธรรมของเถรวาท ซึ่งต่างจากวัฒนธรรมของฮินดูและวัชรยาน คุณควรเคารพวัฒนธรรมของเราเช่นกัน” เขาก็ตอบว่า “ในเมื่อท่านย้ายมาอยู่ในที่ต่างถิ่น ท่านควรศึกษาวัฒนธรรมและเคารพความรู้สึกของคนท้องถิ่นที่นี่บ้าง” หลวงพี่สุธี นศ.ปริญญาเอก ม.เดลี เล่าให้ฟังว่า “ผมก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงให้พระเถรวาทเข้าใจว่าการซื้อเนื้อและกินเนื้อเป็นเรื่องเลวร้ายแค่ไหนในสายตาของคนที่นี่ เพราะพวกเราชินกับการกินเนื้อสัตว์มาตลอด และยังวิจารณ์พวกกินเจว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิหรือสาวกพระเทวทัตด้วย” ร้านขายเนื้อในเมือง Dharamshala มักเป็นของคนอินเดีย ชาวทิเบตดูจะมีภาพลักษณ์ของคนไม่กินเนื้ออย่างมาก (แม้จะกินในที่ลับบ้าง) ส่วนใน Majnu Ka Tilla คนขายเนื้อ เช่น เนื้อวัว จะเป็นคนทิเบตเลย สันนิษฐานว่าอาจเพราะการอยู่ในเมืองหลวงซึ่งปรับตัวต่อความเป็นสมัยใหม่มากกว่า ทำให้เขาเปิดรับเรื่องการขาย/กินเนื้อได้มากขึ้น เช่นเดียวกับการแต่งกาย ใน Majnu Ka Tilla จะพบเห็นหญิงทิเบตแต่งกายเซ็กซี่บ้าง ขณะที่เมือง Dharmashala พวกเธอมักจะแต่งกายเรียบร้อยและเป็นชุดทิเบตด้วย แต่อย่างไรก็ตาม ร้านขายเนื้อของคนทิเบตก็มักจะอยู่ในที่ปกปิด ใน Majnu Ka Tilla พบได้อย่างน้อย 2 ร้าน ร้านแรกเขียนป้ายด้วยภาษาทิเบตและทำลูกศรชี้เข้าไปในซอยเล็กๆ เนื้อหาระบุว่า “ที่ .. โซนัมชาคัง .. มีทั้งเนื้อสดและเนื้อแห้ง” (ดูรูปที่ 3) นั่นคือเจาะจงกลุ่มลูกค้าชาวทิเบตที่อยู่แถวนั้นและอ่านภาษาทิเบตได้ ขณะที่อีกร้านหนึ่งอยู่ด้านใน ไม่มีป้าย มีแต่ตาชั่งวางไว้หน้าบ้าน เนื้อวัวบางส่วนถูกแขวนไว้แต่ก็ปิดด้วยกระสอบสีขาว ซึ่งคนแถวนั้นเท่านั้นที่จะรู้ว่าเขาขายเนื้อ (ดูรูปที่ 4) แน่นอนว่า ร้านเหล่านี้ได้รับอนุญาตอย่างถูกต้อง มีใบรับรองอาหารสะอาดด้วย รูปที่ 3:ป้ายร้านขายเนื้อที่ร้านจริงๆ อยู่ในซอยของ Majnu Ka Tilla รูปที่ 4:ร้านขายเนื้อในชุมชน ซึ่งไม่แขวนป้ายและใช้กระสอบปิดเนื้อสัตว์ไว้ บทส่งท้าย ขณะที่ชาวเถรวาทอาจมองว่าพระไม่ควรใช้เงินหรือซื้อของ คนฮินดูและวัชรยานไม่มีปัญหากับการเห็นพระไปซื้อของในตลาด ไม่ว่าจะไปในชุดพระหรือนุ่งกางเกงสวมเสื้อยืดไป หากเป็นการซื้อของทั่วไป เช่น ผัก ผลไม้ เสื้อผ้า กางเกงใน กระเป๋าสะพายบ่า ฯลฯ เพราะนั่นเป็นการใช้ชีวิตทั่วไปที่ไม่ได้กระทบกับจริยธรรมอะไร การซื้อขายก็ยังเป็นสัมมาอาชีพอีกด้วย (ดูรูปที่ 5) แต่การซื้อเนื้อและกินเนื้อกระทบต่อจริยธรรมและชีวิตของผู้อื่นโดยตรง นั่นคือช่วยขับเคลื่อนให้เกิดการฆ่าสัตว์มาขาย รูปที่ 5:พระภิกษุสะพายกระเป๋ากำลังซื้อผลไม้จากริมถนนที่ Majnu Ka Tilla ถ้ามองในมุมของมหายานและวัชรยาน พระดูจะเป็นมนุษย์มากกว่า ในแง่ที่พระก็ควรดำเนินชีวิตแบบเรียบง่าย ช่วยเหลือตัวเองได้ ทำงานได้ (เช่น ตามร้านค้าและโรงแรมของวัด) ถ้าจะคาดหวังในแง่คุณธรรม ก็ให้พระได้เป็นตัวอย่างของผู้ไม่เบียดเบียนและมีเมตตากรุณา ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการต้องไม่กินเนื้อสัตว์ ขณะที่ชาวเถรวาทจะมองพระว่าพิเศษกว่าคนทั่วไปตรงที่รักษาศีลบางข้อเพื่อสร้างอัตลักษณ์ โดยอธิบายไม่ได้ด้วยซ้ำว่าการทำเช่นนั้นจะเกิดประโยชน์อะไร เช่น ทำไมการกินอาหารตอนบ่ายโมงจึงผิด หรือทำไมการใส่เสื้อยึดนุ่งกางเกงขายาวจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ เราอาจมองว่า มุมมองข้างบนก็อคติตรงที่ใช้แว่นของมหายานมาตัดสินเถรวาทอยู่ดี ซึ่งก็แล้วแต่ว่าจะมองมุมไหน ผมแค่ต้องการสื่อให้เห็นว่า การไปอยู่ในวัฒนธรรมอื่นแล้วพยายามทำความเข้าใจวิธีคิดของเขา ปรับตัวเพื่อไม่ให้พฤติกรรมของเราทำร้ายจิตใจเขาถือเป็นเรื่องสำคัญ ที่ไม่เพียงแค่ช่วยให้เราใช้ชีวิตในสังคมใหม่ง่ายขึ้น แต่วัฒนธรรมใหม่ยังช่วยสะท้อนให้เราหันมาตั้งคำถามกับศีลหรือวัตรปฏิบัติของเราเองที่ทำมานานโดยไม่ค่อยได้ตั้งคำถามอีกด้วย         * บทความ * สังคม * วัฒนธรรม * ต่างประเทศ * พุทธวัชรยาน * พุทธศาสนา * เจษฎา บัวบาล
dlvr.it
September 23, 2025 at 2:30 PM
Reposted by นอนเช้าแต่นอนเยอะ
หวัดดีวันจันงับ

15.9.25
#endcutcomics
September 15, 2025 at 3:07 AM
Reposted by นอนเช้าแต่นอนเยอะ
"จ๊ะ นงผณี" ตอบชาวเน็ตเองปมอยู่กับแฟนไวไปไหม
.
#จ๊ะนงผณี #ข่าว #ข่าววันนี้
#เดลินิวส์ #เดลินิวส์ออนไลน์
September 15, 2025 at 5:05 AM
Reposted by นอนเช้าแต่นอนเยอะ
รัสเซียและลาวลงนามความร่วมมือ 7 ฉบับ รวมถึงแผนด้านพลังงานนิวเคลียร์
รัสเซียและลาวลงนามความร่วมมือ 7 ฉบับ รวมถึงแผนด้านพลังงานนิวเคลียร์ auser15 Sun, 2025-08-03 - 13:25 สื่อรัสเซียรายงานว่า รัสเซียและลาวลงนามเอกสารความร่วมมือ 7 ฉบับ ระหว่างการเยือนอย่างเป็นทางการของทองลุน สีสุลิด ประธานประเทศลาว เมื่อช่วงปลายเดือน ก.ค. 68 ซึ่งรวมถึงแผนงานความร่วมมือนิวเคลียร์ระหว่างโรซาตอม (Rosatom) บริษัทพลังงานนิวเคลียร์ของรัฐรัสเซีย และกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าของลาว วลาดิเมียร์ ปูติน (ซ้าย) ประธานาธิบดีรัสเซีย ให้การต้อนรับทองลุน สีสุลิด (ขวา) ประธานประเทศลาวและคณะ | ที่มาภาพ: Vientiane Times  สำนักข่าว TASS ของรัสเซีย รายงานว่า เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2568 รัสเซียและลาวได้ลงนามในเอกสารร่วม 7 ฉบับ ระหว่างการเยือนอย่างเป็นทางการของทองลุน สีสุลิด ประธานประเทศลาว ซึ่งรวมถึงแผนงานความร่วมมือในภาคนิวเคลียร์ระหว่างโรซาตอม (Rosatom) บริษัทพลังงานนิวเคลียร์ของรัฐรัสเซีย และกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าของลาว แอนนา ปอโปวา หัวหน้าหน่วยงานของรัฐบาลกลางรัสเซียด้านสุขภาพและสิทธิผู้บริโภค และทองสวรรค์ พรหมวิหาร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศลาว ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือเพื่อรับประกันสุขอนามัยและความเป็นอยู่ทางระบาดวิทยาของประชาชน เอกสารดังกล่าวกำหนดให้มีการวิจัยร่วมกันเกี่ยวกับโรคติดเชื้อ การให้ความช่วยเหลือด้านวัสดุและเทคนิคแก่ลาวในการต่อสู้กับการติดเชื้อ รวมถึงการฝึกอบรมผู้เชี่ยวชาญและการมีส่วนร่วมในกิจกรรมระหว่างประเทศ บันทึกความเข้าใจนี้มุ่งสนับสนุนสถานการณ์ทางระบาดวิทยาที่มั่นคงในรัสเซียและเพิ่มขีดความสามารถของลาวในด้านการต่อต้านโรคระบาด ในการลงนามครั้งนี้ ยังรวมถึงข้อตกลงความช่วยเหลือทางกฎหมายร่วมกันในกระบวนการพิจารณาคดีอาญา นอกจากนี้ มอสโกและเวียงจันทน์ยังได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ 5 ฉบับ ได้แก่ ความเข้าใจร่วมกันในด้านการคุ้มครองทรัพยากรน้ำ ความร่วมมือในด้านการศึกษาขั้นมัธยมศึกษา ความร่วมมือในภาคสุขอนามัยและระบาดวิทยา ความเข้าใจร่วมกันระหว่างสถาบันความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแห่งรัฐมอสโก (MGIMO) มหาวิทยาลัยแห่งชาติลาว และสถาบันความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ   * ข่าว * ต่างประเทศ * รัสเซีย * ลาว * พลังงานนิวเคลียร์
dlvr.it
August 3, 2025 at 6:28 AM
Reposted by นอนเช้าแต่นอนเยอะ
มาช่วยกันแก้ใน #GoogleMaps ทีค่ะ ไม่รู้ไปลักไก่ตอนไหนเอาปราสาทตาเมืองธมบอกว่าอยู่กัมพูชาเฉยเลยปราสาทตาเมืองธมเป็นของประเทศไทยมาตั้งแต่โคตรเหง้ากูตราบชั่วลูกชั่วหลานกูค่ะ
#GoogleMap #ปราสาทตาเมือนธม #ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย #ประเทศไทย #ไทยกับกัมพูชา
July 29, 2025 at 1:37 PM
Reposted by นอนเช้าแต่นอนเยอะ
On This Day - ‘โกตี๋’ ถูกบุกอุ้มตัวหน้าที่พัก ระหว่างลี้ภัยทางการเมืองใน สปป.ลาว
On This Day - ‘โกตี๋’ ถูกบุกอุ้มตัวหน้าที่พัก ระหว่างลี้ภัยทางการเมืองใน สปป.ลาว โยษิตา สินบัว รายงาน/ภาพ admin666 Tue, 2025-07-29 - 14:14 29 ก.ค. 2560 โกตี๋-วุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือ ‘สหายหมาน้อย’ นักเคลื่อนไหวและผู้ลี้ภัยทางการเมืองใน สปป.ลาว ถูกกลุ่มชายชุดดำที่พูดภาษาไทยได้บุกอุ้มตัวจากบริเวณหน้าที่พัก ขณะที่ผู้นำทางกองทัพไทยขณะนั้นปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ แม้เคยทำหนังสือขอส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนจากรัฐบาลลาวก็ตาม โกตี๋เป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมืองจากกลุ่ม ‘ปทุมธานีรักษ์ประชาธิปไตย’ ซึ่งก่อตั้งเพื่อต่อต้านรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และเคยทำหน้าที่เป็นการ์ดคนเสื้อแดงระหว่างการชุมนุมปี 2553 ก่อนจะผันตัวเป็นนักเคลื่อนไหวอิสระภายหลังการสลายการชุมนุมในปฏิบัติการขอคืนพื้นที่ โดยเขาเป็นที่รู้จักในฐานะผู้จัดวิทยุชุมชน REDGARD RADIO ในปี 2557 โกตี๋ตกเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับคดีมาตรา 112 จากการให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนต่างประเทศ และกลายเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับคดีก่อการร้าย จากการถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อเหตุระเบิดในกรุงเทพฯ หลายครั้ง หลังการรัฐประหารโดย คสช. โกตี๋ได้ลี้ภัยทางการเมืองเหมือนกับนักกิจกรรมอีกหลายราย โดยเขาไปอาศัยอยู่ที่ประเทศลาว และยังคงเคลื่อนไหวผ่านการทำสื่อออนไลน์อย่างต่อเนื่อง ด้วยบทบาทและรูปแบบการแสดงออกทางการเมือง โกตี๋กลายเป็นหนึ่งในบุคคลที่ คสช. ต้องการตัว โดยเมื่อ 7 เม.ย. 2560 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ได้สั่งการให้จัดทำหนังสือถึงหัวหน้ากรมสันติบาล สปป.