Wincenzo
banner
dgrwinnie.bsky.social
Wincenzo
@dgrwinnie.bsky.social
Escapism from the hellscape that is twt
Reposted by Wincenzo
December 29, 2025 at 12:58 PM
Reposted by Wincenzo
สวัสดีทุกคนนะคะ มารายงานตัวสาขาบลูสกายค่า🎉🎉 สายวาดอาหารเป็นหลัก วาดทั้งงานดิจิตัลและสีน้ำเลย ใครชื่นชอบผลงานก็มาติดตามกันได้นะคะ🥹🩵✨
October 17, 2024 at 6:34 AM
เดี๋ยวพรุ่งนี้จะกลับมาไล่ฟอลศิลปิน ช่วงนี้สิงแต่ดิสคอร์ด
December 27, 2025 at 3:27 PM
Reposted by Wincenzo
December 26, 2025 at 2:31 PM
Reposted by Wincenzo
ไหนๆก็ไหนๆแล้ว

ชาวไทยคะ มาโควทเราแล้วแนะนำผลงานตัวเองกันหน่อยค่าๆๆๆ
December 25, 2025 at 5:40 AM
Reposted by Wincenzo
ตัวอย่างโพสต์รับสมัครงานสาย STEM ที่ไม่ใช่บ.เทค
November 27, 2025 at 8:46 AM
Reposted by Wincenzo
บลูสกายบอก... เห็นค่ากูตอนทวีตล่ม
November 18, 2025 at 1:23 PM
เบื่อทวิตล่มอ้ะ คนจะรีรูปผู้ชายเส่วๆ
November 18, 2025 at 12:12 PM
มีมุกฮิคารุที่แอบไม่กล้าเล่น เดี๋ยวมันจะไอนั่น
October 25, 2025 at 12:24 PM
Reposted by Wincenzo
อัลกอทวิตโคตรแปลก แพลตฟอร์มอื่นเขามีแต่เสนอสิ่งที่คนใช้อยากเห็น นี่ดันเสนอสิ่งที่คนใช้ไม่อยากเห็นและไม่นึกว่าจะมีคนคิดแบบนี้บนโลก
September 27, 2025 at 6:22 AM
Can thai girlies came back to bluesky I can’t stand another app thai incel ass comments in replies
September 22, 2025 at 11:08 AM
I probably should seek some help from a psychiatrist right now.
September 19, 2025 at 7:20 AM
This shitty ass year
September 16, 2025 at 7:56 AM
Why is all subreddit I followed became so shit right now 😭😭😭 Should I delete it???
September 16, 2025 at 7:55 AM
Reposted by Wincenzo
ทุกคนเลิกใช้รูป AI ดิ้ เย้ดเข้ เป็นอะไรกันไปหมด
August 26, 2025 at 5:00 AM
Woman are so gorgeous why tf I am attracted to men 😭😭
August 22, 2025 at 11:23 AM
อยากให้คนกลับมาเล่นฟ้าคราม
August 11, 2025 at 6:54 AM
Reposted by Wincenzo
เห็นประเด็นช่วงนี้ละสงสารสายผลิตออริในไทยมาก ความเคารพต่อต้นฉบับต่ำเหลือเกินแต่ละคน 😮‍💨
August 7, 2025 at 11:33 AM
Reposted by Wincenzo
ที่จริงบทนั้นทีมนักเขียนคอมเม้นไปในส่วนที่มีปัญหาและเป็นประเด็นดราม่ากับบทที่ทำให้ภาพลักษณ์คอมมู LGBTQ+ กับนักแสดงดูแย่และทำลายแก่นหลักของต้นฉบับไปหมดแล้ว แต่ได้รับการตอบกลับมาว่าทีมนักเขียนไม่เข้าใจความสนุกของสื่ออย่างซีรี่ส์ แล้วยืนยันทำตามเดิม
August 5, 2025 at 8:29 AM
Reposted by Wincenzo
40 years ago today, Kate Bush released “Running Up That Hill (A Deal With God).”
