Prachatai Feeds
banner
prachataifeeds.bsky.social
Prachatai Feeds
@prachataifeeds.bsky.social
สิ้นสุดคดี ม.112 'บัสบาส' ศาลฎีกาสั่งจำคุก 46 ปี ไม่รอลงอาญา โทษสูงสูงสุดเป็นประวัติการณ์
สิ้นสุดคดี ม.112 'บัสบาส' ศาลฎีกาสั่งจำคุก 46 ปี ไม่รอลงอาญา โทษสูงสูงสุดเป็นประวัติการณ์
สิ้นสุดคดี ม.112 'บัสบาส' ศาลฎีกาสั่งจำคุก 46 ปี ไม่รอลงอาญา โทษสูงสูงสุดเป็นประวัติการณ์ Pazzle Thu, 2025-12-11 - 12:43 โทษสูงสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ศาลฎีกาพิพากษาจำคุก 46 ปี ไม่รอลงอาญา “บัสบาส” นักกิจกรรมเชียงรายวัย 31 ปี ในคดี ม.112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ จากเหตุโพสต์เฟซบุ๊ก 27 ข้อความ คำพิพากษาของศาลฎีกาเป็นเหตุให้คดีของบัสบาสมีผลสิ้นสุดลงทันที ขณะนี้บัสบาสถูกคุมขังมาแล้วกว่า 694 วัน นับตั้งแต่หลังฟังคำพิพากษาชั้นอุทธรณ์ โดยบัสบาสถูกดำเนินคดี ม.112 จากการโพสต์เฟซบุ๊กรวม 27 ข้อความ หลังนั่งอดข้าวประท้วงเรียกร้องสิทธิประกันตัวผู้ต้องขังทางการเมือง หน้าศาลอาญาช่วงสงกรานต์ปี 2564   11 ธ.ค. 2568 ศูนย์ทนายเพื่อสิทธิมนุษยชนรายงาน ศาลจังหวัดเชียงรายอ่านคำพิพากษาของศาลฎีกาคดี ม.112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ของ “บัสบาส” มงคล ถิระโคตร พ่อค้าขายของออนไลน์และนักกิจกรรมวัย 31 ปี ศาลฎีกาพิพากษาแก้เป็นจำคุก 46 ปี ไม่รอลงอาญา เหตุโพสต์เฟซบุ๊ก 27 โพสต์ ทำให้คดีสิ้นสุดลงทันที ขณะที่บัสบาสถูกคุมขังยาว 694 วันแล้ว นับตั้งแต่หลังฟังคำพิพากษาชั้นอุทธรณ์ ก่อนหน้านี้ ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาจำคุกบัสบาส 50 ปี ไม่รอลงอาญา ทำให้บัสบาสถูกคุมขังตั้งแต่นั้นเรื่อยมา โดยไม่ได้รับสิทธิประกันตัว หลังจากที่ศาลฎีกามีคำพิพากษาในวันนี้แล้ว ทำให้คดีนี้ของบัสบาสสิ้นสุดลงทันที ย้อนไปเมื่อเดือนเมษายน 2564 บัสบาสในวัย 27 ปี ทำผมสีเขียวแบบเดียวกับโจ๊กเกอร์ วายร้ายในเรื่องแบทแมน เดินทางจาก จ.เชียงราย พร้อมกระเป๋าเป้หนึ่งใบ นั่งอดอาหารหน้าศาลอาญา กรุงเทพ เพื่อเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงความไม่พอใจต่อกระบวนการยุติธรรม ที่ไม่ให้สิทธิประกันตัวต่อจำเลยกลุ่มราษฎร เขาเล่าเหตุผลที่ตัดสินใจอดอาหารว่า ศาลยังไม่ตัดสินเลยว่ากลุ่มราษฎรกระทำความผิด ควรที่จะได้ออกมาสู้คดี แต่กลับถูกคุมขังไปก่อนแล้ว ตนรู้สึกว่าไม่เป็นธรรมจึงมาเรียกร้องสิทธิประกันตัวให้เพื่อน เขาเริ่มอดอาหารตั้งแต่เดินทางมาจากเชียงราย โดยดื่มเพียงน้ำ เหลือแร่ และน้ำหวาน หลังจากนั้นศูนย์ทนายเพื่อสิทธิมนุษยชนรายงานว่าบัสบาสถูกจับกุมและดำเนินคดี 2 ครั้ง ในคดีมาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ จากการโพสต์เฟซบุ๊กรวม 27 ข้อความ หลังนั่งอดข้าวประท้วงเรียกร้องสิทธิประกันตัวผู้ต้องขังทางการเมือง หน้าศาลอาญาช่วงสงกรานต์ปี 2564 ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 26 ม.ค. 2566 ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดจำนวน 14 ข้อความ และยกฟ้องอีก 13 ข้อความ เนื่องจากไม่สามารถระบุได้ว่าหมายถึงรัชกาลปัจจุบัน และบางโพสต์ก็ไม่เป็นการดูหมิ่น หมิ่นประมาท หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท ทำให้ไม่เป็นความผิดตามมาตรา 112 ลงโทษจำคุกกระทงละ 3 ปี รวม 14 กระทง จำเลยให้การเป็นประโยชน์ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกกระทงละ 2 ปี รวมโทษจำคุก 28 ปี ต่อมา ทั้งจำเลยและโจทก์ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ภาค 5 โดยโจทก์ขอให้ศาลลงโทษจำเลยในทุกข้อความรวม 27 ข้อความ กระทั่งวันที่ 18 ม.ค. 2567 ศาลจังหวัดเชียงรายอ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาแก้ไขคำพิพากษาของศาลชั้นต้น โดยเห็นว่าคำพิพากษาของศาลฎีกาที่ 6374/2556 วางหลักความผิดตามมาตรา 112 ให้คุ้มครองรวมถึงอดีตกษัตริย์ด้วย จึงเห็นว่า จำเลยกระทำความผิดอีก 11 กระทง ที่ก่อนหน้านี้ศาลชั้นต้นยกฟ้อง ลงโทษจำคุกกระทงละ 3 ปี จำเลยให้การเป็นประโยชน์ลดโทษให้ 1 ใน 3 เหลือจำคุกกระทงละ 2 ปี รวมจำคุก 22 ปี เมื่อรวมกับโทษจำคุกใน 14 กระทงก่อนหน้านี้ รวมเป็นโทษจำคุก 50 ปี ซึ่งเป็นโทษจำคุกในคดีมาตรา 112 ที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย   * ข่าว * สิทธิมนุษยชน * ศูนย์ทนายเพื่อสิทธิมนุษยชน * มงคล ถิระโคตร * คดี ม.112 * พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ * บัสบาส
dlvr.it
December 11, 2025 at 5:49 AM
เด็กรหัส G ที่มี ‘ค่า’ 25,000 คน ลูกแรงงานเขมรในไทย ความขัดแย้งชายแดนกับสิทธิเด็ก (1)
เด็กรหัส G ที่มี ‘ค่า’ 25,000 คน ลูกแรงงานเขมรในไทย ความขัดแย้งชายแดนกับสิทธิเด็ก (1)
เด็กรหัส G ที่มี ‘ค่า’ 25,000 คน ลูกแรงงานเขมรในไทย ความขัดแย้งชายแดนกับสิทธิเด็ก (1) รายงาน : รวิวรรณ รักถิ่นกำเนิด, ดลวรรฒ สุนสุข Pazzle Thu, 2025-12-11 - 08:40 2,556 บาท คือ ราคาเฉลี่ย ‘ค่าหัว’ ของเงินอุดหนุนทางการศึกษาที่รัฐจัดสรรให้กับเด็กนักเรียนรหัส G ในโรงเรียนรัฐสังกัด สพฐ. ให้สำหรับเด็กนักเรียนที่ไม่มีบัตรประจำตัวประชาชน หรือลูกหลานแรงงานช้ามชาติไม่ว่าจะมีสัญชาติใดก็ตาม หากต้องการเข้าเรียน โรงเรียนก็จะออกรหัส G-Code ให้เพื่อใช้ส่งไปยืนยันจำนวนกับกระทรวงศึกษาธิการว่ามีเด็กจำนวนเท่าใดที่ต้องจัดสรรงบประมาณ ซึ่งเด็กรหัส G จะได้งบอุดหนุนรายปีเท่ากับเด็กไทย ตั้งแต่ 1,836 บาทในระดับชั้นก่อนประถม 2,052 บาทในชั้นประถม และ 3,780 บาท สำหรับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น (ข้อมูลปีงบประมาณ 2567)  หลายคนอาจะเข้าใจผิดว่า เงินรายหัวเหล่านี้นั้นจะตกกับเด็กโดยตรง แต่ในความเป็นจริงงบฯ ดังกล่าวจะถูกโอนเข้าโดยตรงให้กับโรงเรียนเพื่อ ‘จัดกการศึกษา’ ให้กับเด็กทุกคนโดยที่นักเรียนไม่ต้องเสียค่าเทอม  ปีการศึกษา 1/ 2568 โรงเรียนไทยมีนักเรียนรหัส G ทั้งหมด 184,029 คน กระจายอยู่ตามสถานศึกษาทั้ง 11 แห่งของรัฐและเอกชน อยู่ในสังกัดของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) มากที่สุด คือ 108,478 คน และหากพิจารณาเฉพาะเด็กนักเรียนสัญชาติกัมพูชา ที่กระจายอยู่ตามสถานศึกษาทั่วประเทศ จะอยู่ที่ 25,945 คน ภาคตะวันออกมีจำนวนมากที่สุด คือ 16,415 คน จำนวนเด็กที่เพิ่มขึ้นสะท้อนให้เห็นถึงความต้องการให้ลูกหลานเข้าถึงการศึกษา ซึ่งโดยหลักการไทยได้โอบรับความต้องการนี้ผ่านหลักการ การศึกษาขั้นพื้นฐานอย่างทั่วถึง (education for all ) ซึ่งไทยได้เข้าร่วมเมื่อปี 2533 จนกลายเป็นที่มาของ พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติ 2542 รัฐต้องให้การศึกษาฟรี 12 ปี โดยไม่เลือกปฏิบัติ และรัฐเองจะมีเงินอุดหนุนรายหัวให้ตามจำนวนผู้เรียน มากน้อยลดหลั่นกันไปตามระดับชั้น  พงศ์ทัศ วนิชานันท์ นักวิจัยนโนบายด้านปฏิรูปการศึกษาจาก มูลนิธิสถาบันพัฒนาเพื่อการวิจัย TDRI อธิบายว่า ในประเทศไทย เด็กทุกคนไม่ว่าสัญชาติใด มีสิทธิที่จะได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานจนจบชั้นมัธยมปลาย โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญปี 2560 และรัฐมีหน้าที่จัดสรรงบประมาณผ่านกระทรวงศึกษาธิการ ดังนั้นโรงเรียนรัฐทุกแห่งจึงไม่มีสิทธิที่จะปฏิเสธไม่รับเด็กเข้าเรียน บวกกับการเพิ่มขึ้นของแรงงานข้ามชาติในประเทศไทย