ลาว เพื่อขอส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน แต่ยังไม่ทันมีความคืบหน้าก็เกิดเหตุโกตี๋ถูกบุกอุ้มตัวไปในวันที่ 29 ก.ค. 2560 30 ก.ค. 2560 จอม เพชรประดับ ผู้สื่อข่าวอิสระและผู้ลี้ภัยทางการเมืองในสหรัฐอเมริกา เผยแพร่ข้อมูลผ่านเฟซบุ๊กว่า โกตี๋ถูกกลุ่มชายชุดดำประมาณ 10 คน คลุมหน้าด้วยหมวกไหมพรมและมีอาวุธครบมือ บุกจับตัวขณะลงจากรถเพื่อเข้าบ้านพักในลาวพร้อมเพื่อนอีก 2 คน โดยกลุ่มชายชุดดำคาดว่าดักรออยู่ก่อนแล้ว เอาผ้าคลุมหน้า ยัดปาก และมัดมือทุกคน ก่อนลากเพื่อนของโกตี๋มาขังรวมกันไว้ภายในบ้าน แล้วแยกโกตี๋ไปขึ้นรถอีกคัน เพื่อนโกตี๋เล่าว่า กลุ่มชายชุดดำพูดภาษาไทยและใช้ที่ช็อตไฟฟ้าทำร้ายร่างกายพวกเขา พร้อมขู่ไม่ให้ส่งเสียง พวกเขายังได้ยินเสียงโกตี๋ร้องว่า “โอ๊ย หายใจไม่ออก” ก่อนเสียงจะเงียบลง   อ้างอิง * ปชป.เล็งแจ้งความทั่วประเทศ 'โกตี๋' หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ | ประชาไท * หายไปกับ "สายน้ำ" ปริศนา "โกตี๋" ในอุ้งมือชายชุดดำ * ผบ.ทบ.ไม่รู้ เรื่อง 'โกตี๋' โดนอุ้มหาย และไม่ขอวิจารณ์หวั่นกระทบลาว | ประชาไท * 'ประวิตร' สั่งส่งหนังสือถามทางการลาวติดตามตัว 'โกตี๋' | ประชาไท หมายเหตุ - ผลงานชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการปริญญานิพนธ์วารสารสนเทศและสื่อใหม่ (Senior Project) ของนิสิตภาควิชาวารสารสนเทศ คณะนิเทศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปีการศึกษา 2567 โดยมีผู้จัดทำคือ โยษิตา สินบัว * ข่าว * สิทธิมนุษยชน * on this day บันทึกกาลเมืองไทย * โกตี๋ * วุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ * สหายหมาน้อย * ผู้ลี้ภัย * คดีการเมือง
dlvr.it
July 29, 2025 at 7:21 AM
Reposted by นอนเช้าแต่นอนเยอะ
เครือข่ายกัญชาฯ ยื่น ป.ป.ช. ฟ้อง ‘สมศักดิ์’ ปมออกประกาศกระทรวงฯ เรื่องกัญชา
เครือข่ายกัญชาฯ ยื่น ป.ป.ช. ฟ้อง ‘สมศักดิ์’ ปมออกประกาศกระทรวงฯ เรื่องกัญชา auser15 Tue, 2025-07-29 - 14:45 สื่อ Hfocus รายงานว่าเครือข่ายเขียนอนาคตกัญชาไทยและประชาชนกัญชา ยื่นหนังสือ ป.ป.ช.ฟ้อง ‘รมว.สมศักดิ์’ พร้อมข้าราชการประจำ กรณีออกประกาศกระทรวงฯ เรื่องกัญชา มีความผิดตามประมวลกฎหมายมาตรา 157 และเตรียมยื่นหนังสือถึงนายกฯ ถอดถอน ‘สมศักดิ์’ ออกจาก รมว.สธ.วันที่ 30 ก.ค.นี้ 29 ก.ค. 2568 Hfocus รายงานว่า เครือข่ายเขียนอนาคตกัญชาไทย นำโดย น.ส.ช่อขวัญ คิตตี้ ช่อผกา ประธานเครือข่ายเขียนอนาคตกัญชาไทย และนายประสิทธิ์ชัย หนูนวล เลขาธิการเครือข่ายเขียนอนาคตกัญชาไทย เดินทางไปยังสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จ.นนทบุรี เพื่อยื่นหนังสือถึง ป.ป.ช.ร้อง นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) และคณะข้าราชการประจำที่เกี่ยวข้อง กรณีประกาศกระทรวงเรื่องกัญชา นายประสิทธิ์ชัย กล่าวว่า วันนี้เป็นไปตามนัดหมายเพื่อปฏิบัติการต่อสู้เรื่องกัญชา โดยวันนี้เดินทางมา ป.ป.ช.เพื่อฟ้อง รมว.สมศักดิ์ และคณะ  มี 3 กลุ่ม คือ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข และข้าราชการประจำเกี่ยวข้อง 2 กลุ่ม ทั้งนี้ เนื่องจากนายสมศักดิ์ เป็นข้าราชการการเมืองมีการปฏิบัติหน้าที่ที่ทำความเสียหายให้แก่ผู้อื่น เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายมาตรา 157 ซึ่งประกอบด้วยบุคคล 3 กลุ่มดังนี้ 1.นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข 2.ข้าราชการการเมืองที่เกี่ยวข้อง และ 3.ข้าราชการประจำที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งในวันที่ 30 ก.ค.2568 ตั้งแต่เวลา 10.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล ทางเครือข่ายฯจะเดินทางไปยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี เพื่อให้ถอดถอนนายสมศักดิ์ ออกจากตำแหน่ง รมว.สาธารณสุข “ก่อนหน้านี้เราได้เจรจากับกระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้ได้ตกลงใหม่เรื่องการปลูก ซึ่งภายในสัปดาห์นี้เราจะผลักดันให้ออกประกาศฯ ซึ่งอธิบดีและรองอธิบดีรับปากเรื่องการออกประกาศมาตรฐานการปลูก ที่ไม่สามารถมีมาตรฐานเดียว อย่างมาตรฐาน GACP เป็นมาตรฐานเดียว ซึ่งจะนำไปสู่การผูกขาดได้ ดังนั้น ภายในสัปดาห์นี้กระทรวงสาธารณสุขต้องออกประกาศนี้มา” นายประสิทธิ์ชัยกล่าว   ทั้งนี้ เครือข่ายเขียนอนาคตกัญชาไทย และประชาชนกัญชา ยังร่วมกันอ่านแถลงการณ์หน้า ป.ป.ช. ใจความว่า ตามที่นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเมื่อวันที่ 28 เม.ย.2567 เป็นบุคคลผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีที่จะต้องบริหารราชการแผ่นดินโดยความสุจริต เที่ยงธรรม สมกับการเป็นข้าราชการการเมืองซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงต่อประชาชนการบริหาราชการของนายสมศักดิ์ เทพสุทินในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขมิได้ปฏิบัติราชการให้เกิดความเที่ยงธรรมแต่กลับปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่น กล่าวคือ นายสมศักดิ์  ลงนามในประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง สมุนไพรควบคุม (กัญชา) พ.ศ.2568 ซึ่งประกาศดังกล่าวก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ 1. การตัดมาตรการคุ้มครองบุคคลที่ควรคุ้มครองออกจากประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับที่นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ลงนาม การตัดมาตรการคุ้มครองบุคคลก่อผลกระทบต่อประชาชน เพราะการคุ้มครองบุคคลเป็นหลักเกณฑ์พื้นฐานที่รัฐต้องกำหนดให้ชัดเจนว่ารัฐจะคุ้มครองบุคคลใด เพื่อให้การปฏิบัติของเจ้าหน้าที่เป็นไปอย่างมีประสิทธิผล รวมทั้งประชาชนสามารถรับรู้ร่วมกันว่ามีบุคคลที่กฎหมายคุ้มครองจากการเข้าถึงกัญชา ซึ่งส่งผลดีต่อการควบคุมทางสังคม 2. การเพิ่มข้อกำหนดการปลูกกัญชาขึ้นมาใหม่ ก่อผลกระทบต่อผู้ปลูกกัญชาซึ่งปฏิบัติตามกฎหมายประกาศกระทรวงปี2565 ตลอด3ปีที่ผ่านมา เมื่อมีข้อบังคับใหม่ทำให้กัญชาที่ปลูกขึ้นมาตามกฎหมายไม่สามารถนำมาจำหน่ายตามระบบที่ขออนุญาตไว้เดิมได้ ก่อความเสียหายแก่ร้านค้าที่ขออนุญาตถูกต้องตามกฎหมายนับหมื่นราย มูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจำนวนหลายล้านบาท 3. การบังคับใช้ประกาศกระทรวงเกิดขึ้นทันทีหลังการประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นเหตุให้ก่อผลกระทบรุนแรงต่อประชาชน เนื่องจากธุรกิจกัญชามีการลงทุนตั้งแต่หลักแสนไปจนถึงหลักร้อยล้าน และมีประชาชนขออนุญาตจำหน่ายกัญชาตามประกาศกระทรวงกระทรวงสาธารณสุขปี2565 จำนวนเกือบสองหมื่นราย เมื่อประกาศกระทรวงบังคับให้ดอกกัญชาที่จะจำหน่ายจะต้องเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนดทำให้ดอกกัญชาที่ผลิตของผู้รับอนุญาตเกือบสองหมื่นรายไม่สามารถจำหน่ายตามระบบได้ ก่อเกิดความเสียหายต่อประชาชน 4. การกำหนดมาตรฐานการปลูกในทางปฏิบัติกลับพบว่าไม่มีการประกาศจากกรมแพทย์ไทยฯ อย่างเป็นทางการว่ามาตรฐานตามที่ระบุในประกาศกระทรวงประกอบด้วยมาตรฐานใดบ้างเพื่อให้ประชาชนรับทราบโดยทั่วกัน แต่กลับมีพฤติกรรมด้วยการนำมาตรฐานการเพาะปลูกที่เรียกว่า GACP มาสื่อสารกันเฉพาะกลุ่มด้วยการจัดอบรมและออกใบอนุญาตให้กับคนเฉพาะกลุ่มดังกล่าวทำให้มีบุคคลเพียงกลุ่มเดียวที่ได้รับประโยชน์จากประกาศกระทรวงดังกล่าว ถือเป็นการเลือกปฏิบัติของข้าราชการที่เอื้ออำนวยประโยชน์ให้กับคนเพียงกลุ่มเดียว พฤติกรรมดังกล่าวมาได้แสดงเจตนาอย่างชัดแจ้งว่าเป็นการกระทำเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดในหลายด้านไม่จำกัดเฉพาะความเสียหายที่เป็นทรัพย์สินเท่านั้น ในฐานะผู้มีอำนาจบังคับใช้ประกาศกระทรวง ย่อมทราบสถานการณ์ของกัญชาเป็นอย่างดี การที่มีเจตนาออกประกาศกระทรวงเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการผลิตและการจำหน่ายแบบฉับพลันทันทีย่อมก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชน ทั้งที่ทราบดีอยู่แล้วก็ยังกระทำถือเป็นเจตนาพิเศษเพื่อก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชนและเอื้อประโยชน์แก่บุคคลบางกลุ่ม เพื่อให้การปฏิบัติงานของข้าราชการเป็นไปด้วยความสุจริตและเที่ยงธรรม ผู้กระทำความผิดได้รับการลงโทษตามกฎหมายและเป็นแบบอย่างของกระบวนการกำหนดนโยบายที่จะต้องดำเนินการตามกระบวนการที่ถูกต้องจึงขอให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติได้ไต่สวนและดำเนินการตามกฎหมายเพื่อเอาผิดแก่ข้าราชการผู้ไม่ปฏิบัติหน้าที่อย่างสุจริตและเที่ยงธรรม โดยกรณีของนายสมศักดิ์ เทพสุทินและคณะ เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายมาตรา 157 ซึ่งประกอบด้วยบุคคล 3 กลุ่มดังนี้ 1. นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข 2. ข้าราชการการเมืองที่เกี่ยวข้อง 3. ข้าราชการประจำที่เกี่ยวข้อง แถลงเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2568 สำนักงาน ปปช. เครือข่ายเขียนอนาคตกัญชาไทย ประชาชนกัญชา * ข่าว * สังคม * คุณภาพชีวิต * เครือข่ายเขียนอนาคตกัญชาไทย * ประชาชนกัญชา * Hfocus * กัญชา
dlvr.it
July 29, 2025 at 7:48 AM
Reposted by นอนเช้าแต่นอนเยอะ
Krysten Ritter Talks Returning As Jessica Jones In Upcoming Marvel Disney+ Series

whatsondisneyplus.com/krysten-ritt...