August 5, 2025 at 4:01 AM
Reposted by Wincenzo
'ลัทธิอาณานิคมเอไอ' มุมมองปัญหาของเทคโนโลยี อำนาจกดขี่ประเทศโลกทางใต้
'ลัทธิอาณานิคมเอไอ' มุมมองปัญหาของเทคโนโลยี อำนาจกดขี่ประเทศโลกทางใต้ auser15 Tue, 2025-07-29 - 10:39 ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI กลายเป็นสิ่งที่น่าจับตามองอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีการตั้งข้อสังเกตจากนักวิชาการว่า เอไอที่พัฒนาจากประเทศโลกที่หนึ่งนั้นยังคงเต็มไปด้วยอคติ และแฝงการล่าอาณานิคมในรูปแบบดิจิทัล ทั้งในระดับสิ่งที่เอไอเรียนรู้และแสดงออกมาที่ทำลายมิติความหลากหลายของวัฒนธรรมพื้นเมือง และในระดับของกระบวนการพัฒนาเอไอ ที่มีทั้งการขูดรีดแรงงานในประเทศโลกทางใต้และการทำลายสิ่งแวดล้อม ที่มาภาพ: Tara Winstead/Pexels รูฮี ข่าน นักข่าวและนักวิจัยจากวัทยาลัยเศรษฐศาสตร์ลอนดอน LSE วิเคราะห์เรื่องปัญญาประดิษฐ์หรือ เอไอ ที่มักจะมีการพัฒนาจากประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจเท่านั้นทำให้มีอำนาจครอบงำในด้านต่างๆ ต่อ "ประเทศโลกทางใต้" (Global South) อย่างเรื่องการดูดข้อมูลส่วนตัว แรงงาน และทรัพยากร กลายเป็นความไม่เท่าเทียมจนอาจจะนำไปสู่ "ลัทธิอาณานิคมเอไอ" ได้ กลุ่มประเทศโลกทางใต้ ซึ่งหมายถึง กลุ่มประเทศที่เศรษฐกิจกำลังพัฒนาหรือพัฒนาได้น้อย กำลังเป็นที่สนใจจากกลุ่มบรรษัทไอทียักษ์ใหญ่ 5 แห่ง ของโลก ซึ่งตั้งอยู่ในประเทศที่เศรษฐกิจพัฒนาแล้วซึ่งเรียกว่ากลุ่มประเทศโลกทางเหนือ บรรษัทไอทีเหล่านี้หารือกันว่า "กลุ่มประเทศโลกทางใต้จะกลายเป็นเมืองหลวงศูนย์กลางเอไอและเทคโนโลยีแห่งใหม่หรือไม่" รูฮี ข่าน นักวิจัยจากสภาวิจัยทางเศรษฐกิจและสังคม ESRC ที่ วิทยาลัยเศรษฐศาสตร์ลอนดอน LSE ผู้ที่อาศัยกรอบมุมมองแบบรื้อถอนความคิดอาณานิคมและมุมมองแบบแนวสตรีนิยมมาทำความเข้าใจเรื่องไอเอและเทคโนโลยี ได้ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการหารือของบรรษัทไอทีเหล่านี้ บรรษัทไอทียักษ์ใหญ่ดูเหมือนจะพยายามทำในสิ่งที่เรียกว่า techno-determinism หรือก็ตือการมีโลกอุดมคติที่ให้เอไอหรือระบบปัญญาประดิษฐ์มาคำนวนและตัดสินใจเรื่องต่างๆ แทนมนุษย์ โดยมองว่าเอไอแก้ไขปัญหาแบบครอบจักรวาลได้ โดยเฉพาะปัญหาในประเทศเศรษฐกิจกำลังพัฒนา ซึ่งคาดหวังว่าจะทำให้ประเทศเหล่านี้กลายเป็นประเทศเศรษฐกิจพัฒนาแล้วได้ ข่าน มองว่า ถึงแม้เธอจะเห็นด้วยอยู่บ้างที่ว่าเอไอสามารถนำมาใช้แก้ปัญหาได้หลายอย่าง