ที่แต่ละคนมักจะมีผู้ติดตามเข้ามาเป็นครอบครัว จำนวนเด็กจึงเพิ่มขึ้นอย่างสอดคล้องกัน อัตราการกระจุกตัวจะแตกต่างกันไปตามกลุ่มจังหวัดที่มีแรงงานข้ามชาติอาศัยอยู่  พงศ์ทัศ เน้นย้ำเพิ่มว่า การจัดการศึกษาของโรงเรียนมีต้นทุนที่ต้องแบกไว้ ต้นทุนส่วนหนึ่งของโรงเรียนจะเพิ่มขึ้นตามจำนวนเด็กที่เข้ามาเรียน ค่า ค่าอุปกรณ์การเรียน หนังสือ รวมถึงค่าใช้จ่ายในการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ซึ่งตามหลักการจัดสรรงบฯ ให้แก่โรงเรียนจะถูกคิดบนฐานจำนวนเด็กรายหัว เพื่อนำมาจัดสรรให้ครอบคลุมต้นทุนดังกล่าว บนคติความเท่าเทียมทางการศึกษาอย่างที่เด็กทุกคนควรจะได้  อดีตครูโรงเรียนขยายโอกาสแห่งหนึ่งในชลบุรี ตั้งข้อสังเกตว่า การที่โรงเรียนรับเด็กเข้ามาเรียนมากขึ้นเท่าไร ไม่ว่าสัญชาติไหน จะทำให้โรงเรียนเหล่านั้นไม่ถูกยุบ โดยเฉพาะโรงเรียนขนาดเล็กที่ตนเคยสอน ทั้งชั้นปีมีเด็กรวมกันได้เพียง 1 ห้องเรียน หรือราว 30 คน และแทบทั้งหมดไม่ใช่เด็กสัญชาติไทย พื้นที่ที่เคยสอนนั้นอยู่ในอาณาบริเวณของโรงงานเลี้ยงสัตว์ เต็มไปด้วยแรงงานข้ามชาติที่มากันเป็นครอบครัว และพาลูกหลานเข้ามาเรียนที่โรงเรียน เมื่อมีนักเรียน โรงเรียนก็มีตัวเลขที่จะส่งไปขอเงินอุดหนุนจากกระทรวง นำงบมาพัฒนาโรงเรียน จัดการเรียนการสอน  อดีตครูให้ความเห็นว่า ครูมีหน้าที่สอนเด็กทุกคนให้อ่านออกเขียนได้ มีความรู้ออกไปใช้ชีวิต ยิ่งเป็นเด็กข้ามชาติที่ต่อมาจะกลายมาเป็นแรงงานในไทย ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ครูยิ่งต้องช่วยสอนให้อ่านออกเขียนได้      เด็กรหัส G ต้องไม่มีเด็กกัมพูชา ? แม้ไทยจะมอบสิทธิตามรัฐธรรมนูญให้เด็กทุกสัญชาติ ในทางปฏิบัตินั้นไม่ได้สะดวกโยธินดั่งหลักการ ยิ่งเมื่อมีอคติที่แฝงฝังมากับชาตินิยมในสภาวการณ์ของความขัดแย้งสองประเทศ การนำเด็กข้ามชาติเหล่านี้เข้าระบบโรงเรียนจึงเต็มไปด้วยอุปสรรค โดยเฉพาะลูกหลานแรงงานสัญชาติกัมพูชา  ข้อมูลจากฐานข้อมูล สพฐ.ระบุว่า ณ สิ้นปี 2567 มีจำนวนนักเรียนกัมพูชาตั้งแต่ระดับก่อนวัยเรียนจนถึงมัธยมศึกษาตอนปลายทั้งสิ้น 25,943 คน กระจายอยู่ตามโรงเรียนของรัฐทั่วประเทศ แต่หลังเหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่างสองประเทศ ตัวเลขดังกล่าวอาจจะลดน้อยลงเพราะพ่อแม่นำเด็กกลับประเทศต้นทาง ‘ครูจิ๋ว’ ทองพูล บัวศรี ผู้ขับเคลื่อนการศึกษาเด็กลูกหลานแรงงานข้ามชาติในประเทศไทย มูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก  เล่าถึงเรื่องราวการต่อสู้เพื่อให้เด็กไร้โอกาสได้เข้าถึงการศึกษาว่า  โดยปกติการนำเด็กข้ามชาติเข้าเรียนนต้องมีตัวกลาง โดยเฉพาะองค์กรพัฒนาเอกชน หรืออาสาสมัครเข้าไปช่วยอำนวยความสะดวก เพราะตัวแรงงานหลายคนไม่รู้ขั้นตอนและระเบียบ รวมถึงกำแพงภาษา  อย่างเช่นงานที่ครูจิ๋วทำ เธอจะเข้าไปคุยกับพ่อแม่เด็ก ตามแคมป์คนงาน พาเด็กๆ เข้าไปสมัครเรียน จัดการเรื่องเอกสารกับโรงเรียน ครูจิ๋วพบว่าในช่วงแรก ปัญหาหลักที่คล้ายคลึงกันของเด็กทุกคนคือ การที่ต้องย้ายตามพ่อแม่ไปตามสถานที่ทำงาน แต่การเข้าเรียนคือการที่เด็กต้องอยู่เป็นหลักแหล่งเพื่อความต่อเนื่องทางการศึกษา ทำให้ผู้ปกครองบางส่วนมองว่าการเข้าเรียนเป็นไปได้ยาก ซึ่งการมีองค์กรเอกชนเข้าไปช่วยเป็นตัวกลางดำเนินการเรื่องการย้ายโรงเรียน ทำให้เด็กข้ามชาติจำนวนหนึ่งสามารถเข้าเรียนได้ในโรงเรียนรัฐได้ฟรีและต่อเนื่อง  แต่ความเป็นได้นั้นเริ่มทยอยลดน้อยถอยลงหลัง เมื่อมีการปะทะกันระหว่างไทยและกัมพูชา ครูจิ๋วสะท้อนว่า การทำงานเริ่มถูกตั้งคำถามว่า “เข้าไปช่วยเหลือคนพวกนี้ทำไม?” การจะระดมเงินช่วยเหลือแต่ละครั้ง หากบอกว่าจะนำไปช่วยลูกหลานแรงงานกัมพูชา จาก ‘ดอกไม้’ จะกลายเป็น ‘ก้อนหิน’ ทันที ตัวผู้ปกครองเองจากที่เคยยินดีจะพาลูกเข้าเรียน ก็กลายเป็นหวาดระแวง กลัวว่าลูกหลานตนเองจะพลอยได้รับความเกลียดชังไปด้วย แม้พวกเขาจะไม่ใช่ต้นตอของความขัดแย้งก็ตาม “สำหรับเด็กเล็ก โรงเรียนคือพื้นที่ที่ปลอดภัยที่สุด ที่เด็กจะได้เป็นเด็ก มีข้าวกิน มีความรู้ อ่านออกเขียนได้ มีสังคม มีเพื่อนเล่น ในความคิดของเด็กหลังรั้วโรงเรียน ไม่มีหรอกที่เด็กเขาจะมาทะเลาะกันเพราะคนละเชื้อชาติ ยิ่งในเด็กเล็ก เขาไม่คิดถึงเรื่องสัญชาติด้วยซ้ำ แต่ทุกวันนี้ บางโรงเรียนที่เราไปวิ่งเรื่องเพื่อพาเด็กกัมพูชาเข้าไปเรียน ถึงโรงเรียนจะไม่ปฏิเสธตรงๆ แต่ก็จะพูดอ้อมๆ ว่า ยังไม่รับในภาคเรียนนี้บ้าง ที่เต็มบ้าง ”  โรงเรียนควรเป็นสถานที่ปลอดภัยให้เด็กทุกคนได้เติบโตสมวัย และพัฒนาศักยภาพทางการศึกษา เพื่อที่วันหนึ่งเด็กเหล่านี้จะกลายมาเป็นกำลังสำคัญที่จะขยับตัวเลขทางเศรษฐกิจ การมีอยู่ของเด็กเหล่านี้ในระบบการศึกษา เป็นเครื่องการันตีว่า การศึกษาไทย พยามเต็มที่ ที่จะไม่ทอดทิ้งเด็กกลุ่มไหนไว้ข้างหลัง  ในตอนถัดไปจะพาไปรู้จักกับเรื่องราวของชุมชนแรงงานข้ามชาติชาวกัมพูชาในภาคตะวันออก ภูมิภาคที่มีเด็กนักเรียนข้ามชาติเข้าเรียนในสังกัดโรงเรียนรัฐไทยมากที่สุด เด็กเหล่านี้ต้องปรับตัวอย่างไรบ้างเพื่อรับมือกับผลกระทบจากชาตินิยมที่พวกเขาไม่ได้เป็นคนก่อ      รายงานนี้ได้รับการสนับสนุนโดย กองบรรณาธิการ ‘โครงการห้องทดลองพัฒนาระบบนิเวศเครือข่ายการสื่อสารสาธารณะเพื่อสันติภาพ’ Lanner, Louder, The Isaan Record, The Motive, Sound Isan, Wartani, ประชาไท, สำนักข่าวชายขอบ,ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน), สถาบันสันติศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์, องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย     * รายงานพิเศษ * การศึกษา * แรงงาน * เด็กกลุ่ม G * สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) * รวิวรรณ รักถิ่นกำเนิด * ดลวรรฒ สุนสุข * ทองพูล บัวศรี * เด็กรหัส G * กัมพูชา
dlvr.it
December 11, 2025 at 1:50 AM
กองทัพอากาศ ย้ำ ไทยมีสิทธิ 'ชิงโจมตีก่อน' ตามหลักสากล หากกัมพูชาใช้อาวุธพิสัยไกล
กองทัพอากาศ ย้ำ ไทยมีสิทธิ 'ชิงโจมตีก่อน' ตามหลักสากล หากกัมพูชาใช้อาวุธพิสัยไกล
กองทัพอากาศ ย้ำ ไทยมีสิทธิ 'ชิงโจมตีก่อน' ตามหลักสากล หากกัมพูชาใช้อาวุธพิสัยไกล Pazzle Wed, 2025-12-10 - 21:13 กองทัพภาคที่ 2 สรุปการใช้อาวุธของฝ่ายกัมพูชาห้วงตั้งแต่วันที่ 7-10 ธ.ค. 2568 กัมพูชามีการใช้อาวุธ BM-21 จำนวน 79 ครั้ง ลูกจรวด 3,160 นัด, ใช้ปืนใหญ่ จำนวน 122 นัด และใช้โดรน ทิ้งระเบิด(FPV) ต่อ ฝ่ายเรา จำนวน 63 ครั้ง 125 ลำ พลอากาศโท จักรกฤษณ์ ธรรมวิชัย โฆษกกองทัพอากาศ ระบุ กรณีที่กัมพูชาอาจใช้อาวุธพิสัยไกลโจมตีเข้ามาในพื้นที่สำคัญ ไทยมีสิทธิตามกฎหมายสากลในการใช้มาตรการ “ชิงโจมตีก่อน” (Preemptive Strike) เพื่อปกป้องประชาชน   10 ธ.