Krysten Ritter Talks Returning As Jessica Jones In Upcoming Marvel Disney+ Series
Next March, the hit series,
whatsondisneyplus.com
July 29, 2025 at 1:31 PM
Reposted by นอนเช้าแต่นอนเยอะ
‘ทีมไทยแลนด์’ หารือภาษีทรัมป์ พิชัยเผย 3 ข้อเงื่อนไขเจรจา เผยทักษิณร่วมวงให้คำแนะนำ
‘ทีมไทยแลนด์’ หารือภาษีทรัมป์ พิชัยเผย 3 ข้อเงื่อนไขเจรจา เผยทักษิณร่วมวงให้คำแนะนำ ภาพปก: พิชัย ชุณหวชิร จากเว็บไซต์รัฐบาลไทย (แฟ้มภาพ) See Think Fri, 2025-07-11 - 17:50 ‘ทีมไทยแลนด์’ หารือภาษีทรัมป์ที่บ้านพิษณุโลก ‘พิชัย’ รองนายกฯ และรมว.คลัง เผย 3 ข้อเจรจาสหรัฐฯ ยืนยันไม่ทำให้ไทยเสียเปรียบคู่แข่ง-ยอมรับเป็นคนเชิญทักษิณมาร่วมวงคุยวันนี้เพื่อให้คำแนะนำ วันนี้ (11 ก.ค.) สำนักข่าวไทยรายงานว่ามีการประชุมทีมเศรษฐกิจ “ทีมไทยแลนด์” ที่บ้านพิษณุโลก นำโดย พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อหารือแนวทางจัดทำข้อเสนอเพิ่มเติมในการเจรจากับสหรัฐอเมริกา หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีหนังสือแจ้งเตือนการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยในอัตรา 36% ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2568 การประชุมครั้งนี้มีหน่วยงานหลักด้านเศรษฐกิจเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง โดย อรรถกร ศิริลัทยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ระบุ​ว่า​ เข้าร่วมประชุมด้วย เนื่องจากสินค้าทางการเกษตรและอาหารหลายรายการที่ส่งออกไปสหรัฐ อาจได้รับผลกระทบจากภาษีดังกล่าว จตุพร บุรุษพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักด้านการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้ปลัดกระทรวงพาณิชย์และคณะทำงานเร่งประชุมตั้งแต่ไทยได้รับหนังสือแจ้งภาษี เพื่อเตรียมข้อมูลเชิงลึกในการเจรจา รวมถึงร่างมาตรการช่วยเหลือภาคส่วนต่าง ๆ ที่ได้รับผลกระทบโดยเฉพาะผู้ประกอบการรายย่อย ทางด้านสำนักข่าวเดอะรีพอร์ตเตอร์ไลฟ์สด พิชัย รมว.คลัง แถลงข่าวภายหลังการประชุม โดยพิชัยระบุว่า การประชุมครั้งนี้เป็นการหารือกันจากที่เมื่อวานนี้ (10 ก.ค.) ตนได้เรียกประชุมภาคอุตสาหกรรม สภาอุตสาหกรรม สภาหอการค้า ถึงผลกระทบที่คาดการณ์ว่าจะได้รับและมาตรการรองรับ โดยแยกเป็นหมวดๆ ไป จากการพูดคุยดังกล่าวก็ได้ข้อมูลเยอะพอสมควรให้กลับไปทำการบ้าน  คงจะได้ก่อนวันจันทร์นี้ เพื่อจะดูว่าผลกระทบของแต่ละ sector เป็นอย่างไร เพื่อให้การทำงานระหว่างภาครัฐและเอกชนเป็นไปอย่างเรียบร้อย พิชัยกล่าวย้ำว่าการที่สหรัฐฯ ส่งจดหมายมานั้นเป็นการเลื่อนเวลา ส่วนของขั้นตอนการเจรจายังไม่สิ้นสุด ในวันนี้ก็มีการทบทวนกัน เรามีเวลาถึงวันที่ 1 ส.ค. เพื่อให้ได้ข้อยุติกับสหรัฐฯ พิชัยกล่าวถึงแนวทางการเจรจาว่ามี 3 ข้อ * การนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ต้องไม่ให้ได้รับผลกระทบต่อผู้ผลิตในประเทศทั้งภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมรายย่อย * การนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ต้องมีวิธีการกำกับดูแลให้ทั่วถึง ไทยจะใช้โอกาสนี้ทบทวนตัวเองเรื่องการกำกับดูสินค้าให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นทั้งขาเข้าและขาออก * มาตรการดูแลผู้ได้รับผลกระทบจากการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ เรื่องหลักการมีกำหนดกว้างๆ ไว้แล้ว เหลือไปทำการบ้านในรายละเอียด เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีการหารือในวันนี้ที่มีทักษิณเข้ามาด้วย พิชัยตอบว่า ตนเป็นผู้เชิญทักษิณมาเอง เนื่องจากทักษิณเป็นคนรู้เรื่องเหล่านี้ดี น่าจะให้ข้อคิดเห็นที่ดี เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่เวียดนามได้อัตราภาษีที่ 20% ทำให้เอกชนเป็นห่วงว่าถ้าเราได้มากกว่า 20% อาจทำให้ได้รับผลกระทบจากประเทศคู่แข่ง ตรงนี้เรามีมาตรการอย่างไร พิชัยตอบว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราคุยกันว่าเราจะทำให้ดีที่สุด สิ่งที่ทำก็มีหลายเรื่อง ไม่ใช่มีแต่เรื่องอัตราภาษี มีเรื่องอื่นๆ ประกอบด้วย หวังว่าไม่ให้เกิดการเสียเปรียบ อีกประเภทหนึ่งคือสินค้าผ่านทาง หมายถึงสินค้าที่นำเข้าเพื่อมาประกอบ ในวันนี้เราเชื่อว่าประเทศไทยเริ่มเข้มงวดมากกว่าถ้าเทียบกับประเทศอื่นๆ  จึงทำให้ไม่น่าจะได้รับผลกระทบเยอะในส่วนนี้ สำนักข่าวไทยรายงานคำพูดพิชัยกล่าวว่า จะสรุปข้อมูลที่ได้ประชุมกัน รวมถึงที่ได้หารือกับภาคเอกชน ในวันจันทร์ที่ 14 กรกฎาคมนี้ ว่ามีข้อเสนอใดที่จะต้องปรับปรุงเพื่อยื่นข้อเสนอเพิ่มเติมอีกหรือไม่ จากเดิมที่เคยเสนอสหรัฐไปแล้วเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม และจะหาโอกาสในการพูดคุยทางออนไลน์กับผู้ปฏิบัติว่ายังต้องการอะไรอีก เพื่อทำความเข้าใจกันก่อน และปรับปรุงข้อเสนออีกเล็กน้อย หากจำเป็นก็พร้อมจะเดินทางไปพูดคุย ทั้งนี้ พิชัย ยังระบุว่าสหรัฐต้องการเจรจาภาษีเกือบทุกตัวสินค้าและผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะสินค้าทางการเกษตร แม้จะมีมูลค่าไม่มากแต่ที่เกี่ยวพันกับคนหมู่มากอาจให้ความสนใจมากหน่อย เดอะรีพอร์ตเตอร์รายงานว่า ก่อนที่พิชัยจะแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้เดินทางออกจากบ้านพิษณุโลก โดยปรากฏภาพ ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า ประธานที่ปรึกษาพรรคกล้าธรรม พร้อมด้วย จตุพร บุรุษพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์, อรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เดินลงมาส่งทักษิณภายหลังการหารือร่วมกัน   * ข่าว * การเมือง * เศรษฐกิจ * ต่างประเทศ * มาตรการภาษีทรัมป์ * สหรัฐอเมริกา * พิชัย ชุณหวชิร
dlvr.it
July 11, 2025 at 11:00 AM
Reposted by นอนเช้าแต่นอนเยอะ
Comics - Movies
July 4, 2025 at 12:46 AM
Reposted by นอนเช้าแต่นอนเยอะ
"กรมอุตุนิยมวิทยา" เผย ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน และภาคตะวันออก มีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง อาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม กทม. มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 70 ของพื้นที่

อ่านต่อได้ที่ : www.dailynews.co.th/news/4881779/
#สภาพอากาศ #พยากรณ์อากาศ #เดลินิวส์ #เดลินิวส์ออนไลน์
July 4, 2025 at 1:29 AM
Reposted by นอนเช้าแต่นอนเยอะ
แรงงานทาส-ค้ามนุษย์-ทรมาน: เปิด “ศูนย์สแกมเมอร์” กัมพูชา ฟังเสียงหลายสิทธิที่ถูกละเมิด
แรงงานทาส-ค้ามนุษย์-ทรมาน: เปิด “ศูนย์สแกมเมอร์” กัมพูชา ฟังเสียงหลายสิทธิที่ถูกละเมิด auser15 Tue, 2025-07-01 - 19:07 เนื่องใน "วันต่อต้านการทรมานสากล" (International Day in Support of Victims of Torture) ที่องค์การสหประชาชาติประกาศไว้เพื่อรำลึกถึงความเจ็บปวดของเหยื่อที่เคยถูกทรมาน และเพื่อย้ำเตือนว่า "ไม่มีข้ออ้างใดที่ทำให้การทรมานเป็นเรื่องยอมรับได้" แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ได้เปิดตัวรายงานฉบับล่าสุด ที่มีชื่อว่า “ฉันคือทรัพย์สินของคนอื่น: การเป็นทาส การค้ามนุษย์ และการทรมานในศูนย์สแกมเมอร์ของกัมพูชา” (I Was Someone Else’s Property: Slavery, Human Trafficking and Torture in Cambodia’s Scamming Compounds) ซึ่งมีเนื้อหาว่าด้วยศูนย์สแกมเมอร์ในกัมพูชา ที่เต็มไปด้วยการละเมิดสิทธิมนุษยชนหลายรูปแบบ โดยที่เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นไม่สามารถรับมือได้ ขณะที่รัฐบาลกัมพูชายังเพิกเฉยต่อความโหดร้ายเหล่านี้ ที่เกิดขึ้นในศูนย์สแกมเมอร์กว่า 50 แห่งทั่วกัมพูชา แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล รายงานว่า ย้อนไปเมื่อราวปี 2553 การพนันเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายในประเทศกัมพูชา คาสิโนและโรงแรมที่ผุดขึ้นเป็นจำนวนมากกลายเป็นแหล่งการพนันยอดนิยมของนักเสี่ยงโชค เช่นเดียวกับกลุ่มอาชญากร ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวจีน ที่สามารถทำเงินได้อย่างมหาศาลจากธุรกิจสีเทานี้ อย่างไรก็ตาม ใน พ.