และกำลังเป็นสิ่งที่ปฏิวัติวิถีชีวิตคนทั่วโลกอยู่ในตอนนี้ แต่การที่กลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว จะเข้ามาให้ประเทศกำลังพัฒนาหลายเป็น "เมืองหลวงศูนย์กลาง" ของเอไอนั้น อาจจะนำไปสู่ประวัติซ้ำรอย ที่เรียกว่าการล่าอาณานิคมได้ ในมุมมองของข่านนั้น เอไอไม่ได้เป็นกลางแบบไร้อคติ แต่มันมีสิ่งที่มาพร้อมกับอคติของผู้พัฒนาคืออำนาจจากเจ้าอาณานิคม ซึ่งจะทำให้เอไอเปลี่ยนสมดุลอำนาจ กลายเป็นการบั่นทอนกลุ่มคนชายขอบมากยิ่งขึ้นไปอีก ข่าน ได้ชวนตั้งสังเกตว่า การเติบโตอย่างรวดเร็วของเอไอในโลกปัจจุบันตอนนี้นั้น หมายความว่าเรากำลังเผชิญกับ "ลัทธิอาณานิคมเอไอ" อยู่หรือไม่ ถอดรหัส "ลัทธิอาณานิคมเอไอ" ก่อนที่จะไปถึงเรื่องเอไอ ข่านได้ชวนทำความเข้าใจกับมุมมองแบบรื้อถอนแนวคิดอาณานิคมเสียก่อน นั่นคือมุมมองที่เข้าใจว่า อาณานิคมชาติตะวันตกนั้นเคยมีการเข้ามาฉกชิงผืนดิน แย่งชิงทรัพยากร และกดขี่แรงงาน จากดินแดนและผู้คนที่ตกเป็นอาณานิคม ในขณะเดียวกันก็เล่นบท "พระผู้มาโปรด" สำหรับประชากรที่ "ป่าเถื่อน" พร้อมๆ กับรับใช้กลุ่มชนชั้นนำในโลกของเจ้าอาณานิคมที่ได้รับผลประโยชน์ร่วมกับผู้ล่าอาณานิคม สำหรับ "ลัทธิอาณานิคมเอไอ" ข่านก็เล็งเห็นว่า กลุ่มที่มีอำนาจเป็นเจ้าอาณานิคมในยุคก่อน ก็เป็นกลุ่มที่สามารถพัฒนาระบบเอไอ กำหนดได้ว่าจะให้เอไอเรียนรู้พัฒนาตัวเองอย่างไรแล้วก็ผลิตซ้ำสิ่งต่างๆ อย่างไร กลายเป็นการที่บริษัทเทคโนโลยีในโลกตะวันตกผู้ออกแบบระบบ ได้กำหนดโครงสร้างอำนาจแบบบนลงล่างผ่านทางเอไอ แล้วนำมาหาผลกำไรจากกลุ่มประเทศโลกทางใต้ ทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมทางอำนาจแบบเดียวกับลัทธิอาณานิคมในอดีต โดยแทนที่จะใช้พละกำลังบีบบังคับแบบอาณานิคมยุคก่อน ในยุคนี้ก็ใช้อำนาจของการชักจูงและการอ้างเรื่องการพัฒนาเทคโนโลยีมาฟอกขาวการกดขี่คนจนแทน ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนกับการส่งผลต่อคนชายขอบ คือกรณีในออสเตรเลีย ที่ เอไอ ระบุถึง "ชนพื้นเมืองชาวออสเตรเลีย" ในแบบที่ไม่ได้เป็นภาพของชาวพื้นเมืองออสเตรเลียหรือชาวเกาะช่องแคบทอร์เรสอย่างแท้จริง สองนักวิชาการสื่อจากมหาวิทยาลัยเมอร์ดอก คือ เกลน สตาร์ชูก ประธานโครงการโปรดักชันภาพยนตร์และนักวิจัยด้านชนพื้นเมือง และ จอห์น แมคมัลลัน จากวิทยาลัยสื่อและการสื่อสาร ได้พูดถึงเรื่องดังกล่าวนี้เอาไว้ โดยบอกว่ามันคือผลกระทบด้านลบของเอไอที่มีต่อวัฒนธรรมชนพื้นเมืองออสเตรเลีย