ค. 2568 พลเรือตรี สุรสันต์ คงสิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม และโฆษกศูนย์แถลงข่าวร่วมสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา แสดงจุดยืนทางการไทย 1. ไทยไม่ใช่ฝ่ายเริ่ม – ไทยป้องกันตนเอง เพื่อไม่ให้เกิดความสูญเสียต่อประชาชนอีก 2. ทุกการปฏิบัติอยู่ภายใต้ IHL และ มาตรา 51 3. พลเรือนต้องปลอดภัย คือเป้าหมายสูงสุด 4. กองทัพเป็นทางเลือกสุดท้าย ไม่ใช่ทางเลือกแรก 5. ไทยยึดสันติภาพ แต่ไม่ยอมให้ใครละเมิดอธิปไตย พลโท วันชนะ สวัสดี ได้ออกมาให้ความรู้เกี่ยวกับมาตรการชิงโจมตีก่อน (Preemptive Strike) ผ่านเฟซบุ๊กเพจ “กองบัญชาการกองทัพไทย Royal Thai Armed Forces Headquarters” ระบุ Preemptive Strike เท่ากับป้องกันตัว การปฏิบัติการของกองทัพอากาศไทยในสถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชาครั้งนี้ ถือว่าเป็นไปตามหลักได้สัดส่วนและหลักความจำเป็นทางการทหาร โดยคำนึงถึงหลักมนุษยธรรม มีความแม่นยำสูง เราใช้คำว่า Preemmptive Strike คำว่า Preemptive Strike (การโจมตีก่อนเพื่อป้องกัน) เป็นแนวคิดทางการทหารและกฎหมายระหว่างประเทศที่สำคัญมาก โดยเฉพาะในสถานการณ์ตึงเครียด Preemptive Strike คือการโจมตีก่อน “เพราะมีหลักฐานชัดเจนว่าศัตรูกำลังจะโจมตีเราในทันที”ไม่ใช่การรุกรานเพื่อยึดดินแดน แต่เป็นการป้องกันตัวล่วงหน้า (Self-Defense) พูดง่ายๆ คือ“ถ้าไม่ยิงก่อน เราจะโดนยิงแน่ๆ ภายในเวลาอันใกล้” หลักการสำคัญของ Preemptive Strike (ตามกฎหมายสากล) ต้องมี ครบ 4 เงื่อนไขหลัก จึงจะ “ชอบธรรม”: 1. ภัยคุกคามต้องชัดเจนและใกล้จะเกิดทันที (Imminent Threat) เช่น ศัตรูตั้งจรวดเล็ง ยิงได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง 2. ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว (Last Resort)เช่น การเจรจา การเตือน การถอย ไม่ได้ผล 3. ต้องตอบโต้ “เท่าที่จำเป็น” (Proportionality) ไม่ใช้กำลังเกินเหตุ ไม่ถล่มพลเรือน 4. เป้าหมายต้องเป็นทางทหารเท่านั้น (Military Target Only) เช่น ฐานยิงจรวด, เรดาร์, ศูนย์บัญชาการ หากถามว่าไทยใช้ F-16 โจมตีเขมรทันทีเมื่อเห็นเป็นภัยคุกคาม แบบนี้ถือเป็น Preemptive ไหม ตอบว่าเป็น Preemptive เพราะครบ 4 เงื่อนไข 1. มีหลักฐานชัดหรือไม่ว่า อีกฝ่ายกำลังจะโจมตีทันที 2. เป้าหมายที่ถูกโจมตีเป็น ฐานทหารจริง 3. เป็นการยิงเพื่อ หยุดภัยคุกคาม ไม่ใช่ตอบโต้ล้างแค้น 4. ใช้กำลัง เท่าที่จำเป็น ไม่เกินกว่าเหตุ ch3plus โดยวานนี้ (9 ธ.ค. 2568) พลอากาศโท จักรกฤษณ์ ธรรมวิชัย โฆษกกองทัพอากาศ ระบุว่า กรณีที่กัมพูชาอาจใช้อาวุธพิสัยไกลหรือมีประสิทธิภาพสูงขึ้นโจมตีพื้นที่สำคัญในไทย โฆษกกองทัพอากาศยืนยันว่า ไทยมีสิทธิตามกฎหมายสากลในการใช้มาตรการ “ชิงโจมตีก่อน” หรือ Preemptive Strike เพื่อปกป้องพลเรือน หากข่าวกรองยืนยันชัดเจนว่าฝ่ายตรงข้ามตั้งใจใช้อาวุธหนักโจมตีพื้นที่ที่ไม่สมควรเป็นเป้าหมาย พร้อมย้ำว่า “หากมีการพิสูจน์ทราบว่ากัมพูชาจะใช้อาวุธหนักโจมตีในไทย ถือเป็นสิทธิชอบธรรมของไทยในการป้องกันตนเอง และกองทัพไทยจะไม่ปล่อยให้ประชาชนต้องเผชิญภัยคุกคามโดยไม่จำเป็น” โฆษกกองทัพอากาศยังเสริมว่า แม้ข้อมูลส่วนใหญ่จะเป็นชั้นความลับ แต่ทุกการตัดสินใจอยู่บนพื้นฐานของยุทธศาสตร์เพื่อยุติปัญหาโดยสันติวิธี ขณะที่การใช้กำลังทหารถือเป็นทางเลือกสุดท้าย แต่วันนี้ไทยได้มาถึงจุดที่หมดความอดทนแล้ว จึงจำเป็นต้องใช้กำลังทหารเพื่อให้สถานการณ์กลับสู่สภาวะปกติ พร้อมยืนยันว่า “กองทัพไทยพร้อมรบอย่างเต็มศักยภาพ” กองทัพภาคที่ 2 สรุปการใช้อาวุธของฝ่ายกัมพูชาห้วงตั้งแต่ 7-10 ธ.ค. 2568 เวลา 15.00 น. ฝ่ายกัมพูชามีการใช้อาวุธ BM-21 จำนวน 79 ครั้ง ลูกจรวด 3,160 นัด, ใช้ปืนใหญ่ จำนวน 122 นัด และใช้โดรน ทิ้งระเบิด(FPV) ต่อ ฝ่ายเรา จำนวน 63 ครั้ง 125 ลำ พื้นที่ช่องอานม้า ฝ่ายกัมพูชาได้มีการปฏิบัติการโจมตีหลายครั้ง ได้แก่ การใช้อาวุธยิงสนับสนุนและการใช้ระเบิดขว้างในพื้นที่ช่องอานม้า, เนิน 677 และตลาดช่องอานม้าฝั่งไทย พื้นที่พระวิหารฝ่ายกัมพูชาใช้เครนก่อสร้างในพื้นที่เป็นจุดตรวจการณ์ โดยมีการติดตั้งกล้องและอุปกรณ์ตรวจจับด้วยสัญญาณเรดาห์ ทำให้ในห้วงที่ผ่านมาฝ่ายทหารไทย ได้รับบาดเจ็บ และสูญเสียชีวิต ในวันนี้จึงได้ดำเนินการยิงทำลายเครนก่อสร้างดังกล่าว เพื่อทำให้ฝ่ายกัมพูชาสิ้นสภาพขีดความสามารถทางทหาร พื้นที่ปราสาทตาควาย ฝ่ายกัมพูชามีใช้โดรนพลีชีพ FPV จำนวนมาก และ ชุด ชป.โดรน ฝ่ายเราถูกโดรนข้าศึกทิ้งระเบิด กำลังพลฝ่ายเราปลอดภัย ฝ่ายตรงข้ามมีการยิงปืนออกมาจากตัวประสาท ฝ่ายเราใช้พลซุ่มยิงในการยิงตอบโต้ ตามเหตุการณ์ และมีกระสุน BM-21 ตกในพื้นที่ อ.กาบเชิง จว.สุรินทร์ ประมาณ 20 นัด นอกจากนี้ฝ่ายกัมพูชายังใช้อาวุธยิงเข้าใส่พื้นที่พลเรือนฝ่ายไทย โดยในวันนี้ตรวจพบการยิงอาวุธจรวด BM-21 ตกในพื้นที่ใกล้เคียง โรงพยาบาลพนมดงรักเฉลิมพระเกียรติ ห่างประมาณ 500 เมตร ซึ่งกองทัพภาคที่ 2 ได้ประเมินความเสี่ยงแล้ว จึงต้องรีบแจ้งเตือนให้ดำเนินการเคลื่อนย้ายบุคลากรทางการแพทย์และผู้ป่วยเจ็บเข้าที่ปลอดภัย   * ข่าว * การเมือง * ความมั่นคง * กัมพูชา * กรณีพิพาทไทย-กัมพูชา * กองทัพบก * กองทัพอากาศ * จักรกฤษณ์ ธรรมวิชัย
dlvr.it
December 10, 2025 at 2:22 PM
แถลงการณ์ 4 ภาษา "ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ - สสร. เลือกตั้ง 100%" โดยเครือข่ายภาคประชาชน
แถลงการณ์ 4 ภาษา "ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ - สสร. เลือกตั้ง 100%" โดยเครือข่ายภาคประชาชน
แถลงการณ์ 4 ภาษา "ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ - สสร. เลือกตั้ง 100%" โดยเครือข่ายภาคประชาชน hungary budapest Wed, 2025-12-10 - 20:55 ประมาณบ่ายสองของวันนี้ (10 ธ.ค. 2568-วันรัฐธรรมนูญ) กลุ่มรณรงค์ 'Walk to the Future : เดินเปลี่ยนอนาคต' เดินทางมาถึงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย อันเป็นจุดหมายของการเดินเท้าตลอดเวลา 5 วัน นับตั้งแต่วันที่ 6 ธ.ค. ที่ผ่านมา โดยออกเดินเท้ามาจาก อ.วังน้อย จ.อยุธยา ผ่านระยะทางกว่าหกสิบกิโลเมตร ภายใต้การนำของคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.) ร่วมด้วยมวลชนอิสระ และเครือข่ายภาคประชาชนกลุ่มต่าง ๆ รวมกว่าพันคน เพื่อยืนยันจุดยืนว่าต้องการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ จาก สสร. ที่มาจากการเลือกตั้งทั้งหมดเท่านั้น แม้วันนี้รัฐสภาจะโหวตเคาะร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระ 2 พร้อมสูตร '20 หยิบ 1' ปิดประตู สสร. เลือกตั้งจากประชาชนโดยตรงแล้วก็ตาม ข้อเรียกร้องหลักของเครือข่ายมีด้วยกัน 3 ข้อ ดังนี้ 1. ยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 2. เริ่มกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทั้งฉบับ 3. ผู้ร่างรัฐธรรมนูญมาจากการเลือกตั้ง 100% นอกจากสามข้อนี้แล้ว เครือข่ายภาคประชาชนต่าง ๆ ยังมีข้อเสนอของตัวเอง ตามแต่ปัญหาที่ประชาชนของแต่ละเครือข่ายพบเจอ ไม่ว่าจะเป็นการเรียกร้องสิทธิ์ทำแท้งเสรี สิทธิ์ผู้ให้บริการทางเพศ ยกเลิกกฎหมายพิเศษสามจังหวัดชายแดนใต้ สิทธิการมีที่อยู่อาศัย-ที่ทำกิน สิทธิกลุ่มชาติพันธ์ ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ฯลฯ ช่วงท้ายของแถลงการณ์ หนึ่งในตัวแทนเครือข่ายประกาศว่าการเดินรณรงค์ครั้งนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการรณรงค์ครั้งใหญ่ และปีหน้าจะมีการผลักดันเพื่อทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ * ข่าว * การเมือง * สังคม * สิทธิมนุษยชน * คุณภาพชีวิต * Walk to the Future เดินเปลี่ยนอนาคต * คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.) * เครือข่ายประชาชนร่างรัฐธรรมนูญ * ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ * สสร. เลือกตั้ง 100%
dlvr.it
December 10, 2025 at 1:59 PM
ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทำไม?
ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทำไม?
ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทำไม? hungary budapest Wed, 2025-12-10 - 20:51 ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทำไม? ทำไมไม่แก้นิสัยนักการเมือง? ทำไมไม่ทำเรื่องเร่งด่วนก่อน ภัยพิบัติ ชายแดน ฯลฯ? ฟังเสียงเครือข่ายเดินขบวนร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน 'Walk to the Future เดินเปลี่ยนอนาคต' ตอบข้อสงสัยชาวเน็ต หลังเดินทางมาถึงจุดหมายอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อบ่ายสองของวันรัฐธรรมนูญ (10 ธ.ค. 2568) หลังเดินเท้ามา 5 วัน จากวังน้อย อยุธยา ทำไมต้องออกมาเรียกร้องรัฐธรรมนูญใหม่ จาก สสร. เลือกตั้ง 100% ในขณะที่มีวาระฉุกเฉินมากมาย และทำไมไม่แก้นิสัยนักการเมืองก่อนแก้รัฐธรรมนูญ นี่คือบางส่วนจากคำตอบ: "นักการเมืองมาจากไหนเหรอคะ นักการเมืองก็มาจากรัฐธรรมนูญใช่ไหมคะ ฉะนั้น ถ้าเราเขียนรัฐธรรมนูญแบบไหน...เราก็จะได้นักการเมืองแบบนั้นค่ะ" "ถ้าเราอยากแก้นิสัยนักการเมืองมากกว่า แสดงว่าเราเห็นว่านักการเมืองในตอนนี้มันมีปัญหา...เราจำเป็นต้องแก้รัฐธรรมนูญ" "ทำไปพร้อม ๆ กันครับ ก็ไม่เห็นว่าส่วนไหนจะหยุดในการแก้ภัยพิบัติ ไม่เห็นว่าส่วนไหนจะหยุดในการแก้ไขปัญหาชายแดน...ไม่จำเป็นว่าต้องทำอันนี้ก่อน แล้วค่อยทำอันนี้ทีหลังครับ" "นอกจากการตอบสนองภัยพิบัติเฉพาะหน้าแล้วนะคะ เราก็ยังต้องวางแผนไปข้างหน้าด้วยนะคะ ก็คือการขับเคลื่อนเรื่องนี้ในเชิงนโยบาย" "วันนี้ปัญหาภัยพิบัติ รัฐไม่ได้มีการเตรียมพร้อม ขาดผู้นำที่มันชัดเจน มันก็เป็นผลมาจากรัฐธรรมนูญ 60 ที่มันทำให้เสถียรภาพทางการเมืองมันไม่ดี" * สัมภาษณ์ * การเมือง * สังคม * สิทธิมนุษยชน * คุณภาพชีวิต * Walk to the Future เดินเปลี่ยนอนาคต * คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.) * เครือข่ายประชาชนร่างรัฐธรรมนูญ * ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ * สสร. เลือกตั้ง 100%
dlvr.it
December 10, 2025 at 1:59 PM
'เดินเปลี่ยนอนาคต' เดินทางมาถึงรัฐสภา | 9 ธ.ค. 2568
'เดินเปลี่ยนอนาคต' เดินทางมาถึงรัฐสภา | 9 ธ.ค. 2568
'เดินเปลี่ยนอนาคต' เดินทางมาถึงรัฐสภา | 9 ธ.ค. 2568 hungary budapest Wed, 2025-12-10 - 20:43 วินาทีขบวน 'Walk to the Future : เดินเปลี่ยนอนาคต' ตบเท้าถึงรัฐสภาเมื่อประมาณเกือบสี่โมงเย็นของวันที่ 9 ธ.ค. 2568 พร้อมมวลชนนับพันจากเครือข่ายภาคประชาชนและผู้ร่วมขบวนรายทาง ประกาศข้อเรียกร้องสำคัญสามข้อ 1. ยกเลิกรัฐธรรมนูญ 2560 2. รัฐธรรมนูญเขียนใหม่ทั้งฉบับ 3. สสร. เลือกตั้ง 100% หลังจากนั้นตัวแทนสามคนเข้าไปตีระฆังร้องทุกข์หน้าสภาเป็นเชิงสัญลักษณ์ ก่อนจะปักหลักค้างคืนที่ลานประชาชน โดยมีการออกบูธกิจกรรม วงพูดคุย แถลงการณ์ข้อเรียกร้องของแต่ละเครือข่าย รวมถึงยื่นหนังสือถึงนักการเมืองโดยมี สส.พรรคประชาชน-พรรคเพื่อไทย และ สว.บางส่วนมารับหนังสือ วันต่อมา (10 ธ.ค.) ซึ่งเป็นวันรัฐธรรมนูญและวันสุดท้ายของการเดิน มวลชนจะออกจากรัฐสภาตอนเก้าโมง เดินไปจนถึงจุดหมายอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เพื่อประกาศเจตนารมณ์เรียกร้องรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน พร้อม ๆ กับที่รัฐสภาจะมีการถกร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระ 2 * ข่าว * การเมือง * สังคม * สิทธิมนุษยชน * คุณภาพชีวิต * Walk to the Future เดินเปลี่ยนอนาคต * คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.) * เครือข่ายประชาชนร่างรัฐธรรมนูญ * ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ * สสร. เลือกตั้ง 100%
dlvr.it
December 10, 2025 at 1:58 PM
'เดินเปลี่ยนอนาคต' เคลื่อนขบวนสู่รัฐสภา | 9 ธ.ค. 2568
'เดินเปลี่ยนอนาคต' เคลื่อนขบวนสู่รัฐสภา | 9 ธ.ค. 2568
'เดินเปลี่ยนอนาคต' เคลื่อนขบวนสู่รัฐสภา | 9 ธ.ค. 2568 hungary budapest Wed, 2025-12-10 - 20:38 เคลื่อนขบวน! เก้าโมงเช้าของวันที่ 9 ธ.ค. 2568 ขบวนเดินเท้าเรียกร้องรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนจาก สสร. เลือกตั้ง 100% เริ่มเดินทางจากสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส มุ่งหน้าสู่รัฐสภา ประกอบด้วยผู้คนหลายร้อยจากหลากหลายเครือข่ายภาคประชาชน โดยจะมีการทำกิจกรรม "We Are Here เราพร้อมเปลี่ยนอนาคต" ณ ลานประชาชน รัฐสภา เมื่อเดินทางไปถึง นอกจากป้ายข้อความเรียกร้องรัฐธรรมนูญประชาชนน-สสร. เลือกตั้งทั้งหมด อันเป็นเป้าหมายหลัก ในขบวนรณรงค์ยังมีข้อความเรียกร้องอื่น ๆ ซึ่งเป็นข้อเสนอในการออกแบบโครงสร้างสังคม เช่น "ประชาชนต้องมีอำนาจจัดการทรัพยากร" "รัฐธรรมนูญที่ดี กะxรี่ต้องมีส่วนร่วม" "เปลี่ยนเบี้ยยังชีพเป็นบำนาญถ้วนหน้า" "ศีลธรรมอันดี ของใคร ถึงมาตัดสินเรา" "ปากท้องแย่ ต้องแก้ รธน." "มี HIV ก็เรียนได้ ทำงานได้" "ยกเลิก พ.ร.บ.ชุมนุม" ฯลฯ ขบวนรณรงค์ 'Walk to the Future เดินเปลี่ยนอนาคต' เริ่มออกทางเมื่อวันที่ 6 ธ.ค. จาก อ.วังน้อย อยุธยา โดยมีจุดมุ่งหมายคือเดินเท้าจนถึงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยในวันที่ 10 ธ.ค. อันเป็นวันรัฐธรรมนูญ  * ข่าว * การเมือง * สังคม * สิทธิมนุษยชน * คุณภาพชีวิต * Walk to the Future เดินเปลี่ยนอนาคต * คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.) * ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ * สสร. เลือกตั้ง 100% * เครือข่ายประชาชนร่างรัฐธรรมนูญ
dlvr.it
December 10, 2025 at 1:46 PM
รัฐธรรมนูญ 2560 ปราบโกง...จริงเหรอ?
รัฐธรรมนูญ 2560 ปราบโกง...จริงเหรอ?