ศ. 2562 รัฐบาลกัมพูชาสั่งห้ามการพนันออนไลน์ ธุรกิจบ่อนการพนันจึงแปรรูปไปสู่ธุรกิจอย่าง “สแกมเมอร์” หรือการหลอกลวงทางออนไลน์ ซึ่งสร้างเม็ดเงินหลายล้านเหรียญสหรัฐเข้ากระเป๋าอาชญากรเหล่านี้ อาคารคาสิโนและโรงแรมถูกปรับเปลี่ยนเป็น “ศูนย์สแกมเมอร์” (scamming compounds) ที่ทำหน้าที่เป็นทั้งที่อยู่อาศัย ที่ทำงาน รวมไปถึงเป็นพื้นที่ที่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง ใครจะรู้ว่า บรรดาข้อความสแกมที่พวกเราได้รับและสร้างความรำคาญใจอยู่ทุกวันนี้ ส่วนใหญ่มาจาก “เหยื่อ” ของการละเมิดสิทธิมนุษยชนหลายรูปแบบ ทั้งการกักขัง ทรมาน แรงงานทาส ไปจนถึงการค้ามนุษย์ “ฉันคือทรัพย์สินของคนอื่น” เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2568 ซึ่งตรงกับ "วันต่อต้านการทรมานสากล" (International Day in Support of Victims of Torture) ที่องค์การสหประชาชาติประกาศไว้เพื่อรำลึกถึงความเจ็บปวดของเหยื่อที่เคยถูกทรมาน และเพื่อย้ำเตือนว่า "ไม่มีข้ออ้างใดที่ทำให้การทรมานเป็นเรื่องยอมรับได้" แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ได้เปิดตัวรายงานฉบับล่าสุด ที่มีชื่อว่า “ฉันคือทรัพย์สินของคนอื่น: การเป็นทาส การค้ามนุษย์ และการทรมานในศูนย์สแกมเมอร์ของกัมพูชา” (I Was Someone Else’s Property: Slavery, Human Trafficking and Torture in Cambodia’s Scamming Compounds) ซึ่งมีเนื้อหาว่าด้วยศูนย์สแกมเมอร์ในกัมพูชา ที่เต็มไปด้วยการละเมิดสิทธิมนุษยชนหลายรูปแบบ โดยที่เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นไม่สามารถรับมือได้ ขณะที่รัฐบาลกัมพูชายังเพิกเฉยต่อความโหดร้ายเหล่านี้ ที่เกิดขึ้นในศูนย์สแกมเมอร์กว่า 50 แห่งทั่วกัมพูชา แอมเนสตี้ใช้เวลากว่า 18 เดือน ในการลงพื้นที่ และสัมภาษณ์ผู้รอดชีวิตจากศูนย์สแกมเมอร์ จำนวน 58 คน ประกอบด้วยชาวไทย 24 คน ชาวจีน 20 คน และประเทศอื่น เช่น มาเลเซีย บังกลาเทศ เวียดนาม อินโดนีเซีย ไต้หวัน และเอธิโอเปีย ซึ่งเป็นผู้ที่หลบหนีออกมา ได้รับการช่วยเหลือ หรือครอบครัวจ่ายค่าไถ่ให้ปล่อยตัว และเข้าถึงเอกสารกว่า 300 ฉบับ เกี่ยวกับผู้ที่ถูกกักขังในศูนย์สแกมเมอร์และหนีออกมาเพื่อขอความช่วยเหลือ รวมถึงได้รับความร่วมมือจากองค์กรท้องถิ่นและองค์กรระหว่างประเทศ 20 แห่ง ส่วนใหญ่เป็นองค์กรที่ทำงานด้านการต่อต้านการค้ามนุษย์ และพูดคุยกับพยานที่ทำงานหรืออาศัยอยู่ใกล้ศูนย์สแกมเมอร์ ก่อนจะตีพิมพ์เป็นรายงานความยาว 240 หน้า มอนต์เซ เฟอร์เรอร์ ผู้อำนวยการภูมิภาคฝ่ายวิจัย แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวในการเปิดตัวรายงานว่า รายงานฉบับนี้ประกอบด้วยข้อค้นพบที่น่าสนใจ 3 ประเด็นหลัก ได้แก่ (1) ขนาดของวิกฤตด้านสิทธิมนุษยชน (2) การละเมิดสิทธิมนุษยชนภายในศูนย์สแกมเมอร์ และ (3) บทบาทของรัฐที่ไม่ได้จัดการแก้ไขปัญหาอย่างเพียงพอ ขนาดของวิกฤตด้านสิทธิมนุษยชน ข้อค้นพบนี้หมายถึงการ “ปักหมุด” สถานที่ตั้งของศูนย์สแกมเมอร์ และลักษณะของศูนย์เหล่านี้ ซึ่งมีองค์ประกอบที่เห็นได้ชัด 2 ประการ ได้แก่ การเป็นสถานที่ที่ผู้คนมารวมตัวกันเพื่อทำงานออนไลน์สแกมมิง และมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนปรากฏในสถานที่ดังกล่าว ทั้งแรงงานทาส การค้ามนุษย์เพื่อเป็นทาส การใช้แรงงานเด็ก การทรมาน และอื่นๆ โดยนักวิจัยของแอมเนสตี้ได้ลงพื้นที่ศูนย์สแกมเมอร์ทั้งหมด 53 แห่งใน 16 เมือง ทั่วประเทศกัมพูชา รวมทั้งตรวจสอบสถานที่คล้ายกันอีก 45 แห่งที่ต้องสงสัยว่าเป็นศูนย์สแกมเมอร์ “อาคารเหล่านี้แบ่งออกอย่างกว้างๆ ได้ 2 แบบ คือแบบที่นำอาคารเก่ามาปรับใช้ ดังนั้นอาคารดังกล่าวจะเคยเป็นอย่างอื่นมาก่อนที่จะกลายเป็นศูนย์สแกมเมอร์ และถูกนำมาปรับโครงสร้างพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้งระบบความปลอดภัยเพิ่มเติม เช่น ลวดหนาม กล้องวงจรปิด และกลุ่มอาคารอีกแบบหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นด้วยวัตถุประสงค์บางอย่างที่ไม่ชัดเจนว่าข้างในใช้ทำอะไร แต่ที่แน่ๆ คือมีไว้กักขังคน” ที่ตั้งของศูนย์สแกมเมอร์ที่ทีมวิจัยสามารถระบุได้มักจะเป็นที่ตั้งที่เห็นได้อย่างเด่นชัด ตัวอาคารประกอบไปด้วยรูปแบบที่เรียกว่า “ลักษณะของความปลอดภัยในเชิงกายภาพและเชิงองค์กร” กล่าวคือ ศูนย์สแกมเมอร์เกือบทุกแห่งจะปรากฏลักษณะด้านความปลอดภัยทางกายภาพที่ชี้ให้เห็นถึงเจตนาในการกักขังผู้คน ไม่ว่าจะเป็นกำแพง ลวดหนาม ลวดไฟฟ้า และกล้องวงจรปิดที่หันเข้าด้านใน รวมทั้งลูกกรงที่สูงกว่าระดับถนน นอกจากนี้ยังมีหอสังเกตการณ์ที่ออกแบบมาให้เหมือนกับโครงสร้างของเรือนจำ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันคนข้างในหนีออกมา รวมทั้งมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย หรือ “ผู้คุม” ประจำการอยู่ที่ประตูใหญ่ และในจุดอื่นๆ แน่นอนว่า ไม่ใช่เพื่อคอยระวังผู้บุกรุกจากภายนอก แต่ดูเหมือนว่าจะทำหน้าที่ควบคุมและสอดส่องผู้ที่อยู่ข้างในมากกว่า “สาเหตุที่เราต้องระบุลักษณะของโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้มี 2 ประการ คือ หนึ่ง ลักษณะของอาคารจะให้ ‘พิมพ์เขียว’ หรือแบบแผนเพื่อให้เราและคนอื่นๆ สามารถดำเนินการสืบสวนต่อ แต่เหตุผลที่สอง และเป็นจุดที่เราจะเข้าสู่ข้อค้นพบที่สอง เกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชน ลองจินตนาการถึงสถานที่เหล่านี้ คุณออกไปไหนไม่ได้ กำแพงสูงเกินกว่าคุณจะปีนไหว และมีผู้คุมกระจายตัวอยู่ ในบางกรณี ผู้คุมกว่าร้อยคนที่เราสังเกตได้และได้ข้อมูลจากผู้รอดชีวิต มักจะคอยจับตาดูคุณในทุกอิริยาบถ นี่คือสถานที่ที่ผู้ให้สัมภาษณ์บอกเราว่าพวกเขาถูกกักขัง” มอนต์เซอธิบาย การละเมิดสิทธิมนุษยชน: ทรมาน แรงงานทาส ค้ามนุษย์ ฯลฯ “ผู้จัดการศูนย์บอกผมว่า ผมไม่มีทางออกจากที่นี่ไปได้ ไม่ใช่ภายในหนึ่งหรือสองปี” ชายชาวจีนคนหนึ่งให้สัมภาษณ์กับทีมวิจัย คำพูดของเขาสะท้อนให้เห็นสิ่งที่เรียกว่า “บรรยากาศแห่งความหวาดกลัว” (Climate of Fear) ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลให้ผู้เสียหายไม่กล้าหนีออกมาจากศูนย์เหล่านั้น “บรรยากาศแห่งความกลัวนี้จะถูกป้อนให้กับผู้เสียหายตั้งแต่วันแรก อาจจะเป็นช่วงเวลาที่พวกเขามาถึงศูนย์สแกมเมอร์ หรืออาจจะเริ่มตั้งแต่พวกเขาถูกพาขึ้นรถมาจากประเทศบ้านเกิดด้วยความคิดว่าจะไปทำงานในโรงงาน ไปจนกระทั่งช่วงที่พวกเขาหลบหนีหรือได้รับการช่วยเหลือ ผู้คนเหล่านี้จะอยู่กับความกลัวตลอดเวลา” ทันทีที่มาถึง ทุกคนที่เราสัมภาษณ์ต้องทำงานส่วนใหญ่เป็นออนไลน์สแกมมิง แต่มีบางคนที่มีหน้าที่ไม่ชัดเจน เช่น ผู้ให้สัมภาษณ์คนหนึ่งต้องใช้ใบหน้าในการเปิดบัญชี อย่างไรก็ตาม ทุกคนถูกบังคับให้ทำงาน ไม่มีใครได้รับค่าจ้างที่เป็นธรรม และส่วนมากไม่ได้รับค่าจ้าง สิ่งที่เป็นปัญหาที่สุดคือ ทุกคนรู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถปฏิเสธได้ พวกเขาไม่สามารถปฏิเสธงานที่ถูกสั่งให้ทำ หลายคนไม่มีพาสปอร์ตหรือบัตรประชาชน ส่วนผู้ที่มีพาสปอร์ต พาสปอร์ตจะถูกยึด ทำให้พวกเขาต้องเข้าสู่บรรยากาศแห่งความกลัว การสอดส่อง และรู้สึกว่าตัวเองหนีไปไหนไม่ได้ การละเมิดสิทธิมนุษยชนภายในศูนย์สแกมเมอร์มีหลายรูปแบบ และมีความทับซ้อนกัน ผู้เสียหายแต่ละคนจะต้องทนทุกข์กับการถูกละเมิดสิทธิมากกว่า 1 อย่าง นับตั้งแต่การกักขัง ซึ่งถือเป็นการลดทอนเสรีภาพของบุคคล ผู้ให้สัมภาษณ์ทุกคนและผู้เสียหายทุกคนต่างให้การว่าพวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้ออกมาข้างนอก ประตูของศูนย์มักจะมีผู้คุมคอยดูแลอยู่ การทรมานและการปฏิบัติที่โหดร้าย ผู้เสียหาย 40 คนจาก 58 คนถูกการทรมานและการปฏิบัติที่โหดร้ายอื่นๆ ซึ่งเกือบทั้งหมดกระทำโดยผู้จัดการศูนย์ บางคนถูกตีด้วยดัมเบล บางคนถูกตีด้วยกระบองไฟฟ้า ศูนย์บางแห่งจะมีห้องที่เรียกว่า “ห้องมืด” สำหรับทรมานผู้ที่ไม่ยอมทำงาน ไม่สามารถทำงาน ทำงานไม่ได้ตามเป้า หรือพยายามติดต่อเจ้าหน้าที่ ลิซา (นามสมมติ) หนึ่งในผู้เสียหายชาวไทย เล่าว่าเธอเคยพยายามหนีออกจากศูนย์สองครั้ง และครั้งที่สองที่เธอถูกจับได้ เธอถูกนำตัวเข้าไปในห้องมืด และถูกทุบส้นเท้าด้วยแท่งเหล็กเป็นเวลานานหลายชั่วโมง เธอขยับตัวไม่ได้ และต้องนอนติดเตียงนานถึง 3 สัปดาห์ การค้ามนุษย์ ผู้เสียหายจำนวนมากถูกล่อลวงจากโฆษณารับสมัครงาน ซึ่งระบุว่าเป็นงานที่ค่าตอบแทนสูง มีตำแหน่งว่างที่ต้องการรับคนด่วน หรือเป็นงานที่ทำในต่างประเทศ ที่โพสต์ในโซเชียลมีเดียอย่าง Telegram, Facebook, Tiktok เป็นต้น คำโฆษณาเหล่านี้ดึงดูดผู้คนที่ต้องการหารายได้มาจุนเจือครอบครัว หรือมองหาโอกาสในการทำงานที่ดีกว่าในชุมชนหรือในเมืองของตัวเอง ลิซาก็เป็นผู้หนึ่งที่ถูกล่อลวงมาทำงาน เธอเล่าว่า ผู้ค้ามนุษย์เหล่านี้บอกว่าเธอจะได้ทำงานธุรการ เงินเดือนสูง และส่งรูปโรงแรมที่มีสระว่ายน้ำมาให้ ทว่าเมื่อมาทำงานจริง เธอกลับไม่เคยเห็นสระว่ายน้ำที่ว่า เธอถูกลักลอบพาข้ามแดนในตอนกลางคืน พาสปอร์ตถูกยึด จากนั้นเธอถูกกักขังนาน 11 เดือน และถูกบังคับให้ทำงานสแกมเมอร์ รวมทั้งถูกบังคับส่งตัวไปยังศูนย์สแกมเมอร์อื่นๆ อีก 7 แห่ง ก่อนที่จะถูกนำมาทิ้งไว้กลางทุ่งนา นอกจากนี้ ในกลุ่มผู้เสียหายที่ให้สัมภาษณ์ มีเด็กรวมอยู่ด้วย 9 คน เด็กหญิงชาวจีนวัย 14 ปี 2 คน ให้การว่า พวกเธอถูกบังคับให้ดูวิดีโอคนถูกทรมาน และถูกข่มขู่ให้ทำงาน นอกจากนี้ ผู้ค้ามนุษย์คนแรกที่รู้อายุของพวกเธอยังบอกให้พวกเธอโกหกเรื่องอายุของตัวเองในวันแรกที่มาถึงศูนย์ และหากมีคนรู้อายุจริงของพวกเธอ พวกเธอจะไม่ได้กลับบ้าน แรงงานทาส มอนต์เซกล่าวว่า การบังคับเป็นทาสถือเป็นอาชญากรรมและการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่ร้ายแรง ทีมวิจัยของแอมเนสตี้มั่นใจว่าผู้เสียหายที่ให้สัมภาษณ์นั้นถูกบังคับให้เป็นแรงงานทาส มีผู้เสียหายจำนวนมากที่รู้ตัวว่าถูกขาย หรือได้ยินว่าตัวเองถูกขาย ซึ่งหมายความว่าพวกเขาไม่อาจกำหนดอนาคตหรือแม้กระทั่งร่างกายของตัวเองได้เลย “ประเด็นหนึ่งที่เราได้บันทึกไว้ คือหนี้สินผูกมัด (debt bondage) มีผู้ที่เดินทางไปถึงที่ตั้งของศูนย์และได้รับแจ้งตั้งแต่เริ่มต้นว่า ‘เราเพิ่งจ่ายเงิน 5,000 เหรียญสหรัฐ สำหรับการพาแกมาที่นี่จากจีน ไทย หรือเวียดนาม ตอนนี้หนี้ของแกคือ 5,000 เหรียญสหรัฐ และแกจะออกไปจากที่นี่ไม่ได้จนกว่าจะใช้หนี้หมด’” “ในหลายกรณี เมื่อผู้เสียหายถูกย้ายไปยังศูนย์อื่นๆ หนี้ก็จะเพิ่มขึ้น ดังนั้น หากคุณมีหนี้อยู่ 4,000 เหรียญสหรัฐ และถูกขายไปยังศูนย์อื่นๆ คุณอาจจะมีหนี้เพิ่มเป็น 10,000 เหรียญ และผู้เสียหายจำนวนมากถูกขายจากศูนย์สแกมเมอร์หนึ่งไปยังศูนย์สแกมเมอร์อื่นๆ” มอนต์เซระบุ บทบาทของรัฐที่ไม่ได้จัดการแก้ไขปัญหาอย่างเพียงพอ ข้อค้นพบประการสุดท้ายที่นับว่าเป็นปัญหา คือความล้มเหลวของรัฐกัมพูชาในการสืบสวนสอบสวนกรณีสแกมเมอร์ และการระบุตัวตนของเหยื่อ เพื่อช่วยเหลือและปกป้องอย่างทันท่วงทีและมีประสิทธิภาพ หลายครั้งที่ผู้ที่ถูกกักขังอยู่ภายในศูนย์พยายามขอความช่วยเหลือจากบุคคลหรือองค์กรต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน สื่อมวลชน เจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือสถานกงสุล ทว่าเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจนำกำลังไปยังศูนย์สแกมเมอร์เพื่อ “ช่วยเหลือ” กลับไม่ได้เข้าไปภายในศูนย์ มีเพียงการบอกให้ผู้จัดการศูนย์นำตัวผู้เสียหายออกมาส่งให้เจ้าหน้าที่เท่านั้น “เจ้าหน้าที่ไม่ได้เข้าไปภายในศูนย์ และควบคุมการนำกำลังเข้าตรวจค้น สังเกตการณ์สิ่งที่ต้องสังเกต พร้อมทั้งระบุตัวผู้เสียหายจำนวนเป็นร้อยเป็นพัน และปฏิบัติการต่างๆ ไม่เลย ไม่มีการจับกุมตัวใดๆ” มอนต์เซกล่าว ผู้รอดชีวิตบางรายระบุว่าถูกลงโทษและถูกซ้อมหลังผู้จัดการรู้ว่าพวกเขาพยายามติดต่อตำรวจเพื่อขอความช่วยเหลืออย่างลับๆ ผู้รอดชีวิตชาวเวียดนามคนหนึ่งบอกแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลว่า ตำรวจ “ทำงานให้ศูนย์และจะรายงานคำขอความช่วยเหลือให้หัวหน้าศูนย์” จารุวัฒน์ จิณห์มรรคา ตัวแทนจากองค์กรต่อต้านการค้ามนุษย์ มูลนิธิอิมมานูเอล ที่มุ่งช่วยเหลือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ กล่าวถึงอุปสรรคในการช่วยเหลือผู้เสียหายจากศูนย์สแกมเมอร์ว่า ก่อนหน้านี้ ทางมูลนิธิเคยประสานงานกับเจ้าหน้าที่กัมพูชา ทว่าเจ้าหน้าที่ทำได้เพียงติดต่อผู้จัดการศูนย์สแกมเมอร์ให้พาตัวผู้เสียหายออกมา เมื่อผู้จัดการนำตัวผู้เสียหายมาส่งให้เจ้าหน้าที่ และถ่ายวิดีโอขณะผู้เสียหายออกจากตึกและส่งตัวให้ตำรวจ จากนั้นผู้จัดการก็นำตัวผู้เสียหายกลับเข้าไปในศูนย์ เพื่อทำร้ายร่างกายในห้องมืด “เราเห็นแล้วว่ากระบวนการแบบนี้มันไม่ใช่การช่วยเหลือ มันคือการเพิ่มอันตรายให้เขามากขึ้น เราก็เลยตัดสินใจไม่ขอความช่วยเหลือจากทางการกัมพูชา แต่กระบวนการช่วยเหลือของเราก็คือ ใครที่หนีออกมาได้ หรือใครที่เขาปล่อยทิ้งตามที่ต่างๆ ตามทุ่งนาหรือแหล่งชุมชน ใครที่ปล่อยให้นอนอยู่ข้างถนน ใครที่เดินมาชนด่าน เราช่วยเหลือ นำมาคัดกรอง สอบถาม เพื่อให้เขาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมได้” จารุวัฒน์เล่า มอนต์เซระบุว่า ในจำนวนศูนย์สแกมเมอร์ทั้ง 53 แห่ง มีอยู่อย่างน้อย 21 แห่ง ที่เจ้าหน้าที่รัฐเข้าตรวจค้น และทุกแห่งมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนหลังจากที่เจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้น ยิ่งกว่านั้น ในบรรดาศูนย์สแกมเมอร์ 53 แห่งนี้ มีเพียง 2 แห่ง ที่ถูกสั่งปิด แม้รัฐบาลกัมพูชาจะอ้างว่ามีความพยายามแก้ปัญหาสแกมเมอร์ผ่านคณะกรรมการต่อต้านการค้ามนุษย์กัมพูชา (National Committee to Combat Human Trafficking - NCCT) และคณะทำงานระดับกระทรวงหลายชุดที่ควบคุมตำรวจในการ “ช่วยเหลือ” เหยื่อจากศูนย์สแกมเมอร์หลายครั้ง อย่างไรก็ตาม ศูนย์สแกมเมอร์กว่า 2 ใน 3 ที่ระบุในรายงานยังคงดำเนินการอยู่ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลส่งข้อค้นพบไปยัง NCCT ทว่ากลับได้รับคำตอบที่ไม่ชัดเจนไม่มีการชี้แจงว่ารัฐได้ระบุข้อมูล สืบสวน หรือดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดฐานละเมิดสิทธิมนุษยชนอื่นใด นอกจากการลิดรอนเสรีภาพ ทั้งยังไม่อธิบายชี้แจงข้อมูลรายชื่อศูนย์สแกมเมอร์หรือสถานที่น่าสงสัยที่ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลส่งให้ เช่นเดียวกับรัฐบาลกัมพูชา ซึ่งระบุว่า กรณีการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่มีการค้นพบและรับทราบคือการกักขังเท่านั้น ยิ่งกว่านั้น รัฐบาลกัมพูชายังปฏิเสธว่านี่ไม่ใช่การค้ามนุษย์ เป็นเพียงการฉ้อโกงทางออนไลน์เท่านั้น “ไม่มีใครสมัครใจให้ตัวเองไปถูกค้ามนุษย์” จารุวัฒน์กล่าวว่า ผู้เสียหายส่วนใหญ่ไม่ได้สมัครใจให้ตัวเองไปถูกค้ามนุษย์ ทว่าเมื่อได้รับการช่วยเหลือออกมา กลับถูกเจ้าหน้าที่ปฏิบัติราวกับพวกเขาเป็นอาชญากร เนื่องจากเจ้าหน้าที่รัฐขาดความเข้าใจในประเด็นการค้ามนุษย์ เช่นเดียวกับมอนต์เซ ที่กล่าวว่า ผู้ที่ได้รับการช่วยเหลือออกจากศูนย์สแกมเมอร์มักจะมักถูกคุมตัวต่อที่ศูนย์กักกันคนเข้าเมืองในสภาพย่ำแย่นานหลายเดือน เพราะทางการกัมพูชาไม่ยอมรับพวกเขาเป็นเหยื่อค้ามนุษย์และไม่ให้การสนับสนุนตามหลักกฎหมายสากล ขณะเดียวกัน แม้บางประเทศจะมีกฎหมายเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ของตัวเอง แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีการนำมาใช้ในกรณีของผู้เสียหายในศูนย์สแกมเมอร์ “หลายกรณี ผู้เสียหายในลักษณะสแกมเมอร์ถูกดำเนินคดีเพราะความไม่เข้าใจ มุมมองการค้ามนุษย์กับมุมมองของศูนย์สแกมเมอร์ เขาไม่ได้มองในมุมกฎหมายการค้ามนุษย์ก่อน เลยทำให้ผู้เสียหายถูกดำเนินคดี เราก็จะประกันตัวผู้เสียหายออกมาก่อน แล้วนำหลักฐานสู้ในชั้นศาล แล้วก็รวมถึงการส่งเสริมอาชีพ ดูแลเรื่องการฟื้นฟูร่างกายและจิตใจ” จารุวัฒน์กล่าว เพราะฉะนั้น หนึ่งในข้อเสนอแนะของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล  สำหรับประเทศของผู้ที่ตกเป็นผู้เสียหายในศูนย์สแกมเมอร์คือ การระบุตัวของผู้เสียหายอย่างเหมาะสมตั้งแต่วันที่เดินทางถึงประเทศ และให้การสนับสนุนในเรื่องต่างๆ รวมทั้งยังต้องการสร้างความตระหนักในการคัดกรองอาชญากรและผู้เสียหายจากกรณีสแกมเมอร์ “ถ้าเราไม่มองว่าเป็นปัญหาการค้ามนุษย์ เราจะขจัดปัญหานี้ไม่ได้เลย เพราะเขาจะไม่จัดการผู้ค้ามนุษย์ จัดการเฉพาะอาชญากรภาคบังคับ ต้นตอไม่ถูกกำจัด กระบวนการพาข้ามไม่ถูกตัด ธุระจัดหา คนที่หลอกในโซเชียลมีเดียไม่ถูกทำลาย แต่กลายเป็นเหยื่อที่ถูกขัง ในระยะหลังๆ พวกนี้ติดคุกแทนอาชญากรตัวจริง” จารุวัฒน์ระบุ จากการทำงานของมูลนิธิอิมมานูเอล มีผู้เสียหายที่ถูกจำคุกและได้รับการประกันตัวเพื่อสู้คดีในชั้นศาลจำนวน 42 คน “ทางการกัมพูชาต้องรับประกันว่าจะไม่มีผู้หางานคนใดถูกค้ามนุษย์เข้าสู่ประเทศเพื่อเผชิญการทรมาน การเป็นทาส หรือการละเมิดสิทธิมนุษยชนอื่นใดอีก ทางการต้องเร่งสืบสวนและปิดศูนย์สแกมเมอร์ทั้งหมด พร้อมระบุตัว ช่วยเหลือ และคุ้มครองเหยื่ออย่างเหมาะสม การเป็นทาสจะเติบโตได้เมื่อรัฐบาลเมินเฉย” นี่คือข้อเรียกร้องจากแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล   * ข่าว * สิทธิมนุษยชน * แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล * ค้ามนุษย์ * ศูนย์สแกมเมอร์ * กัมพูชา
dlvr.it
July 1, 2025 at 12:14 PM
Reposted by นอนเช้าแต่นอนเยอะ
ตำรวจแถลงคดีตึก สตง.ถล่ม ส่งร่าง-ชิ้นส่วนให้ญาติแล้ว 93 ราย