เรื่องนี้เกิดขึ้นจากการที่ภาพสต็อกของ Adobe ที่ทำขึ้นจากเอไอ ระบุว่าเป็นภาพของ "ชนพื้นเมืองชาวออสเตรเลีย" แต่ภาพดังกล่าวไม่ได้มีลักษณะของชาวพื้นเมืองหรือชาวเกาะช่องแคบทอร์เรส เลยแม้แต่น้อย และภาพบางส่วนก็มีรอยสักบนตัวคนแบบมั่วๆ ไม่ได้เป็นไปตามวัฒนธรรมของชนพื้นเมืองเหล่านี้ ทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์จากทั้งศิลปินชนพื้นเมืองและนักสิทธิมนุษยชน ที่มองว่า เอไอ กำลังทำลายวัฒนธรรมและประเพณีของกลุ่มชนพื้นเมือง ลักษณะการทำงานของเอไอรูปภาพ เอไอ หรือระบบปัญญาประดิษฐ์นี้ จะทำงานได้ต้องมีการป้อนข้อมูลรูปภาพจำนวนมากให้กับสิ่งที่เรียกว่า "โครงข่ายประสาท" หรือ neural network ของเอไอนำไปประมวลผลแยกแยะ คล้ายกับตอนที่คนเราเป็นเด็กแล้วมีคนสอนให้รู้จักแยกแยะสิ่งต่างๆ ออกจากกัน เช่น ชี้ให้เห็นรถแล้วบอกว่านี่คือ "รถ" แล้วหลังจากนั้นก็ให้เห็นลองวาดรูป "รถ" ตามความเข้าใจของตัวเองผ่านการเรียนรู้สังเคราะห์ข้อมูลที่ป้อนให้ เอไอจำนวนมากยังใช้วิธีการเรียนรู้ในการจะสร้างรูปโดย "กระบวนการแพร่กระจายแบบย้อนกลับ" หรือ Reverse Diffusion ซึ่งเป็นกระบวนการข้อมูลที่เอไอจะเอารูปที่พวกนั้นได้รับมาจากการเรียนรู้ แล้วใส่ noise หรือสิ่งที่ดูขัดๆ ลงไปในรูป จากนั้นก็จะค่อยๆ ลด noise เหล่านี้ลงจนกระทั่งมันกลมกลืนไปกับพิกเซลรายละเอียดของรูปโดยใช้สีและความสว่างแบบสุ่ม สำหรับผู้ใช้งานที่ต้องการใช้งาน เอไอ เหล่านี้ก็จะมีการใส่คำต่างๆ ที่เรียกว่า prompt ลงไป แล้วเอไอจะนำคำเหล่านี้ไปเปรียบเทียบกับสิ่งที่มันเรียนรู้มา แล้วจากนั้นมันก็สร้างรูปภาพออกมาในแบบที่มันคิดว่าตรงกับ prompt มากที่สุด ซึ่งผู้ที่เคยใช้เอไอสร้างรูปภาพหลายคนคงเข้าใจดีว่ามันเป็นเรื่องยากแค่ไหนที่จะควบคุมรูปภาพจากเอไอให้ตรงกับที่เราต้องการ เอไอ กับ ความไร้มิติทางวัฒนธรรม รูปภาพจากเอไอนั้นมักจะมีลักษณะดู "ทั่วไป" ซึ่งมักจะถูกนำไปใช้กับการเรียนการสอน, การโปรโมทส่งเสริม, การโฆษณา, โบร์ชัวร์การท่องเที่ยว, ข่าว หรือในเรื่องอื่นๆ ได้ แต่ในขณะเดียวกันหลายๆ ประเทศในโลก เช่น ออสเตรเลีย ก็มีความรุ่มรวยหลากหลายทางวัฒนธรรม มีภาษาถิ่นของชนพื้นเมืองมากกว่า 250 ภาษา และแต่ละกลุ่ม แต่ละที่ ก็มีอัตลักษณ์แตกต่างกันไป การใช้ภาษาของพวกเขาสร้างความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งในสังคมและรู้สึกได้รับการเสริมพลังทางสังคม และนอกจากเรื่องภาษาแล้ว ก็มีศิลปะ การแต่งกาย โบราณวัตถุ ที่แตกต่างกันออกไป แต่เอไอนั้นกลับพยายามกลบทุกอย่างให้ดู "ทั่วไป" เสียจนกลายเป็นการลบล้างมิติทางวัฒนธรรมที่หลากหลายเหล่านี้ ทำให้วัฒนธรรมดูเป็น "เครื่องแบบ" แบบเดียว ไม่มีความรุ่มรวยหลากหลายอีกต่อไป แต่กลายเป็นภาพเหมารวมแทน สตาร์ชูก และ แมคมัลลัน มองว่าเรื่องนี้คือตัวอย่างของ "ลัทธิอาณานิคมทางเทคโนโลยี" ที่กลุ่มบริษัทไอทียักษ์ใหญ่สร้างภาพเหมารวมต่อวัฒนธรรมชนพื้นเมืองที่จริงๆ แล้วหลากหลาย รวมถึงนำเสนอวัฒนธรรมเหล่านี้อย่างผิดๆ ไม่เพียงเท่านั้นการใช้เอไอมาสร้างศิลปะของชนพื้นเมืองยังเป็นการตัดโอกาสที่จะให้ชนพื้นเมืองเหล่านั้นเป็นผู้สร้างศิลปะเหล่านี้ด้วยตัวเองเพื่อบอกเล่าเรื่องราวและเป็นผู้นำเสนอวัฒนธรรมด้วยตนเอง สตาร์ชูก และ แมคมัลลัน เสนอวิธีการแก้ไขว่าควรจะให้มีการหารือและการมีส่วนร่วมในการพัฒนาเอไอ ทั้งจากบริษัทไอทีที่ผลิตเอไอ จากนักวิจัย จากรัฐบาล และจากชุมชนชนพื้นเมืองด้วย การประสานความร่วมมือเหล่านี้จะช่วยทำให้แต่ละฝ่ายสามารถนำเสนอสิ่งที่เอไอควรจะเรียนรู้เกี่ยวกับชนพื้นเมือง และมีการตั้งกฎเกณฑ์แนวทางการใช้เอไอในการสร้างผลงาน รวมถึงให้ความรู้ผู้ใช้งานเอไอด้วยว่ามันอาจจะกลายเป็นการทำลายมิติทางวัฒนธรรมได้ ปัญหาการดูดข้อมูล ข่าน ยังได้ชี้ให้เห็นปัญหาของการใช้เอไอจากบรรษัทยักษ์ใหญ่ในประเทศโลกทางเหนืออีกด้านหนึ่ง คือด้านของการดูดข้อมูล ฝ่ายโลกทางเหนือกำลังต้องการข้อมูลจากกลุ่มประเทศโลกทางใต้อย่างมาก จีงมีการเจาะและดูดข้ิอมูลจากผู้ใช้งานในโลกทางใต้ไปใช้โดยแทบจะไม่มีความโปร่งใส ไม่ถามความยินยอม และไม่ได้ให้ผลประโยชน์ใดๆ กับชุมชนที่พวกเขาดูดข้อมูลไปใช้ การดูดข้อมูลเหล่านี้มีกระทั่งในแอพที่ผู้คนทั่วโลกใช้งานเป็นประจำอย่าง แอพค้นหาด้วยกูเกิล และ กูเกิลแมป โดยที่บรรษัทจะนำข้อมูลเหล่านี้ไปทำเงินต่อโดยไม่ได้ชดเชยอะไรให้ผู้ใช้งาน มีอีกกรณีหนึ่งคือการใช้วิธี Crowdsources หรือหาแหล่งที่มาของข้อมูลโดยอาศัยประชาชนเป็นผู้ให้ข้อมูลแบบฟรีๆ ซึ่งบริษัท Mozilla ได้นำมาใช้เก็บรวบรวมข้อมูลภาษาในโครงการ Common Voice ของพวกเขา แต่กลุ่มชาวเมารี ซึ่งเป็นกลุ่มชนพื้นเมืองก็ปฏิเสธไม่ยอมให้ Mozilla นำเสียงจากภาษาของพวกเขาไปใช้ฟรีๆ เพราะกังวลเรื่องอธิปไตยทางข้อมูลภาษาและต้องการรักษาหลักการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม ไม่ให้บริษัทไอทีแสวงหาผลประโยชน์ฟรีๆ จากพวกเขา อีกเรื่องหนึ่งที่มีข้อวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับโซเชียลมีเดีย คือการที่โซเซียลอย่างเฟสบุคใช้ทรัพยากรในการกำกับดูแลข้อมูลไปกับกลุ่มประเทศโลกทางเหนือมากกว่า ทำให้มีการกำกับดูแลที่ดีกว่าเมื่อเทียบกับประเทศโลกทางใต้ แต่ขณะเดียวกันการใช้ทรัพยากรเหล่านี้ไปลงที่ประเทศโลกทางเหนืออย่างเดียวก็ทำให้มีการพัฒนาเอไอมาเพื่อดูแลเนื้อหาเหล่านี้โดยขาดความเข้าใจบริบททางวัฒนธรรมที่แตกต่าง เช่น มีการนำเนื้อหาที่ถูกกฎเกณฑ์ออกเพราะความเข้าใจผิด แต่กลับปล่อยให้เนื้อหาอันตรายยังคงอยู่เป็นเวลานาน ทำให้ประเทศโลกทางใต้ประสบปัญหา ข้อมูลที่ไม่จริง ข้อมูลใส่ร้าย เฮทสปีช และการปั่นกระแสทางการเมือง ทำให้ปัญหาความตีงเครียดทางสังคมและการเมืองแย่ลงไปอีก "ดีพเฟค" ปัญหาใบหน้าปลอมและการละเมิดความเป็นส่วนตัวผู้เยาว์ มีการยกตัวอย่างกรณีของอาร์เจนตินา ที่โครงการเอไอซึ่งได้รับการสนับสนุนจากไมโครซอฟต์ ได้ทำการเก็บข้อมูลส่วนตัวของเด็กหญิงวัยรุ่นโดยที่พวกเธอไม่ได้รู้ตัวและไม่ได้ยินยอม อาศัยเพียงแค่การสัมภาษณ์ "หัวหน้าครอบครัว" ซึ่งมักจะเป็นพ่อของพวกเธอเท่านั้น ทำให้เกิดระบบเก็บข้อมูลแบบล่วงล้ำในแบบที่จะไม่มีทางเกิดขึ้นในประเทศโลกทางเหนือ เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นว่าประเทศโลกทางใต้ยังคงมีเรื่องมาตรฐานจริยธรรมทางการใช้ข้อมูลและสิทธิคุ้มครองข้อมูลที่เปราะบางกว่า จนเกิดการแสวงหาผลประโยชน์ได้ อีกเรื่องหนึ่งที่น่าเป็นห่วงคือการใช้เอไอแบบ "ดีพเฟค" หรือการสร้างใบหน้าเสมือนคนๆ หนึ่งแต่เอาไปแปะติดรูปหรือวิดีโอของร่างกายคนอื่น หรือกระทั่งใช้สวมรอยเป็นคนๆ นั้น เรื่องนี้ทำให้เกิดการหลอกลวงต้มตุ๋นเอาเงินแบบที่เกิดในฮ่องกง หรือกระทั่งเป็นบ่อเกิดของการใส่ร้ายป้ายสีทางการเมืองแบบที่เกิดในช่วงเลือกตั้งของอินเดียเมื่อไม่นานนี้ กลายเป็นการทำลายประชาธิปไตยได้ หรือมีกรณีของปากีสถานที่กฎหมายคุ้มครองข้อมูลอ่อน ทำให้เกิดการสแกม การใช้เอไอสอดแนมประชาชน เรื่องเหล่านี้สะท้อนให้เห็นภัยจากเอไอที่มีต่อ ประชาธิปไตย ความปลอดภัย และความเป็นส่วนตัวของประชาชน การเอาท์ซอร์ส และการกดขี่แรงงาน บรรษัทไอทียักษ์ใหญ่มักจะมีการเอาท์ซอร์สงานพัฒนาเอไอไปให้กับแรงงานในประเทศโลกทางใต้ด้วย ซึ่งมักจะเป็นประเทศที่มีการคุ้มครองแรงงานไม่ดีพอ หรือขาดเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ มีตัวอย่างคือกรณี ไมโครซอฟต์, กูเกิล และแอมะซอน ได้ทำการเอาท์ซอร์สการฝึกเอไอให้กับประเทศเวเนซุเอลา ซึ่งแรงงานที่ช่วยพัฒนาเอไอเหล่านี้ไม่ได้ถูกมองว่ามีคุณค่า อีกทั้งยังถูกทำให้ล่องหนไม่ได้รับการมองเห็น