รัฐธรรมนูญ 2560 ปราบโกง...จริงเหรอ? hungary budapest Wed, 2025-12-10 - 20:32 ย้อนฟังปราศรัยโดยตัวแทนจาก iLaw ระหว่างเดินขบวนเรียกร้องรัฐธรรมนูญประชาชนเมื่อวันที่ 6 ธ.ค. 2568 ตั้งคำถามชวนคิด รัฐธรรมนูญ 2560 'ปราบโกง-ลดทุจริต' อย่างที่คณะผู้ร่าง[จากการแต่งตั้งของ คสช.]พยายามนำเสนอจริงหรือ ตัวแทนจาก iLaw ยกตัวอย่างว่านับตั้งแต่ใช้รัฐธรรมนูญฉบับนี้มา ตัวชี้วัดระดับนานาชาติบ่งชี้ว่าประเทศไทยโปร่งใสน้อยลง แต่การทุจริตเพิ่มขึ้น ทั้งยังเต็มไปด้วยเรื่องราวน่าเคลือบแคลงสงสัย ทั้งกรณีตึก สตง. ถล่ม หรือคดีฮั้ว สว. ที่ยังค้างคาอยู่ โดย สว. ชุดนี้ก็มีความยึดโยงกับประชาชนน้อย แต่กลับมีบทบาทในเรื่องสำคัญสูงมาก เช่นการออกกฎหมาย [โดยที่รัฐธรรมนูญ 2560 ก็ไม่ได้ให้อำนาจประชาชนเข้าชื่อถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง] เขากล่าวว่าช่วงที่จะมีประชามติอันเป็นที่มาของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ก็มีการจับกุมคุมขังผู้รณรงค์ต่อต้าน จึงเต็มไปด้วยข้อครหามากมาย แม้อ้างว่าผ่านการทำประชามติมาก็ตาม แต่ปัจจุบันผู้มีสิทธิลงประชามติก็เพิ่มขึ้นมาจำนวนมาก การถามประชาชนว่ายังโอเคกับรัฐธรรมนูญฉบับนี้อยู่ไหม อาจจะได้คำตอบไม่เหมือนเดิม การเดินขบวน 'Walk to the Future : เดินเปลี่ยนอนาคต' จุดหมายปลายทางคืออนุสาวรีย์ประชาธิปไตย มีกิจกรรมอยู่ในทุกปลายทางของทุกวันที่เดิน โดยวันที่ 7 ธ.ค. จะเริ่มออกเดินจากฝั่งตรงข้ามมหาวิทยาลัยกรุงเทพ เวลา 9.00 น. * ข่าว * การเมือง * สังคม * สิทธิมนุษยชน * คุณภาพชีวิต * Walk to the Future เดินเปลี่ยนอนาคต * คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.) * เครือข่ายประชาชนร่างรัฐธรรมนูญ * ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ * สสร. เลือกตั้ง 100%
dlvr.it
December 10, 2025 at 1:41 PM
Renewed border clashes between Thailand and Cambodia intensify as fighting expands
Renewed border clashes between Thailand and Cambodia intensify as fighting expands
Renewed border clashes between Thailand and Cambodia intensify as fighting expands The latest armed clashes between Thailand and Cambodia have intensified and expanded to several contested border areas, while the death toll has risen on both sides. The fresh armed clashes between the two countries were first reported on Sunday (7 December) in Sisaket’s Kantharalak District and later expanded to the Chong Bok area of Ubon Ratchathani’s Nam Yuen District, leaving two Thai soldiers injured. Subsequently, deadly border clashes were reported in Ubon Ratchathani on Monday (8 December). The violence later spread to Surin and Buriram provinces on the same day, resulting in one soldier killed and eight injured. However, on Tuesday (9 December), the clashes have spread into several contested areas in Surin, Ubon Ratchathani, Sisaket, Buriram, Sa Kaeo, and Trat provinces, and the death toll has risen. As of Tuesday (9 December), the 2nd Army Region reported that four Thai soldiers have been killed and 68 were injured. Meanwhile, 61 Cambodian soldiers have been killed, with the number of wounded yet to be assessed The Royal Thai Army said that Cambodia used multiple types of weapons to attack Thailand, including drone strikes and newly laid landmines, which were found in the border areas of Sa Kaeo. It was also reported that two houses in Sa Kaeo were damaged after being struck by artillery shells. According to the 2nd Army Region, a total of 492 temporary shelters have been established across the four border provinces, accommodating 125,838 people. These included 22,580 in Ubon Ratchathani, 45,914 in Sisaket, 51,781 in Surin and 5,563 in Buriram. 75 evacuation points for vulnerablre groups have been established, sheltering 3,123 people: 114 in Ubon Ratchathani, 77 in Sisaket, 2,632 in Surin, and 300 in Buriram. In addition, 990 schools along the border have been closed. The Thai Prime Minister Anutin Charnvirakul told the media that the government will support the military in every possible way, asserting that the military operations will continue and will not stop until Cambodia's military capability is completely neutralized. Thai Foreign Minister Sihasak Phuangketkeow revealed that the Ministry clarified to envoys and the international community that Thailand did not initiate the violence. When asked about the UN’s call for negotiations, he remarked that it depends on the Cambodian side, adding that Thailand has to carry on the military operations until Cambodia is ready for talks. Meanwhile, the Thai military also confirmed its strong stance in line with the government. The Royal Thai Air Force’s spokesperson Air Marshal Chakkrit Thammavichai said that if Cambodia uses long-range weapons against Thailand, Thailand will carry out a preemptive strike under international law to protect civilians. He also noted that while the use of military force will be a last resort, Thailand has now reached the point where military operations are necessary. The spokesperson reiterated that “the Thai military is fully prepared to fight at full capacity.” * Thailand-Cambodia border tensions: what we know about new wave of armed clashes What did Cambodia say? In the press briefing on 9 December, LT Gen Maly Socheata, the Cambodian National Defence Minister’s spokesperson, revealed that the renewed clashes resulted in the death of seven innocent Cambodian civilians, and 20 were seriously injured. The Cambodian National Defence also condemned aggressive actions of the Thai military forces which initiated firing and encroachment on Cambodia’s legitimate sovereignty, adding that the Cambodian armed forces had no other choice but to exercise their right to self-defense within their sovereign territory and to protect the motherland against the illegal acts of aggression by the Thai military forces, as enshrined in Article 51 of the United Nations Charter. Cambodian PM Hun Manet stated that Thai leaders have repeatedly declared through the media and international fora that Thailand is a peace-loving country and respects international laws. He hoped that the Thai government and military would adhere to the peaceful settlement of border issues, using agreed mechanisms and existing joint survey teams on demarcation. “This is the simplest, most transparent and most just way, because Cambodia has no intention of violating the lawful sovereignty of any neighboring country. Whatever the results of the survey may be, Cambodia will respect them. I hope that Thailand will have the sincerity to do the same,” said Hun Manet. Meanwhile, Cambodian former PM Hun Sen publicly challenged Thailand's military leadership and vowed an intensified counter-attack after Cambodia’s 24-hour patience in honouring a ceasefire ended. Hun Sen said that Cambodian forces had held back for over a day to respect the truce and ensure civilian evacuation to safe zones, before escalating operations on Monday night and continuing on Tuesday morning.  “We are defending our territory with strong bunkers and all types of weapons. Meanwhile, the invading enemy must mobilize to attack our positions; they cannot carry their bunkers with them, and their heads are certainly not made of iron," said Hun Sen. * Thailand-Cambodia peace at risk with Anutin administration under a military shadow eng editor 3 Tue, 2025-12-09 - 23:24 * News * Thai-Cambodian conflicts * Thai-Cambodia relations (Feed generated with FetchRSS)
dlvr.it
December 10, 2025 at 1:37 PM
แถลงการณ์ 'เดินเปลี่ยนอนาคต' ย่ำเท้ามุ่งสู่รัฐธรรมนูญประชาชน | 6 ธ.ค. 2568
แถลงการณ์ 'เดินเปลี่ยนอนาคต' ย่ำเท้ามุ่งสู่รัฐธรรมนูญประชาชน | 6 ธ.ค. 2568