ตำรวจแถลงคดีตึก สตง.ถล่ม ส่งร่าง-ชิ้นส่วนให้ญาติแล้ว 93 ราย auser15 Tue, 2025-07-01 - 12:39 ตำรวจแถลงผลการปฏิบัติงานศูนย์ปฏิบัติการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลเหตุอาคาร สตง.ถล่ม ระบุส่งร่าง-ชิ้นส่วนให้ญาติแล้ว 93 ราย และยืนยันตัวตนไม่ได้ 2 ราย 1 ก.ค. 2568 Thai PBS รายงานว่า ที่สถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ พล.ต.อ.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรง ที่ปรึกษาพิเศษ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (สส1) ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แถลงผลการปฏิบัติงานศูนย์ปฏิบัติการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล กรณีอาคารสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินถล่ม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้ง กับการสูญเสียของประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากกรณีเหตุแผ่นดินไหวที่เมียนมา เมื่อวันที่ 28 มี.ค.2568 ทำให้เกิดความเสียหายหลายพื้นที่ในไทย โดยเฉพาะพื้นที่กรุงเทพมหานคร ที่อาคารสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างได้ถล่มลงมา ขณะเกิดเหตุยังมีเจ้าหน้าที่ บุคคลากรที่เกี่ยวข้องหลายฝ่ายปฏิบัติงานอยู่ จึงมีผู้ได้รับบาดเจ็บ ผู้สูญหาย และผู้เสียชีวิตหลายคน ในการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลตามมาตรฐานสากล กระทำได้หลัก ๆ 3 วิธี คือ การตรวจเปรียบเทียบสารพันธุกรรม (DNA), การตรวจลายพิมพ์นิ้วมือ และการตรวจข้อมูลทันตกรรม ซึ่งทั้ง 3 วิธีนี้ถูกนำมาใช้ร่วมกันในการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล ในศูนย์ปฏิบัติการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลฯ โดยการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล ในการตรวจสารพันธุกรรมจำเป็นที่จะต้องมีข้อมูลสารพันธุกรรมจากศพหรือชิ้นส่วนศพ และข้อมูลสารพันธุกรรมจากญาติร่วมสายโลหิต เพื่อตรวจเปรียบเทียบกับศพหรือชิ้นส่วนศพ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้สั่งการให้พนักงานสอบสวนประสานความร่วมมือกับศูนย์พิสูจน์หลักฐานจังหวัดในแต่ละพื้นที่ทั่วประเทศ อำนวยความสะดวกแก่ญาติผู้เสียชีวิตในการเก็บสารพันธุกรรม และจัดส่งตัวอย่างสารพันธุกรรมมาตรวจเปรียบเทียบที่สถาบันนิติเวชวิทยา โดยที่ญาติไม่ต้องเดินทางมาที่สถาบันนิติเวชวิทยาด้วยตัวเอง เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายและเวลาในการเดินทางของญาติ จากระยะเวลาการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 28 มี.ค. - 10 มิ.ย.2568 ศูนย์ปฏิบัติการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีผลการปฏิบัติงาน มีดังนี้ * รายงานศพและชิ้นส่วนศพที่รับเข้าระบบนิติเวชวิทยาเพื่อพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล แบ่งเป็น ศพ 80 ราย และชิ้นส่วนศพ 316 ชิ้น * DNA ที่เก็บจากญาติของผู้เสียชีวิต/ผู้สูญหายเพื่อตรวจเปรียบเทียบ 95 ราย * ผลการยืนยันตัวบุคคลจากการตรวจเปรียบเทียบ DNA และลายนิ้วมือ สามารถยืนยันตัวบุคคลและส่งให้ญาติแล้ว 93 ราย เหลือไม่สามารถยืนยันตัวบุคคลได้ 2 ราย * สำหรับศูนย์ปฏิบัติการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรณีอาคารสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินถล่มจากเหตุแผ่นดินไหวที่เมียนมา ตั้งอยู่ที่สถาบันนิติเวชวิทยา ประกอบด้วยหน่วยงานต่าง ๆ ในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้แก่ สถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ , กองพิสูจน์หลักฐานกลาง สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ , กองทะเบียนประวัติอาชญากร สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ และกลุ่มงานพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ ศูนย์ปฏิบัติการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลฯ ทั้งนี้ มีภารกิจเป็นศูนย์อำนวยการและสั่งการในการตรวจสถานที่เกิดเหตุ การชันสูตรพลิกศพ การตรวจพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล การจัดการศพ การติดตามผู้สูญหายและการส่งกลับ รวมทั้งประสานการปฏิบัติกับส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถส่งกลับคืนศพให้กับญาติผู้เสียชีวิตได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว พร้อมกันนี้ศูนย์ปฏิบัติการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลฯ ยังได้ร่วมบูรณาการการทำงานกับหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภายใต้สังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติและหน่วยงานราชการอื่น เช่น พนักงานสอบสวนจากกองบัญชาการตำรวจนครบาล และสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งเป็นผู้ให้ข้อมูลลายพิมพ์นิ้วมือของผู้ที่ไม่ได้ถือสัญชาติไทย, กรมการปกครองเป็นผู้ให้ข้อมูลลายพิมพ์นิ้วมือของผู้ถือสัญชาติไทย, สำนักงานเขตจตุจักรและสำนักงานเขตปทุมวัน เป็นผู้อำนวยความสะดวกในการออกใบมรณบัตร ณ ศูนย์ปฏิบัติการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลฯ * ข่าว * สังคม * คุณภาพชีวิต * ตึก สตง.ถล่ม
dlvr.it
July 1, 2025 at 5:42 AM
Reposted by นอนเช้าแต่นอนเยอะ
ด่วนที่สุด! ศาลรธน. มีมติ 7 ต่อ 2 สั่ง ‘แพทองธาร’ หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกฯ ปมคลิปเสียง

สามารถติดตามต่อได้ที่ : www.dailynews.co.th/news/4872692/
#แพทองธาร #ศาลรัฐธรรมนูญ #คลิปเสียง #หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกฯ
July 1, 2025 at 6:34 AM
Reposted by นอนเช้าแต่นอนเยอะ
ศาล รธน.รับคำร้องกรณีคลิปเสียงหลุด สั่ง 'แพทองธาร' หยุดปฏิบัติหน้าที่
ศาล รธน.รับคำร้องกรณีคลิปเสียงหลุด สั่ง 'แพทองธาร' หยุดปฏิบัติหน้าที่ auser15 Tue, 2025-07-01 - 13:30 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเสียงข้างมากรับคำร้องกรณีคลิปเสียงสนทนากับฮุนเซนหลุด และสั่งให้ 'แพทองธาร' หยุดปฏิบัติหน้าที่ 1 กรกฎาคม 2568 องค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้ปรึกษาคดีสำคัญกรณีที่สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามคำร้องของพลเอกสวัสดิ์ ทัศนาและสมาชิกวุฒิสภา รวม 36 คน ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสามประกอบมาตรา 82  พิจารณาความเป็นนายกรัฐมนตรีของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่  และ ขอศาลรัฐธรรมนูญโปรดมีคำสั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 วรรคสอง พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 71 ประกอบข้อกำหนดศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2562 ข้อ 40 (8) ผลการพิจารณา ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเสียงข้างมากรับคำร้อง และ สั่งให้ น.ส.แพทองธาร หยุดปฏิบัติหน้าที่ 7 ต่อ 2 เส้นทางคำร้อง เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจ รายงานว่า หลังจากคลิปเสียงสนทนาระหว่าง น.ส.แพทองธาร กับ สมเด็จฮุนเซน ได้ถูกเผยแพร่ในโลกออนไลน์ เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2568 วันรุ่งขึ้น 19 มิถุนายน 2568 กลุ่ม สว.นำโดย พล.อ.สวัสดิ์ ทัศนา สมาชิกวุฒิสภา(สว.) ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ(กมธ.)การทหาร และความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา ได้เปิดเข้าชื่อยื่นถอดถอน น.ส.แพทองธาร ออกจากตำแหน่งนายกฯ รวมถึงยื่นคำร้องเอาผิด น.ส.แพทองธาร ต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) “คิดว่าเป็นการตัดสินใจของฝ่ายรัฐบาล แต่ในความรู้สึกของประชาชนคนไทย ข้าราชการ ทหาร มองว่านายกรัฐมนตรีไม่มีความชอบธรรมในการบริหารราชการแผ่นดินไปแล้ว โดยเฉพาะกรณีที่บอกว่าแม่ทัพภาคที่สองไม่ได้เป็นพวกเรา กลายเป็นว่านายกรัฐมนตรีไทยกับประธานวุฒิสภาของกัมพูชาเป็นอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งตรงนี้คงไปไม่ได้แล้ว” “เราเรียกร้องให้ลาออก พร้อมทั้งดำเนินการตามกฎหมาย ตามบทบาทหน้าที่ที่สามารถทำได้” พล.อ.สวัสดิ์ กล่าวเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน     20 มิถุนายน 2568 สว.รวบรวมรายชื่อ 36 คน ยื่นคำร้องผ่านนายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา เพื่อส่งต่อไปยังศาลรัฐธรรมนูญ ทันที โดยคำร้องระบุว่า    ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามคำร้องของพลเอกสวัสดิ์ ทัศนาและสมาชิกวุฒิสภา รวม 36 คน ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสามประกอบมาตรา 82 1. ความเป็นนายกรัฐมนตรีของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่ 2.ขอศาลรัฐธรรมนูญโปรดมีคำสั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 วรรคสอง พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 71 ประกอบข้อกำหนดศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2562 ข้อ 40 (8) ทั้งนี้ ในเอกสารประกอบคำร้องได้บรรยายพฤติกรรม น.ส.