นอกจากนี้ยังมีกรณีบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง เมตา เจ้าของเฟสบุค และบริษัท OpenAi กับ Scale AI ซึ่งต่างก็เคยเผชิญข้อกล่าวหาว่าได้กดขี่ขูดรีดแรงงานในเคนยา ที่พวกเขาเอาท์ซอร์สให้เป็นแรงงานคอยดูแลเนื้อหาระบบเอไอ โดยแรงงานชาวเคนยาเหล่านี้ได้ค่าแรงเพียงแค่ 1.50 ดอลลาร์ ต่อขั่วโมง หรือราว 40-50 บาท ต่อชั่วโมง ซึ่งมีการสั่งงานให้พวกเขาต้องดูเนื้อหาที่ชวนให้เกิดความบอบช้ำทางใจ เช่นเนื้อหาความรุนแรง การล่วงละเมิด การทารุณกรรม นอกจากนี้ยังมีกรณีสภาพการจ้างงานดูแลเอไอในฟิลิปปินส์ที่มีปัญหามาก ทั้งสัญญาจ้างไม่แน่นอน มีการไม่จ่ายค่าจ้าง และไล่ออกแบบไม่ทันตั้งตัว ปัญหาทำลายสิ่งแวดล้อม เอไอยังเป็นเทคโนโลยีที่ต้องใช้ทรัพยากรอย่างมากด้วย การฝึกเอไอขนาดใหญ่ต้องใช้ทรัพยากรน้ำและพลังงานไฟฟ้าอย่างมหาศาล นอกจากนี้ยังต้องใช้เซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งเป็นชิ้นส่วนในอุปกรณ์ไอทีเพื่อการพัฒนานี้ โดยเซมิคอนดักเตอร์จะทำจากแร่อย่างโคบอลต์และลิเธียม ทำให้เกิดการรุกล้ำที่ดินทำกินของผู้คน และการแย่งชิงทรัพยากรของคนในท้องถิ่นแถบ แอฟริกา, เอเชีย และละตินอเมริกา เพื่อเอาไปใช้กับเอไอ มีกรณีตัวอย่างคือ คองโก ที่เป็นแหล่งแร่โคบอลต์ เป็นแหล่งจัดหาโคบอลต์ให้ตลาดโลกร้อยละ 70 แต่ก็มีการใช้แรงงานเยี่ยงทาสสมัยใหม่ แรงงานทาสเหล่านี้ต้องทำงานในสภาพที่อันตราย รวมถึงมีกรณีการเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บของแรงงานเด็กที่ทำงานในเหมืองเหล่านี้ด้วย กรณีของชิลี ก็มีการถลุงแร่ลิเธียมจนก่อให้เกิดปัญหาน้ำแล้งและสร้างมลภาวะต่อระบบนิเวศน์ ส่งผลต่อกลุ่มชนพื้นเมืองในพื้นที่เหล่านี้ ในอุรุกวัยที่ตัดสินใจให้กูเกิลเปิดศูนย์ข้อมูลในประเทศได้ ก็มีการใช้น้ำเป็นทรัพยากรอย่างมากจนเกิดภัยแล้งหนักที่สุดในรอบ 74 ปี ข้อเสนอของนักวิชาการในการแก้ปัญหา ข่าน ระบุว่า การจะทำให้เอไอส่งผลดีต่อมนุษย์ทุกคนได้อย่างเท่าเทียมนั้น ควรจะยะระดับให้ประเทศโลกทางใต้เป็นมากกว่าแค่พื้นที่ทดลองหรือแหล่งแรงงานเพียงอย่างเดียว แต่ควรมีการปฏิบัติให้เท่าเทียมกับประเทศโลกทางเหนือมากขึ้นด้วยวิธีการดังต่อไปนี้คือ 1. มีการลงทุนนวัตกรรมในท้องถิ่นและความสามารถหลัก เช่นทำให้เกิดสตาร์ทอัพ แหล่งอุดมศึกษา และสถาบันแห่งชาติสำหรับเอไอของประเทศนั้นๆ เอง 2. คือการปฏิรูปการเข้าถึงโครงสร้างให้เป็นประชาธิปไตย ทำให้ผู้คนเข้าถึงพลังงานไฟฟ้า อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง และสามารถมีส่วนร่วมต่อเศรษฐกิจเอไอได้อย่างจริงจังกว่านี้ 3. ส่งเสริมเรื่องการกำกับดูแลข้อมูลในแบบที่มีจริยธรรมและมีความคำนึงถึงอย่างครอบคลุมผู้คนที่หลากหลาย เพื่อการันตีว่าจะมีการคุ้มครองอธิปไตยของข้อมูลของกลุ่มชนพื้นเมือง และมีการขอความยินยอมจากผู้ใช้งาน ส่งเสริมให้ชุมชนเป็นเจ้าของข้อมูลที่นำไปใช้ฝึกเอไอ 4. การทำให้ประเทศโลกทางใต้มีสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาของเทคโนโลยี เพื่อที่จะสามารถได้ประโยชน์จากทรัพย์สินทางปัญญาที่เกี่ยวข้องกับเอไอ 5. การพัฒนาความเท่าเทียมการกำกับดูแลระดับนานาชาติ หมายความว่าให้กลุ่มประเทศโลกทางใต้มีการนำเสนอแบบอย่างของตัวพวกเขาเองในการกำกับดูแลเอไอ รวมถึงการกำกับดูแลเรื่องการสอดแนม สิทธิแรงงาน มาตรฐานสิ่งแวดล้อม และการคุ้มครองข้อมูล ข่าน มองว่าสิ่งเหล่านี้จะช่วยแก้ไขปัญหา อาณานิคมเอไอ ได้ เพราะสิ่งเหล่านี้คือการที่โลกจะช่วยกันสร้าง ทำให้เกิดความสมดุลระหว่างนวัตกรรม ไปพร้อมๆ กับความเท่าเทียม ความรับผิดชอบ และความยุติธรรม เรียบเรียงจาก From AI colonialism to co-creation: bridging the global AI divide, Ruhi Khan, LSE, 14-07-2025 How AI is creating a new form of tech colonialism, Murdoch, 13-03-2025   * รายงานพิเศษ * สิทธิมนุษยชน * ต่างประเทศ * AI * ชนพื้นเมืองออสเตรเลีย * เทคโนโลยี
dlvr.it
July 29, 2025 at 4:07 AM
Reposted by Wincenzo
best accounts for a timeline cleanse?
July 24, 2025 at 4:44 PM
Reposted by Wincenzo
เขตชายแดนอันตรายสุดจริง แต่เขตในเมืองก็ถือว่า depressing พอสมควร สภาพตอนนี้มันไม่ใช่คนหนีตายมาจากอำเภออื่น แต่ธนาคารจำเป็นต้องปิดชั่วคราว โรงเรียนถูกสั่งปิดใช้เป็นศูนย์พักพิง มหาลัยแถวนี้เริ่มสั่งเรียนออนไลน์ คนต้องโดเนทข้าวของ บริจาคเลือด ออกไปกินข้าวเขาก็คุยกันเกี่ยวกับเรื่องสงคราม สภาพมันหดหู่มากอ่ะ ละนี่ต้องกลับมหาลัยในอีกไม่กี่วัน จะนอนยังไงไม่ให้ห่วงทางนี้
July 27, 2025 at 7:03 PM
Reposted by Wincenzo
ceasefire เร็วๆ ซักทีเหอะ บ้านปู่ย่าฉันโซนสีส้มแล้ว ตอนนี้เปิดเป็นแหล่งให้ชาวบ้านอำเภออื่นเข้าไปขอหลบภัยด้วยแล้ว ถ้าเกิดไรขึ้นมาเขาจะหนีไปไหนได้ มีแต่คนแก่ป่วยติดเตียง เห้อ 😞
July 28, 2025 at 10:15 AM
Reposted by Wincenzo
การหลับหูหลับตาเชียร์ให้มีสงครามโดยไม่สนใจผลกระทบที่ตามมาต่างหากที่ควรเรียกว่าอ่อนต่อโลก
July 24, 2025 at 4:51 AM