แถลงการณ์ 'เดินเปลี่ยนอนาคต' ย่ำเท้ามุ่งสู่รัฐธรรมนูญประชาชน | 6 ธ.ค. 2568 hungary budapest Wed, 2025-12-10 - 20:11 แถลงการณ์ช่วง 9.00 น. เช้าวันที่ 6 ธ.ค. 2568 โดยเลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์ ประธานคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.) ก่อนเดินขบวน 'เดินเปลี่ยนอนาคต' เรียกร้องรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนจาก สสร. เลือกตั้ง 100% เริ่มต้นการเดินที่ อ.วังน้อย อยุธยา มุ่งหน้าสู่ปลายทางอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยในเวลา 5 วัน จนถึงวันที่ 10 ธ.ค. อันเป็นวันรัฐธรรมนูญ เลิศศักดิ์เปรียบเปรยประชาชนคือน้ำที่ไหลอย่างอิสระเสรี แต่สถานการณ์การเมืองตอนนี้คือสิ่งกีดขวางทางน้ำ โดยประชาชนจำนวนไม่น้อยต้องการผู้ร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากการเลือกตั้ง แต่กลับได้กรรมาธิการที่ไม่มีสัดส่วนจากการเลือกตั้งเลย การเดินครั้งครั้งนี้จึงเป็นการเดินฝ่าสิ่งกีดขวางทางน้ำ เพื่อประกาศว่าไม่เห็นด้วยกับการแก้รัฐธรรมนูญที่ สสร. ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งทั้งหมดด้วยเหตุผลที่เลิศศักดิ์กล่าวว่า "ชนชั้นใดเขียนกฎหมาย ก็แน่ไซร้เพื่อชนชั้นนั้น" เขากล่าวว่าการเดินครั้งนี้เป็นการเดินเพื่อสะสมชัยชนะ  เดินเปลี่ยนอนาคต เดินฝ่าสิ่งกีดขวางทางการเมือง ด้วยฝันอันเต็มเปี่ยมว่ารัฐธรรมนูญที่ดีคือรัฐธรรมนูญที่เขียนด้วยสองมือสองเท้าของประชาชน * ข่าว * การเมือง * สังคม * สิทธิมนุษยชน * คุณภาพชีวิต * Walk to the Future เดินเปลี่ยนอนาคต * คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.) * ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ * สสร. เลือกตั้ง 100% * เครือข่ายประชาชนร่างรัฐธรรมนูญ
dlvr.it
December 10, 2025 at 1:19 PM
เริ่มออกเดินเรียกร้องรัฐธรรมนูญประชาชน-สสร. เลือกตั้งทั้งหมด | 6 ธ.ค. 2568
เริ่มออกเดินเรียกร้องรัฐธรรมนูญประชาชน-สสร. เลือกตั้งทั้งหมด | 6 ธ.ค. 2568
เริ่มออกเดินเรียกร้องรัฐธรรมนูญประชาชน-สสร. เลือกตั้งทั้งหมด | 6 ธ.ค. 2568 hungary budapest Wed, 2025-12-10 - 19:59 6 ธ.ค. 2568 'Walk to the Future : เดินเปลี่ยนอนาคต' เริ่มเดินเท้าจากวังน้อย อยุธยา สู่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย รณรงค์ร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน จาก สสร. เลือกตั้ง 100% โดยคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.) และเครือข่าย มีประชาชนร่วมเดินด้วย ขบวนออกเดินเมื่อเวลา 9.00 น. ได้รับการต้อนรับจากประชาชนรายทางประปราย และมีผู้นำสิ่งของมอบให้สมทบการเดินขบวน การเดินรณรงค์ครั้งนี้เป็นการเดินระยะทางประมาณ 55 กม. เป็นเวลา 5 วัน (6-10 ธ.ค.) ปลายทางของวันแรกคือมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต * ข่าว * การเมือง * สังคม * แรงงาน * สิทธิมนุษยชน * คุณภาพชีวิต * สิ่งแวดล้อม * Walk to the Future เดินเปลี่ยนอนาคต * คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.) * ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ * สสร. เลือกตั้ง 100% * เครือข่ายประชาชนร่างรัฐธรรมนูญ
dlvr.it
December 10, 2025 at 1:10 PM
'นักศึกษาฮ่องกง' เรียกร้อง สอบสวนเพลิงไหม้ใหญ่ 'ไทโป' ถูกทางการจับกุม
'นักศึกษาฮ่องกง' เรียกร้อง สอบสวนเพลิงไหม้ใหญ่ 'ไทโป' ถูกทางการจับกุม
'นักศึกษาฮ่องกง' เรียกร้อง สอบสวนเพลิงไหม้ใหญ่ 'ไทโป' ถูกทางการจับกุม Pazzle Wed, 2025-12-10 - 19:32 ไมลส์ ควาน นักศึกษาฮ่องกงเรียกร้องให้ทางการสืบสวนกรณีเพลิงไหม้ใหญ่อาคารที่พักอาศัยในเขตไทโป จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 159 ราย แต่ตำรวจฝ่ายความมั่นคงฮ่องกงกลับจับกุมตัวเขา โดยอ้างว่าควานเป็นผู้ต้องสงสัยยุยงปลุกปั่น และทำการลบทิ้งรายชื่อออนไลน์กว่า 10,000 รายชื่อ ที่ควานรวบรวมจากประชาชนที่ต้องการให้สืบสวนเรื่องนี้เช่นกัน ควานระบุ ฮ่องกงในทุกวันนี้ "เต็มไปด้วยช่องโหว่ทั้งนอกและใน" หลังจากที่ถูกควบคุมตัวในคืนวันที่ 30 พ.ย. 2568 ควานได้รับการปล่อยตัวจากสถานีตำรวจในวันที่ 1 ธ.ค. ที่ผ่านมา   10 ธ.ค. 2568 เมื่อปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมามีเหตุการณ์เพลิงไหม้ครั้งใหญ่ที่เคหะหว่องฝุกคอร์ด ในเขตไทโป เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 159 ราย เรื่องนี้ทำให้ ไมลส์ ควาน นักศึกษาชาวฮ่องกง เรียกร้องให้มีการสืบสวนกรณีเพลิงไหม้ด้วยกระบวนการที่เป็นอิสระ เรียกร้องความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่หลังจากนั้นไม่นาน ควาน กลับถูกควบคุมตัวโดยตำรวจฮ่องกง ควาน ได้ทำการเรียกร้องในเรื่องนี้โดยการแจกใบปลิวให้กับผู้คนที่สัญจรไปมาในสถานีรถไฟฟ้า เพื่อให้มีการสืบสวนเหตุการณ์เพลิงไหม้ที่เกิดขึ้น โดยบอกว่าเขารู้สึกแย่ที่ฮ่องกงเกิดเหตุการณ์แบบนี้และต้องการให้มีการพัฒนาปรับปรุงให้ดีขึ้น ควานมองว่าฮ่องกงในทุกวันนี้ "เต็มไปด้วยช่องโหว่ทั้งนอกและใน" ควาน ยังได้ทำการล่ารายชื่อออนไลน์เพื่อช่วยเรียกร้องในเรื่องนี้ ซึ่งมีผู้ลงนามมากกว่า 10,000 รายชื่อ ไมลส์ ควาน นักศึกษาชาวฮ่องกง  อย่างไรก็ตาม ควานกลับถูกจับกุมตัวโดยตำรวจความมั่นคงแห่งชาติ โดยอ้างว่า ควานต้องสงสัยเรื่องการปลุกระดม รวมถึงมีการลบการล่ารายชื่อออนไลน์ที่เขาทำไว้ด้วย สื่อฮ่องกงฟรีเพรสระบุว่า เรื่องนี้ได้สะท้อนให้เห็นถึงการที่ทางการจีนผู้ออกกฎหมายความมั่นคงบังคับใช้กับฮ่องกงเมื่อปี 2563 ยังคงคอยจับจ้องฮ่องกงไม่ให้มีเสียงทักท้วง ใครก็ตามที่ออกเสียงทักท้วงก็จะถูกทำให้เงียบเสียงอย่างรวดเร็ว โดยส่วนหนึ่งมาจากการอ้างใช้กฎหมายความมั่นคงฉบับดังกล่าว มีข้อสังเกตอีกว่า ควาน ถูกควบคุมตัวไม่นานหลังจากที่หน่วยงานด้านความมั่นคงจีนที่มีสาขาอยู่ในฮ่องกงได้ประณาม "กลุ่มต่อต้านจีน" ว่าอาศัยหาประโยชน์จากเหตุเพลิงไหม้ที่เกิดขึ้นในการ "ยุยงปลุกปั่นให้เกิดความแตกแยกในสังคม และกระตุ้นให้เกิดความเกลียดชังต่อทางการ" นอกจากเรื่องการเรียกร้องให้สืบสวนอย่างอิสระแล้ว ควานได้เรียกร้องให้มีการรับผิดชอบจากรัฐบาล และให้มีการจัดหาที่พักอาศัยที่เหมาะสมให้กับผู้อาศัยที่สูญเสียจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ รวมถึงให้มีการพิจารณาตรวจสอบการก่อสร้างอาคารว่ามีความบกพร่องหรือมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดการทุจริตคอร์รัปชันเกิดขึ้นในขั้นตอนการก่อสร้างหรือไม่ ควานบอกว่า "ถ้าหากความคิดเหล่านี้ถูกมองว่าปลุกระดม หรือ 'ล้ำเส้น' แล้ว ผมก็รู้สึกว่าไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตามเราก็จะไม่สามารถคาดเดาผลที่เกิดขึ้นตามมาได้อีกต่อไป แล้วผมก็จะแค่ทำในสิ่งที่ผมเชื่ออย่างแท้จริง" หลังจากที่ถูกควบคุมตัวในคืนวันที่ 30 พฤศจิกายน ควานก็ได้รับการปล่อยตัวจากสถานีตำรวจเมื่อวันที่ 1 ธ.ค. ที่ผ่านมา ไฟไหม้อาคารที่พักอาศัยในฮ่องกงครั้งใหญ่เมื่อปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ภาพจาก วิกิพีเดีย เทียบกับเหตุการณ์ "เกรนเฟลล์ ทาวเวอร์" ในอังกฤษ ปี 2560 ในเรื่องของการขอให้ตรวจสอบการทุจริตและความเป็นไปได้ว่าจะก่อสร้างอาคารไม่ได้มาตรฐานนั้น มีการเปรียบเทียบกับอีกกรณีหนึ่งที่เคยเกิดขึ้นในอังกฤษเมื่อปี 2560 คือกรณีเพลิงไหม้ที่อาคาร เกรนเฟลล์ ทาวเวอร์ โดยที่เหตุการณ์ในครั้งนั้นได้สังหารผู้คนไป 72 ราย เหตุการณ์ที่ เกรนเฟลล์ ทาวเวอร์ นั้นเริ่มต้นมาจากเหตุไฟฟ้าขัดข้องที่ชั้น 4 ของอาคาร แต่ปัญหาอีกอย่างหนึ่งคืออาคารนี้เคยมีการต่อเติมอาคารโดยใช้วัสดุลามไฟมาเป็นตัวหุ้มและฉนวนของอาคารเพื่อเป็นการลดต้นทุน แทนที่จะใช้วัสดุไม่ลามไฟอันเป็นมาตรฐานความปลอดภัยที่ควรปฏิบัติตาม สำหรับกรณีหว่องฝุกคอร์ด หรือเหตุเพลิงไหม้ที่ไทโป ในเวลาต่อมาทางการฮ่องกงก็ได้ประกาศว่า เป็นอาคารที่ไม่ได้มาตรฐานความปลอดภัยในการป้องกันเพลิงไหม้ หลังจากที่ได้ส่งตำรวจไปเก็บพิสูจน์หลักฐานในที่เกิดเหตุ และได้มีการจับกุมผู้ต้องสงสัย 13 รายในข้อหาฆ่าคนตายโดยไม่ได้เจตนาไตร่ตรองไว้ก่อน ซึ่งในกลุ่มคนเหล่านี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้รับเหมาก่อสร้างรายหลักของอาคาร บริษัทให้คำปรึกษาด้านการก่อสร้าง และผู้รับจ้างเหมาช่วงที่ดูแลเกี่ยวกับนั่งร้านและกำแพงด้านนอกของอาคาร คริส ถัง รัฐมนตรีความมั่นคงของฮ่องกง เปิดเผยว่าตำรวจได้ทำการเก็บหลักฐาน 20 ชิ้นจากที่เกิดเหตุเพื่อทำมาพิสูจน์ พบว่ามีอยู่ 7 ใน 20 ชิ้น ที่ไม่ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยกรณีเพลิงไหม้ โดยที่หว่องฝุกคอร์ตนั้นกำลังอยู่ในช่วงการรีโนเวทต่อเติมอาคารขนานใหญ่ในช่วงที่เกิดเหตุเพลิงไหม้ นอกจากนี้ หน่วยงานต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน ICAC ได้เปิดเผยว่าพวกเขาทำการสืบสวนสอบสวนพบว่าตาข่ายป้องกันอาคารหว่องฝุกคอร์ดนั้นไม่ได้มาตรฐานการป้องกันเพลิงไหม้ โดยมีการพยายามตบตาการตรวจสอบด้วยการซื้อตาข่ายที่ได้มาตรฐานมาใช้แค่ตรงส่วนฐานของนั่งร้าน แต่ในสที่อื่นๆ พวกเขาก็ยังใช้ตาข่ายที่ไม่ปลอดภัย หรือควรทำวิธีการไต่สวนสาธารณะมาใช้กับกรณีวินาศภัย ก่อนหน้านี้เวลาที่ต้องสืบหาความจริงที่มีความซับซ้อนฮ่องกงจะใช้ระบบคณะกรรมาธิการการไต่สวนหรือ COI ที่นำโดยผู้พิพากษา ซึ่งเป็นระบบที่หลงเหลือตกค้างมาจากยุคอาณานิคมอังกฤษ แต่ในครั้งนี้ เจ้าหน้าที่ทางการฮ่องกงได้ประกาศตั้งทีมเฉพาะกิจจากหลายภาคส่วนของรัฐบาลมาเป็นหน่วยงานสืบสวนสอบสวนเหตุเพลิงไหม้ อย่างไรก็ตาม อิมราน ข่าน