แพทองธาร ที่ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องและสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ดังนี้ “ให้มีคำสั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย เนื่องจากปรากฏหลักฐานชัดแจ้งว่า ผู้ถูกร้องมีความสัมพันธ์ส่วนตัวและแอบเจรจากับประธานวุฒิสภากัมพูชาในลักษณะเป็นภัยภัยต่อความมั่นคงอาณาเขตไทย และอำนาจอธิปไตยของไทย อันก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงและยากแก่การเยียวยาในภายหลัง ดังนั้นเพื่อป้องกันความรุนแรงอันใกล้ที่จะถึง ประกอบกับคำร้องของผู้ร้องมีเหตุอันมีน้ำหนักที่ศาลจะวินิจฉัยให้เป็นไปตามคำร้อง  จึงขอให้ศาลรัฐธรรมนูญกำหนดมาตรการหรือวิธีการเป็นการชั่วคราว โดยสั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกฯ ไว้ก่อนจนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย” 'สุริยะ' ทำหน้าที่แทน-นำ ครม.ใหม่ ถวายสัตย์ได้ กรณี น.ส.แพทองธาร ถูกสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญ ใน พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 มาตรา 41 และมาตรา 48 วรรคหนึ่ง กำหนดการรักษาราชการแทนนายกฯ ไว้ว่า มาตรา 41 บัญญัติว่า ในกรณีที่นายกรัฐมนตรีไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ให้รองนายกรัฐมนตรีเป็นผู้รักษาราชการแทน ถ้ามีรองนายกรัฐมนตรีหลายคน ให้คณะรัฐมนตรีมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีคนใดคนหนึ่งเป็นผู้รักษาราชการแทน ถ้าไม่มีผู้ใดดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ให้คณะรัฐมนตรีมอบหมายให้รัฐมนตรีคนใดคนหนึ่งเป็นผู้รักษาราชการแทน และ มาตรา 48 วรรคหนึ่ง ให้ผู้รักษาราชการแทนตามความในพระราชบัญญัตินี้ มีอำนาจหน้าที่เช่นเดียวกับผู้ซึ่งตนแทน ซึ่งคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๓๒๐ /๒๕๖๗ สั่งเมื่อ 17 กันยายน 2567 เรื่อง มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรีและมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ในกรณีที่รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีไม่อยู่หรือไม่อาจปฏิบัติราชการได้หรือไม่มีผู้ดำรงตำแหน่ง ให้รองนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ตามลำดับ ทั้งนี้ ในระหว่างการรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ผู้รักษาราชการแทนข้างต้น จะสั่งการใดเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลและการอนุมัติเงินงบประมาณอันอยู่ในอำนาจของนายกรัฐมนตรีได้ ต้องได้รับความเห็นชอบจากนายกรัฐมนตรีเสียก่อน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีดังกล่าว วางรองนายกฯ ที่ปฏิบัติราชการแทน โดยลำดับที่ 1 คือ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ลำดับที่ 2 คือ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกฯ และ รวม.คมนาคม ดังนั้น เมื่อนายภูมิธรรม พ้นจากตำแหน่งรองนายกฯ และ รมว.กลาโหม คนที่จะขึ้นมาปฏิบัติหน้าที่แทน คือนายสุริยะ ในขณะเดียวกัน การแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีแพทองธาร 1/1 นายกฯ ได้นำขึ้นทูลเกล้าฯ ไปแล้วนั้น เมื่อมีคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า หากนายกฯ ถูกหยุดปฏิบัติหน้าที่ และทำหน้าที่ไม่ได้ ก็ต้องให้รองนายกฯ ที่รักษาการนายกฯ เป็นผู้นำ ครม.ใหม่ ถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนปฏิบัติหน้าที่ เป็นไปตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน ยืนยันไม่กระทบกับการ ปรับ ครม. หากสุดท้าย น.ส.แพทองธาร ต้องพ้นจากตำแหน่ง (ไม่มีนายกฯ) นายกฯ รักษาการ มีอำนาจเต็มทุกประการ จนกว่าจะเลือกนายกฯ คนใหม่ มีคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ซึ่งจะต่างกับ กรณีที่สภาครบวาระ 4 ปี หรือ ยุบสภา ที่รัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 169 ระบุให้รัฐบาลทำหน้าที่ต่อไปภายใต้เงื่อนไข 4 ข้อ 1.ไม่อนุมัติงานหรือโครงการ หรือมีผลสร้างความผูกพันต่อคณะรัฐมนตรีชุดต่อไป เว้นแต่กำหนดไว้ตามงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2.ไม่แต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ ให้ผู้อื่นมาปฏิบัติหน้าที่แทน ทั้งในหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือกิจการที่รัฐถือหุ้นใหญ่ เว้นแต่ กกต.อนุมัติ 3.ไม่อนุมัติงบประมาณสำรองจ่ายฉุกเฉิน-จำเป็น เว้นแต่ กกต.อนุญาต 4.ไม่ใช้ทรัพยากรของรัฐหรือบุคลากรของรัฐ กระทำอันใดที่มีผลต่อการเลือกตั้ง หรือฝ่าฝืนข้อห้าม ระเบียบของ กกต. * ข่าว * การเมือง * ศาลรัฐธรรมนูญ * แพทองธาร ชินวัตร
dlvr.it
July 1, 2025 at 6:36 AM
Reposted by นอนเช้าแต่นอนเยอะ
24 ปี 33 เดือน 20 วัน โทษจำคุกทั้ง 12 คดีของ ‘ทนายอานนท์’
24 ปี 33 เดือน 20 วัน โทษจำคุกทั้ง 12 คดีของ ‘ทนายอานนท์’ Pazzle Wed, 2025-06-25 - 20:16 จากคำพิพากษาในคดีม.112 คดีที่ 9 ของ “ทนายอานนท์” ล่าสุดวันนี้(25 มิ.ย.) ทำให้เขาต้องโทษจำคุกรวมถึง 24 ปี 33 เดือน 20 วัน (ประมาณ 26 ปี 9 เดือน 20 วัน) ทั้งนี้หากนับโทษจำคุกเฉพาะ 9 คดีที่เป็นข้อหาตามมาตรา 112 จะมีโทษจำคุกรวม 24 ปี 16 เดือน 20 วัน(ประมาณ 25 ปี 4 เดือน 20 วัน) ยังคงไม่มีคดีใดที่มีคำพิพากษาถึงที่สุดเนื่องจากยังอยู่ระหว่างการอุทธรณ์คดีทั้งหมด โดย 9 คดีที่มีคำพิพากษาแล้ว ได้แก่ อย่างไรก็ตามยังมีคดีตามมาตรา 112 ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาคดีอีก 5 คดี ที่ยังไม่มีคำตัดสินออกมาได้แก่ * ปราศรัยในการชุมนุม #ม็อบ29พฤศจิกา63 หน้ากรมทหารราบที่11 คดีนี้กำลังสืบพยานอยู่ * ปราศรัยในการชุมนุม#ม็อบ25พฤศจิกาไปscb หน้าธนาคารไทยพานิชย์ สำนักงานใหญ่ * ปราศรัยในการชุมนุม #กูสั่งให้มึงอยู่ใต้รัฐธรรมนูญ ที่หน้ารัฐสภา คดีนี้กำลังจะพิพากษาในวันที่ 8 ก.ค. ที่จะถึงนี้ * ปราศรัยในการชุมนุม #19กันยาทวงอำนาจคืนราษฎร ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และสนามหลวง * ปราศรัยในการชุมนุม#เชียงใหม่จะไม่ทน ที่ประตูท่าแพ จังหวัดเชียงใหม่ คดีนี้เป็นคดีเดียวที่ยังไม่ถึงชั้นศาล โดยยังคงอยู่ที่การพิจารณาของอัยการว่าจะสั่งฟ้องหรือไม่ ทั้งนี้ ในการต่อสู้คดีของอานนท์ เขาได้ยืนยันว่าการแสดงออกของเขานั้นเป็นเพียงการวิพากษ์วิจารณ์บุคคลสาธารณะและข้อวิจารณ์ของเขาก็เป็นเรื่องประโยชน์สาธารณะ ทั้งเรื่องที่รัฐบาลทหารยุคพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาเข้าไปเปลี่ยนแปลงเนื้อหาในส่วนพระราชอำนาจที่อยู่ในรัฐธรรมนูญ 2560 การออกกฎหมายมาเปลี่ยนแปลงการบริหารจัดการทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ การโยกย้ายหน่วยทหารไปเป็นหน่วยงานในพระองค์ ไปจนถึงการเรียกร้องให้สถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ตาม ในหลายคดีอานนท์ต้องประสบปัญหาในการพยายามพิสูจน์ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสิ่งที่เขาพูด เนื่องจากศาลไม่ออกหมายเรียกพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องเข้ามาประกอบการสืบพยาน เช่น ประวัติการเดินทางระหว่างประเทศของในหลวงรัชกาลที่ 10 เอกสารที่เกี่ยวข้องกับงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ เช่นในคดีที่อานนท์ปราศรัยในม็อบแฮร์รี่ พอตเตอร์เมื่อวันที่ 3 ส.ค.2563 โดยศาลอ้างว่าไม่จำเป็นต่อการวินิจฉัยคดี ปัญหาที่ศาลไม่เรียกพยานหลักฐานนี้ไม่ได้เกิดกับแต่เพียงคดีของอานนท์ แต่ยังมีคดีที่ประสบปัญหาศาลไม่เรียกหลักฐานให้อยู่อีก เช่น คดีของใบปอ ณัฐนิชย์ ดวงมุสิทธิ์ หรือคดีของกลุ่มผู้ร่วมปราศรัยบนเวทีการชุมนุมเมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2563 (อานนท์เป็น 1 ในจำเลยคดีนี้เช่นกัน) เป็นต้น ปัจจุบันตามข้อมูลของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนระบุว่ามีผู้ต้องขังในคดีตามมาตรา 112 แล้วจำนวน 32 คน    * ข่าว * การเมือง * สิทธิมนุษยชน * อานนท์ นำภา * ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน * คดี ม.112 * ม็อบแฮร์รี่พอตเตอร์
dlvr.it
June 25, 2025 at 1:30 PM
Reposted by นอนเช้าแต่นอนเยอะ
สุรพศ ทวีศักดิ์: ราชาชาตินิยม+ทหารนิยม
สุรพศ ทวีศักดิ์: ราชาชาตินิยม+ทหารนิยม sarayut Wed, 2025-06-25 - 22:57 "อยากฝากถึงคนไทยทุกหมู่เหล่าที่อาศัยอยู่ใต้ร่มพระบรมโพธิสมภาร  ให้มีความรักความสามัคคีของคนในชาติรวมกันเป็นหนึ่งเดียว  ในภาวะที่ประเทศวิกฤติเช่นนี้ ส่วนทหารจะอยู่เคียงข้างพี่น้องประชาชน  ขอให้มั่นใจว่าชายแดนไทยเราจะมั่นคงปลอดภัยแน่นอน" . พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 (23 มิ.ย.68) (ที่มา https://www.facebook.com/photo/?fbid=1160480689442733&set=a.649316940559113) คำพูดของแม่ทัพภาค 2 ข้างบน สะท้อนแนวคิดชาตินิยม (nationalism) ของชนชั้นนำไทยที่มี “ความย้อนแย้ง” ในตัวเองอย่างเห็นได้ชัด กล่าวคือ ข้อความว่า “คนไทยทุกหมู่เหล่าที่อาศัยอยู่ใต้ร่มพระบรมโพธิสมภาร” เป็นแนวคิดแบบก่อนสมัยใหม่ของสยามที่ยึดปรัชญาการเมืองแบบพุทธศาสนา ตามการตีความของชนชั้นนำว่ากษัตริย์คือพระโพธิสัตว์ที่ทรงปกครองโดยธรรม ยังความร่มเย็นเป็นสุขและความเจริญรุ่งเรืองให้เกิดขึ้นในบ้านเมือง อีกทั้งยังทรงเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณที่จะนำพาพสกนิกรทุกหมู่เหล่าให้ตั้งอยู่ในศีลธรรมของพุทธศาสนา เพื่อเข้าสู่พระนิพพานในอนาคตกาลตามปณิธานของพระโพธิสัตว์   ดังนั้น รัฐในยุคก่อนสมัยใหม่ของสยาม คือ“รัฐราชสมบัติ” ตามปรัชญาการเมืองแบบพุทธศาสนาที่ถือว่าชาวสยามไม่ว่าจะเป็นบรรดาเชื้อพระวงศ์ ขุนนาง มูลนาย พระสงฆ์ และไพร่ ทาส ต่างก็คือพสกนิกรที่พึ่งพาอาศัยอยู่ใต้ร่มพระบรมโพธิสมภารของกษัตริย์โพธิสัตว์ผู้ปกครองโดยธรรม   ส่วนคำว่า “ชาติ” เป็นแนวคิดสมัยใหม่ แปลจาก “nation” ที่หมายถึง “ประชาชาติ” ซึ่งเป็นแนวคิดที่ถือว่าชาติเกิดขึ้นจากการรวมตัวของประชาชนภายใต้ข้อตกลงที่เป็น “สัญญาประชาคม” ที่ทุกคนยึดถือร่วมกัน ดังนั้น ชาติจึงหมายถึงประชาชน เพราะประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยในการสถาปนารัฐธรรมนูญ และกฎหมายอื่นๆ เพื่อแบ่งบทบาทหน้าที่ของสถาบันทางสังคม, การเมือง, เศรษฐกิจ, บทบาทหน้าที่ของประชาชนทุกคนในฐานะพลเมืองเสรีและเสมอภาค และระบบการใช้ทรัพยกากรสาธารณะต่างๆ ร่วมกัน ประชาชนจึงไม่ใช่ผู้อาศัยอยู่ใต้ “อำนาจบารมี” ของผู้ปกครองในความหมายใดๆ แต่ประชาชนผู้เป็นเจ้าของชาติอย่างเท่าเทียมกันต่างหากที่เป็นฝ่ายให้ “ความยินยอม” (consent) ว่าใครควรมาทำหน้าที่ปกครองหรือเป็นรัฐบาลตัวแทนประชาชน และใครควรเป็นประมุขของรัฐ โดยทั้งรัฐบาลและประมุขของรัฐต่างมีอำนาจที่ถูกจำกัดโดยรัฐธรรมนูญและกฎหมายอื่น และอยู่ภายใต้หลักเสรีภาพในการวิจารณ์ตรวจสอบของประชาชน แต่คำพูดของแม่ทัพภาค 2 สะท้อนแนวคิดชาตินิยมแบบชนชั้นนำไทยที่ปลูกฝังกันมายาวนาน โดยการนำเอาแนวคิดแบบก่อนสมัยใหม่ที่ว่า “คนไทยทุกหมู่เหล่าคือผู้อาศัยอยู่ใต้ร่มพระบรมโพธิสมภาร” มาผสมกับแนวคิดสมัยใหม่คือ “ชาติ” กลายเป็นแนวคิด “ราชาชาตินิยม” (royal-naturalism) ที่ถือว่ากษัตริย์เป็นศูนย์กลางอำนาจของชาติ หรือชาติอยู่ภายใต้การปกครองของกษัตริย์ ประชาชนทุกหมู่เหล่าอาศัยอยู่ใต้ร่มพระบารมี หรือพระบรมโพธิสมภารของกษัตริย์  ความรักชาติจึงแสดงออกเป็นความรักสามัคคีของคนในชาติที่ยึดโยงกับความจงรักภักดีต่ออุดมการณ์ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์เป็นสิ่งสำคัญสูงสุด ชาตินิยมในความหมายเช่นนี้ จึงเน้นการปลูกฝังให้ประชาชนเชื่องและเชื่อฟังชนชั้นนำ ซึ่งได้แก่สถาบันกษัตริย์และทหารเป็นด้านหลัก   ดังเห็นได้จากการแสดงบทบาทนำของทหารในกรณีพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชาขณะนี้ ก็คือการแสดงบทบาทปลุกกระแส “ความรักชาติ” ในความหมายของการรักษาแผ่นดิน หรือปกป้องอธิปไตยของชาติ จากคำพูดของแม่ทัพภาคที่ 2 (ซึ่งสอดคล้องกับคำพูดของ ผบ.ทบ.) ยิ่งเห็นได้ชัดถึงการปลูกฝังแนวคิด “ราชาชาตินิยม” ซึ่งเป็นแนวคิดที่ถูกเน้นความสำคัญมากขึ้นโดยลำดับในช่วงความขัดแย้งทางการเมืองภายในประเทศกว่า 20 ปีที่ผ่านมา ควบคู่กับการปลูกฝังแนวคิด “ทหารนิยม” (militarism) ที่ถือว่าทหารมีบทบาทนำในการรักษาความมั่นคงภายใน และการปกป้องราชอาณาจักรจากข้าศึกภายนอก นอกจากนี้ทหารยังมี “อภิสิทธิ์” ในการตัดสินใจทางการเมืองว่าเมื่อใดควรใช้กองกำลังยึดอำนาจรัฐเพื่อก้าวขึ้นมาปกครองประเทศในนามของการรักษา “ความมั่นคง” ของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และรักษาความรักสามัคคีของคนในชาติทุกหมู่เหล่าที่อาศัยอยู่ใต้ร่มพระบรมโพธิสมภารอีกด้วย แนวคิด “ราชาชาตินิยม+ทหารนิยม” ที่เองที่อยู่เบื้องหลังของการแสดงบทบาทนำของทหารในการตอบโต้ฝ่ายกัมพูชาในขณะนี้ ที่เกิดกระแสติดแฮชแท็กให้กำลังใจทหาร กระแสการให้กำลังใจแม่ทัพภาคที่ 2 การปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา และอื่นๆ จนเกิดกระแส “รักชาติ” ในโลกโซเชียลสนับสนุนปฏิบัติการของทหาร และโจมตีรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง จนบานปลายกลายเป็นม็อบขับไล่นายกรัฐมนตรี “แพทองธาร ชินวัตร” เมื่อฮุนเซนเผยแพร่คลิปการสนทนาเป็นการส่วนตัวระหว่างตนเองกับนายกฯ ไทย ทำให้การเมืองในประเทศเวลานี้เกิดกระแสความกลัว “ผีรัฐประหาร” อีกครั้ง เพราะยิ่งเกิดกระแสสังคมให้ความสำคัญกับทหารเป็น “พระเอก” ในยามวิกฤต ก็ย่อมจะเสี่ยงมากยิ่งขึ้นที่อาจจะเกิดการฉวยโอกาศทำรัฐประหารได้ง่ายๆ อย่างไรก็ตาม มีแนวคิดชาตินิยมอีกแบบที่ถือเป็น “ชาตินิยมแบบก้าวหน้า” คือ แนวคิดชาตินิยมที่ยึดโยงกับประชาธิปไตย+สากลนิยม แนวคิดนี้ถือว่าชาติเป็นของประชาชนภายใต้สัญญาประชาคมบนหลักการปกครองระบอบประชาธิปไตย พลเมืองที่สมาทานแนวคิดชาตินิยมที่ก้าวหน้า คือผู้ที่แสดงความรักชาติในความหมายของความรักประชาธิปไตย พลเมืองผู้รักชาติในความหมายนี้ย่อมต่อต้านลัทธิทหารนิยม และอำนาจนอกระบบใดๆ ที่จะใช้อภิสิทธิ์แทรกแซงการเมืองภายในประเทศ และต่อต้านสงครามระหว่างประเทศ โดยการเรียกร้องให้รัฐบาลของประเทศตนเองใช้หลักสากล คือ “การเจรจาสันติภาพ” ในการแก้ปัญหาข้อพิพาทระหว่างประเทศมากกว่าที่จะใช้กองกำลัง เหตุผลเพราะเมื่อเราถือว่าชาติคือ “ประชาชน” ความหมายชองชาติจึงกว้างกว่า “ดินแดน” เพราะประชาชนของแต่ละชาติต่างก็ประกอบอาชีพ ทำมาหากินข้าม “เขตแดนสมมติ” ของแต่ละประเทศ ความเป็นมนุษย์ของประชาชนในแต่ละชาติจึงสัมพันธ์กับการใช้ชีวิต การแสดงหาคุณค่าความหมายของชีวิต โอกาส และความก้าวหน้าด้านต่างๆ ภายใต้โครงสร้างความสัมพันธ์ทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในระดับนานาชาติ ดังนั้น “ผลประโยชน์ของชาติ” แทบทุกด้านจึงอยู่บนพื้นฐานของการรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับนานาชาติตามหลักสากลนิยมด้วยเสมอ แน่นอนว่าการรักษาดินแดนย่อมสำคัญ แต่ปัญหาพิพาทชายแดนเป็นเรื่องปกติของแทบทุกประเทศทั่วโลก และประเทศส่วนใหญ่ก็ใช้วิธีเจรจาต่อรองตามหลักสากลนิยมเป็นด้านหลัก ดังนั้น แนวคิดชาตินิยมแบบก้าวหน้า หรือ “ชาตินิยมที่ยึดโยงกับประชาธิปไตย+สากลนิยม” ต่างหากที่จะสร้างความรักความสามัคคีของประชาชนได้จริง เพราะเมื่อประชาชนทุกคนมีจิตสำนึกว่าตนเองเป็นเจ้าของชาติเท่าเทียมกัน เป็นพลเมืองเสรีและเสมอภาคเหมือนกัน ความสามัคคีหรือความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน (solidarity) ในการรักษาอำนาจอธิปไตยของตนเองและรักษาระบอบประชาธิปไตยให้ยืนยาวย่อมจะเกิดขึ้นได้ ขณะเดียวกันเมื่อทุกคนตระหนักว่าผลประโยชน์ของชาตินอกจากจะยึดโยงกับความมั่นคงของระบอบประชาธิปไตยของชาติแล้ว ยังยึดโยงกับความสัมพันธ์ที่ดีกับนานาชาติด้วย ประชาชนที่มีสำนึกชาตินิยมแบบก้าวหน้าจึงยืนยันการยึดหลักสากลนิยมในการสร้างความเป็นมิตร และการแก้ปัญหาข้อพิพาทระหว่างประเทศมากกว่าการใช้กำลังรบหรือการทำสงคราม ขณะที่แนวคิดชาตินิยมแบบไทยที่เน้น “ราชาชาตินิยม+ทหารนิยม” นอกจากไม่สามารถสร้างความรักความสามัคคีหรือความเป็นหนึ่งเดียวของประชาชนในชาติได้จริงตามที่โฆษณาชวนเชื่อ ยังเป็นแนวคิดที่สร้าง “ความแตกแยก” ภายในชาติระหว่างฝ่ายที่สนับสนุนรัฐประหาร และฝ่ายต่อต้านรัฐประหาร ดังที่เป็นมากว่า 20 ปี (เป็นต้น) ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ ณ วันนี้ตัวเลข “นักโทษทางความคิด” (prisoner of conscience) ทะลุ 51 คนเข้าไปแล้ว ขณะที่แนวคิดชาตินิยมแบบก้าวหน้า หรือชาตินิยมที่ยึดโยงกับประชาธิปไตย+สากลนิยมโอบรับความคิดต่างให้อยู่ร่วมกันได้ ขัดแย้งกันได้อย่างสันติ ไม่แตกแยกแบบมองอีกฝ่ายเป็น “ศัตรู” ที่มุ่งทำลายล้างกัน จึงไม่มีใครต้องติดคุกเพียงเพราะคิดต่าง หรือมีอุดมการณ์ทางการเมืองแตกต่างกัน หากนับจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ 24 มิถุนายน 2475 ถึงปัจจุบันก็เป็นเวลายาวนานถึง 93 ปีแล้วที่บ้านเรายังต่อสู้ชิงความหมายของ “ชาติ” และ “ชาตินิยม” ผ่านประวัติศาสตร์การเมืองที่สลับกันไปมาระหว่างการเลือกตั้งกับรัฐประหาร ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมาเกิดรัฐประหาร 2 ครั้งที่มีทั้งประชาชนสนับสนุนและต่อต้าน ขณะที่ทหารก็ทำสงครามจิตวิทยากับประชาชนตลอดเวลาเพื่อต่อต้านประชาชนฝ่ายที่ไม่เอารัฐประหาร และสร้างความนิยมจากประชาชนฝ่ายที่สนับสนุนรัฐประหาร ราวกับกองทัพเป็นพรรคการเมืองและทหารเป็นนักการเมืองที่มุ่งสร้างคะแนนนิยมแข่งกับพรรคการเมืองต่างๆ กรณีพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชาก็เห็นได้ชัดว่าทหารพยายามชิงบทบาทนำและสร้างคะแนนนิยมจากประชาชนด้วยการปลุกกระแสราชาชาตินิยม+ทหารนิยมผ่านสื่อทุกช่องทาง คำถามที่เราจำเป็นต้องตอบคือ สังคมเราควรใช้แนวคิดชาตินิยมแบบใดเป็นจุดยืนในการแก้ปัญหาเมืองภายในประเทศ และปัญหาพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชาที่เรากำลังเผชิญกันอยู่!   * บทความ * การเมือง * สิทธิมนุษยชน * ราชาชาตินิยม * ทหารนิยม * สุรพศ ทวีศักดิ์
dlvr.it
June 25, 2025 at 4:04 PM