ทนายความที่เคยว่าความให้กับผู้รอดชีวิตจากเหตุเกรนเฟลล์ ทาวเวอร์ กล่าวว่า การใช้รัฐบาลเป็นผู้ตรวจสอบเองนั้นอาจจะไม่ทำได้รับความจริง และกลุ่มคนที่สูญเสียก็จะรู้สึกขาดศรัทธากับระบบแบบนี้ ข่าน เสนอว่า ในฮ่องกงนั้นควรจะใช้วิธีการไต่สวนสาธารณะโดยให้อำนาจเทียบเท่ากับศาลน่าจะเหมาะสมกว่า มีประชาชนจำนวนมากแสดงการไว้อาลัยต่อผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์เพลิงไหม้ด้วยการวางดอกไม้ใกล้กับจุดเกิดเหตุ ซึ่งบางส่วนก็มีข้อความเขียนด้วยลายมือ มีข้อความหนึ่งระบุว่า "นี่ไม่ใช่แค่อุบัติเหตุ มันเป็นผลพวงอันชั่วร้ายจากระบบที่อยุติธรรม ซึ่งผลกระทบมาตกอยู่กับพวกคุณ มันไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องเลย"     เรียบเรียงจาก Hong Kong student’s calls for accountability over lethal Tai Po fire silenced, HKFP, 30-11-2025 https://hongkongfp.com/2025/11/30/very-basic-demands-hong-kong-students-calls-for-accountability-over-lethal-tai-po-fire-silenced/ Hong Kong student Miles Kwan, who urged gov’t accountability for Tai Po fire, leaves police station, HKFP, 01-12-2025 https://hongkongfp.com/2025/12/01/hong-kong-student-miles-kwan-who-urged-govt-accountability-for-tai-po-fire-leaves-police-station/ Unsafe construction netting found at Tai Po fire site, 13 arrests for alleged manslaughter – officials, HKFP, 01-12-2025 https://hongkongfp.com/2025/12/01/breaking-unsafe-construction-netting-found-at-tai-po-fire-site-13-arrests-for-alleged-manslaughter/ Tai Po fire: Police oversee overnight removal of flowers, tributes from memorial by volunteers, gov’t staff, HKFP, 08-12-2025 https://hongkongfp.com/2025/12/08/tai-po-fire-police-oversee-overnight-removal-of-flowers-tributes-from-memorial-by-volunteers-govt-staff ข้อมูลเพิ่มเติมจาก https://en.wikipedia.org/wiki/Grenfell_Tower_fire   * ข่าว * สิทธิมนุษยชน * คุณภาพชีวิต * ต่างประเทศ * ไฟไหม้ * วินาศภัย * ภัยพิบัติ * หว่องฝุกคอร์ด * ไท่โป * ฮ่องกง * จีน * ไมลส์ ควาน * คุณภาพอาคาร
dlvr.it
December 10, 2025 at 12:57 PM
10 ธ.ค. ทางการกัมพูชาระบุมีพลเรือนเสียชีวิตแล้ว 9 ราย อพยพกว่า 127,133 คน
10 ธ.ค. ทางการกัมพูชาระบุมีพลเรือนเสียชีวิตแล้ว 9 ราย อพยพกว่า 127,133 คน
10 ธ.ค. ทางการกัมพูชาระบุมีพลเรือนเสียชีวิตแล้ว 9 ราย อพยพกว่า 127,133 คน auser15 Wed, 2025-12-10 - 18:03 ทางการกัมพูชาระบุสถิติ ณ วันที่ 10 ธ.ค. (12.00 น.) มียอดพลเรือนเสียชีวิตรวมอยู่ที่ 9 ราย ซึ่งรวมถึงเด็กเล็ก 1 ราย มีผู้บาดเจ็บ 46 ราย และมีผู้อพยพกว่า 127,133 คน ภาพจาก: Kiripost  10 ธันวาคม 2568 เว็บไซต์ Kiripost รายงานว่า กระทรวงสารนิเทศกัมพูชาระบุว่า ความขัดแย้งบริเวณชายแดนที่ทวีความรุนแรงขึ้นในช่วง 4 วันที่ผ่านมา ส่งผลให้พลเรือนชาวกัมพูชาเสียชีวิตเพิ่มอีก 2 ราย ทำให้ยอดผู้เสียชีวิตรวมอยู่ที่ 9 ราย ซึ่งรวมถึง เด็กเล็ก 1 ราย และมีผู้บาดเจ็บ 46 ราย ข้อมูล ณ เวลา 12:00 น. ของวันที่ 10 ธันวาคม 2025 การโจมตีของกองทัพไทยได้ส่งผลกระทบให้ครอบครัวชาวกัมพูชาในจังหวัดพระวิหาร อุดรมีชัย บันเตียเมียนเจย โพธิสัตว์ และพระตะบอง 37,115 ครอบครัว หรือคิดเป็นจำนวนประชากร 127,133 คน ต้องอพยพออกจากบ้านเรือนเพื่อหาที่ปลอดภัย กระทรวงกลาโหมกัมพูชากล่าวเสริมว่า จำนวนผู้อพยพนั้นมีกระจายอยู่ในหลายจังหวัด โดยเฉพาะในจังหวัดบันเตียเมียนเจยที่มีผู้อพยพมากที่สุดถึงประมาณ 36,244 คน และยังมีผู้หาที่พักพิงในจังหวัดเสียมราฐอีกกว่า 31,837 คน * ข่าว * การเมือง * ต่างประเทศ * ความมั่นคง * กัมพูชา * กรณีพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา
dlvr.it
December 10, 2025 at 11:08 AM
'BRN-ไทย' พูดคุยสันติภาพ มุ่งเป้า End State ยุติความรุนแรง ยึดแนวทางการทูต
'BRN-ไทย' พูดคุยสันติภาพ มุ่งเป้า End State ยุติความรุนแรง ยึดแนวทางการทูต
'BRN-ไทย' พูดคุยสันติภาพ มุ่งเป้า End State ยุติความรุนแรง ยึดแนวทางการทูต มูฮำหมัด ดือราแม : รายงาน Pazzle Wed, 2025-12-10 - 16:27 คณะพูดคุยเพื่อสันติสุขชุดใหม่ของไทยประชุมนัดแรกกับแนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติมลายูปาตานี “BRN-ไทย” เห็นพ้องกรอบข้อตกลงสันติภาพ สู่เป้าหมาย End State พล.อ.สมศักดิ์ รุ่งสิตา หัวหน้าคณะพูดคุยฝ่ายไทยย้ำเป้าหมายสุดท้ายของไทยต้องยุติความรุนแรง BRN ต้องพร้อมแปรสภาพเป็นองค์กรไม่นิยมความรุนแรง ด้าน BRN แถลงยืนยันแนวทางการทูต เพื่อบรรลุการแก้ไขทางการเมือง   10 ธ.ค. 2568 การประชุมนัดแรกของคณะพูดคุยเพื่อสันติสุขชุดใหม่ของไทย (PEDP) นำโดย พล.อ.สมศักดิ์ รุ่งสิตา กับคณะพูดคุยของแนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติมลายูปาตานี หรือขบวนการ BRN นำโดยอุสตาส อานัส อับดุลเราะห์มาน มีขึ้นอย่างเป็นทางการเป็นครั้งที่ 8 มีขึ้นเมื่อวานนี้ (8 ธันวาคม 2568) ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย โดยมีดาโต๊ะ ฮัจญี โมฮัมหมัด ราบิน บิน บาซีร์ ผู้อำนวยความสะดวกฝ่ายมาเลเซีย เป็นประธานการประชุม และมีผู้เชี่ยวชาญระดับนานาชาติเข้าร่วมด้วย เป็นการพูดคุยครั้งแรกหลังจากนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี มีคำสั่งตั้ง พล.อ.สมศักดิ์ รุ่งสิตา เป็นหัวหน้าคณะพูดคุยเพื่อสันติสุขชุดใหม่ในวันที่ 2 ตุลาคม 2568 โดยมีคณะพูดคุย เช่น พลเรือตรีสมเกียรติ ผลประยูร พลโทสิทธิ ตระกูลวงศ์ นายพลเทพ ธนโกเศศ น.ส.วันระพี ขาวสะอาด โดยเป็นการพูดคุยครั้งแรกหลังจากกระบวนการหยุดชะงักไปตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2567 ในรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร ไทย - BRN เห็นพ้องกรอบข้อตกลงสันติภาพ สู่เป้าหมายสุดท้าย-End State ในแถลงการณ์ร่วมที่มีดาโต๊ะ ฮัจญี โมฮัมหมัด ราบินฯ กับ พล.อ.สมศักดิ์ รุ่งสิตา และอุสตาส อานัส อับดุลเราะห์มาน ระบุว่า ไทย และ BRN เห็นพ้องในกรอบข้อตกลงสันติภาพที่จะไปสู่เป้าหมายสุดท้าย-End State ร่วมกัน ในการยุติความรุนแรง การปรึกษาหารือสาธารณะ และการแก้ไขปัญหาทางการเมือง โดยจะมีคณะทำงานทางเทคนิคหารือถึงรายละเอียดต่อไป ดาโต๊ะ ฮัจญี โมฮัมหมัด ราบิน ฯ เปิดเผยว่า มาเลเซียยินดีและชื่นชมการตัดสินใจของทั้งสองฝ่ายในการกลับมาดำเนินกระบวนการเจรจาสันติภาพอีกครั้ง หลังจากที่ถูกระงับมาตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2567 การพัฒนาครั้งนี้สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องของทุกฝ่ายในการแสวงหา ข้อยุติและการปรองดองขั้นสุดท้าย "ทั้งสองฝ่ายแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นอย่างสูงในการเสริมสร้างกรอบสันติภาพที่มีอยู่ระหว่างคณะพูดคุยเพื่อสันติสุขของไทย-PEDP และ BRN เห็นพ้องที่จะยกระดับกรอบสันติภาพที่มีอยู่ โดยเน้นย้ำถึง 'เป้าหมายสุดท้าย-End State' ที่สามารถบรรลุผลได้ โดยยึดหลักสามเสาหลัก ได้แก่ การยุติความรุนแรง การปรึกษาหารือสาธารณะ และการแก้ปัญหาทางการเมือง ที่ประชุมเสนอให้ จัดตั้งคณะทำงานด้านเทคนิคที่เกี่ยวข้องเพื่อหารือเกี่ยวกับประเด็นที่เกี่ยวข้องต่อไป” BRN ต้องพร้อมจะแปรสภาพเป็นองค์กรไม่นิยมความรุนแรง นี่ถือเป็นพัฒนาการของกระบวนการพูดคุยสันติภาพจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตั้งแต่เริ่มมีการพูดคุยครั้งแรกเมื่อ 12 ปีที่แล้ว หรือเมื่อปี 2556 โดย พล.อ.สมศักดิ์ ยืนยันว่า BRN พร้อมจะแปรสภาพเป็นองค์กรไม่นิยมความรุนแรง และไม่มีเป้าหมายเพื่อแบ่งแยกดินแดน ทำให้ประชาชนคลายความกังวลได้ว่าจะไม่มีการแบ่งแยกดินแดนภาคใต้ตอนล่างของไทยได้อย่างสิ้นเชิง พล.อ.สมศักดิ์ ระบุถึงการที่ ฝ่ายไทยได้เน้นย้ำถึง End State จุดหมายปลายทางของการพูดคุยที่คุยมา 10 ปี ยังไม่มีภาพสุดท้าย เราหยิบยกมาเป็นหัวข้อสำคัญคือ 1 การยุติความรุนแรงโดยสิ้นเชิง 2. จะพัฒนาร่วมกันภายใต้สังคมพหุวัฒนธรรมโดยให้ BRN แปรสภาพเป็นองค์กรไม่นิยมความรุนแรง มีเกียรติมีศักดิ์ศรีในสังคม และเพิ่มการพัฒนาพื้นที่ต่างๆ" แถลงการณ์ BRN ยืนยันแนวทางการทูต เพื่อบรรลุการแก้ไขทางการเมือง เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. 2568 เพจเฟสบุ๊กชื่อ Info Rundingan BRN (ข้อมูลการเจรจาบีอาร์เอ็น) ซึ่งเป็นบัญชีเฟสบุ๊กของ “กองเลขาธิการการเจรจา (Secretariat Rundingan) ได้มีการเผยแพร่คำแถลงเกี่ยวกับการประชุมล่าสุดด้วย แปลเป็นภาษาไทยโดย Hara Shintaro พร้อมยืนยันว่าเป็นของจริง  แถลงการณ์ การเจรจาอย่างเป็นทางการครั้งแรกระหว่างรัฐบาลไทยกับบีอาร์เอ็น วันที่ 8-10 ธ.ค.2568 ระบุว่า ก่อนอื่น กองเลขาธิการการเจรจาแนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติมลายูปาตานี (BRN) ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อผู้ประสบอุทกภัยในภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะประชาชนปาตานีที่ได้รับผลกระทบ บีอาร์เอ็นขอพรจากอัลลอฮฺเพื่อให้พวกเขามีความเข้มแข็งและความอดทน และได้รับความช่วยเหลือที่จำเป็น การเจรจาอย่างเป็นทางการระหว่างรัฐบาลไทยกับบีอาร์เอ็น เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 8-10 ธ.ค.2568 ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ฯพณฯ อนุทิน ชาญวีรกูล และหัวหน้าคณะพูดคุยรัฐบาลไทยคนใหม่ สมศักดิ์ รุ่งสิตา การพบปะกันครั้งนี้เป็นการพูดคุยอย่างเป็นทางการที่ได้รับการยอมรับจากรัฐบาลไทยและบีอาร์เอ็น และยังเป็นจุดเริ่มต้นของ (การพูดคุย) รอบใหม่ชับเคลื่อนกระบวนการสันติภาพที่ยั่งยืนและมีศักดิ์ศรี ในการเจรจารอบนี้ ทั้งสองฝ่ายได้บรรลุข้อตกลงเบื้องต้นเกี่ยวกับเป้าหมายหลักสามประเด็นดังต่อไปนี้ 1. ให้มีการทำงานด้านการเมืองอย่างจริงจังเพื่อแสวงหาการแก้ไขสำหรับความขัดแย้งผ่านกระบวนการสันติภาพและการพูดคุยอย่างสร้างสรรค์ 2. กำหนดกรอบการเจรจาที่มีขั้นตอนและระยะเวลา มีส่วนร่วมของทุกฝ่าย (inclusive) โดยยึดมั่นในหลักการความเคารพซึ่งกันและกันและคำนึ่งถึงประโยชน์ของประชาชน 3. ส่งเสริมมาตรการในการสร้างความไว้วางใจซึ่งกันและกัน รวมถึงการเตรียมเพื่อดำเนินการปรึกษาหารือสาธารณะ (public consultation) กับผู้มีส่วนใดเสีย (stakeholder) เพื่อรับฟังความใฝ่ฝันของประชาชนปาตานีในการแสวงหาแนวทางแก้ไขทางการเมือง (political solutions) และขั้นตอนยุติภาวะสงครามอย่างมีความรับผิดชอบ การเจรจาครั้งนี้จะเป็นพื้นฐานสำคัญที่กำหนดทิศทางของกระบวนการสันติภาพในอนาคต บีอาร์เอ็นยืนยันจะพยายามด้วยความจริงจังอย่างต่อเนื่องและใช้วิธีการทางการทูต เพื่อบรรลุการแก้ไขทางการเมืองที่ยุติธรรม มีศักดิ์ศรี และนำไปสู่สันติภาพอันยั่งยืนสำหรับประชาชนปาตานีทั้งปวง       * ข่าว * การเมือง * ชายแดนใต้ * แนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติมลายูปาตานี * BRN * มูฮำหมัด ดือราแม * สมศักดิ์ รุ่งสิตา * พูดคุยสันติสุข * สันติภาพ * อุสตาส อานัส อับดุลเราะห์มาน * ฮัจญี โมฮัมหมัด ราบิน บิน บาซีร์
dlvr.it
December 10, 2025 at 9:43 AM
เสียงข้างมากรัฐสภาหนุน สูตร 20 หยิบ 1 ตั้ง 'กมธ.ร่างรธน.-กมธ.รับฟังความเห็น' รัฐสภาคัดเลือก
เสียงข้างมากรัฐสภาหนุน สูตร 20 หยิบ 1 ตั้ง 'กมธ.ร่างรธน.-กมธ.รับฟังความเห็น' รัฐสภาคัดเลือก
เสียงข้างมากรัฐสภาหนุน สูตร 20 หยิบ 1 ตั้ง 'กมธ.ร่างรธน.-กมธ.รับฟังความเห็น' รัฐสภาคัดเลือก Pazzle Wed, 2025-12-10 - 15:02 ที่ประชุมรัฐสภาเสียงข้างมาก 328 เสียง เห็นชอบตั้ง 'กมธ.ร่างรธน.-กมธ.รับฟังความเห็น' คณะละ 35 คน ภายใต้สูตร “20 หยิบ 1” จากรัฐสภาคัดเลือก โดยมี สส. สว. เสียงข้างน้อยแย้งไม่เปิดช่องประชาชนมีส่วนร่วม 'เพื่อไทย' ชี้ ไม่มี สสร. จุดอ่อน แก้รัฐธรรมนูญ   10 ธ.ค. 2568 iLaw สรุป ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาซึ่งประกอบด้วยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) และสมาชิกวุฒิสภา (สว.) มีวาระพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม เพื่อนำไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ โดยเป็นการพิจารณาลงมติรายมาตราวาระสองหลังจากกรรมาธิการพิจารณาร่างแล้วเสร็จ โดยการลงมติร่างมาตรา 256/1 ซึ่งเป็นบทบัญญัติหลักในการกำหนด “ที่มา” ขององค์กรผู้ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ เสียงข้างมากของรัฐสภาเคาะกำหนดให้ผู้ร่างรัฐธรรมนูญ มาจากการเลือกโดยรัฐสภาภายใต้สูตร “20 หยิบ 1” กล่าวคือ สส. และ สว. จับกลุ่มกันให้ได้ 20 คน เลือกผู้สมัคร 1 คนเป็นกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ แม้จะมี สส. สว. ที่เห็นแย้งว่ากำหนดที่มาผู้ร่างรัฐธรรมนูญเช่นนี้ขาดความเชื่อมโยงกับประชาชน และอาจ “เอื้อ” ให้สีใดสีหนึ่ง ผลการลงมติ สมาชิกรัฐสภาลงมติเห็นด้วยกับกรรมาธิการข้างมากด้วยคะแนนเสียง 324+4 = 328 เสียง เห็นด้วยกับข้อเสนออื่นๆ เสียง 265+1 = 266 งดออกเสียง 21 เสียง ไม่ลงคะแนนเสียง 3 เสียง ที่มาของกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญที่รัฐสภาลงมติ “เคาะ” ในวาระสอง ภายใต้สูตร 20 หยิบ 1 “แตกต่าง” จากข้อเสนอเดิมที่รัฐสภารับหลักการวาระหนึ่งไปเมื่อ 15 ต.ค. 2568 ซึ่งมีข้อเสนอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ 2 ฉบับประกอบไปด้วยร่างฉบับที่เสนอโดย สส. พรรคประชาชน และอีกฉบับคือร่างที่เสนอโดย สส. พรรคภูมิใจไทย โดยมีมติให้ใช้ร่างฉบับที่ สส. พรรคประชาชนเสนอเป็นร่างหลักในการพิจารณาในชั้นกรรมาธิการ ตามโมเดลผู้ร่างรัฐธรรมนูญของพรรคประชาชนในร่างที่เสนอมาวาระหนึ่ง ประชาชนยัง “มีส่วน” ในการเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญอยู่บ้างผ่านการเลือกตั้งคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญระบบทีมให้ได้ 70 คน และให้รัฐสภาคัดเลือกอีกครั้งเหลือ 35 คน และมีสภาที่ปรึกษาการยกร่างรัฐธรรมนูญ ที่ประชาชนเลือกตั้งโดยตรงอีก 100 คน ทำหน้าที่รับฟังและรวบรวมความคิดเห็นจากประชาชนและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องมาเสนอกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาต่อ แต่ในชั้นกรรมาธิการ กรรมาธิการข้างมากแก้ไขเปลี่ยนไปใช้โมเดลการเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญที่เรียกว่า สูตร “20 หยิบ 1” กำหนดให้ผู้สนใจสมัครเป็นกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญยื่นใบสมัครกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) พร้อมแนบหลักฐานการสมัคร คือ รายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งรับรอง 100 คน และเอกสารแสดงวิสัยทัศน์ว่าด้วยการเขียนรัฐธรรมนูญ ที่จะเปิดเป็นสาธารณะให้ประชาชนตรวจสอบและแสดงความคิดเห็นได้ หลังจากนั้น ให้สส. และสว. จับกลุ่มกันให้ได้ 20 คน เลือกผู้สมัครขึ้นมาได้ 1 คน โดยเศษที่เหลือให้ปัดขึ้นเต็มจำนวน ตามโมเดลนี้ ประชาชนจะไม่มีส่วนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญเลย โดยในกระบวนการพิจารณารายมาตรา มีสมาชิกรัฐสภาทั้งผู้ที่เป็นกรรมาธิการข้างน้อย และ สส. สว. ที่ไม่ได้เป็นกรรมาธิการ เสนอแนวทางกำหนดที่มาผู้ร่างรัฐธรรมนูญหรือกำหนดองค์กรที่ปรึกษาร่างรัฐธรรมนูญใหม่มาจากการเลือกตั้ง 'เพื่อไทย' ชี้ ไม่มี สสร. จุดอ่อน แก้รัฐธรรมนูญ ทีมสื่อพรรคเพื่อไทย ชูศักดิ์ ศิรินิล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และกรรมาธิการพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ กล่าวในที่ประชุมร่วมรัฐสภา ว่า มาตรา 256/1 เป็นหัวใจสำคัญของการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพราะเป็นการกำหนดองค์กรที่จะมีหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งตามร่างของกรรมาธิการเสียงข้างมาก กำหนดไว้ 2 องค์กร คือ คณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ 35 คน และ คณะกรรมาธิการรับฟังความคิดเห็นและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน พรรคเพื่อไทยเห็นต่างและได้สงวนความเห็นไว้ โดยเสนอให้แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 256/1 ให้จัดตั้งเป็น “สภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.)” เพราะเห็นว่าเป็นรูปแบบที่เปิดกว้างและมีส่วนร่วมจากประชาชนมากกว่า ทั้งยังมีหลักประกันเรื่องความเป็นอิสระมากกว่าการให้รัฐสภาแต่งตั้งเพียงกรรมาธิการสองชุดดังกล่าว ชูศักดิ์ ระบุว่า พรรคเพื่อไทยเสนอให้ ส.ส.ร.มาจากการเลือกของประชาชนทั่วประเทศ 300 คน ก่อนให้รัฐสภาคัดเหลือ 100 คน โดยมีหลักประกันว่าอย่างน้อยต้องมีผู้แทนจากทุกจังหวัด เพื่อให้ครอบคลุมทุกพื้นที่และสะท้อนเจตจำนงของประชาชนทั่วประเทศ พร้อมยืนยันว่ารูปแบบนี้ไม่ขัดต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เพราะเป็นการ “เลือกตั้งโดยอ้อม” ไม่ใช่การเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญโดยตรง ทั้งนี้ ชูศักดิ์ยังเห็นว่า จำนวน 100 คนอาจไม่เพียงพอในการร่างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ จึงเสนอให้เพิ่มเติม ส.ส.ร. อีก 51 คน จากการเสนอขององค์กรต่าง ๆ เพื่อให้กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญเป็นของประชาชนอย่างแท้จริงและมีความรอบด้านในเชิงสังคม การเมือง และบริหารราชการแผ่นดิน ส่วนจาตุรนต์ ฉายแสง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และกรรมาธิการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขเพิ่มเติม อภิปรายในที่ประชุมรัฐสภา ระบุว่า การไม่มี “สภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.)” เป็นจุดอ่อนสำคัญของกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพราะจะทำให้การร่างทั้งหมดอยู่ในมือของคณะกรรมาธิการและรัฐสภาเพียงฝ่ายเดียว เสี่ยงต่อการถูกมองว่าเป็น “รัฐธรรมนูญของสมาชิกรัฐสภา” มากกว่าของประชาชน และอาจนำไปสู่การเผชิญหน้าทั้งกับรัฐสภาและประชาชนที่รู้สึกถูกกันออกจากกระบวนการกำหนดกติกาสูงสุดของประเทศ จาตุรนต์กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยได้เสนอให้มี “สภาร่างรัฐธรรมนูญ” เป็นองค์กรขั้นกลางระหว่างคณะกรรมาธิการยกร่างกับรัฐสภา เพื่อเปิดพื้นที่ให้ผู้แทนจากหลากหลายภาคส่วนที่เชื่อมโยงกับประชาชนเข้ามามีบทบาท โดยให้ประชาชนมีส่วนเลือกทางอ้อมก่อนที่รัฐสภาจะคัดกรองและให้ความเห็นชอบในขั้นสุดท้าย เขาอธิบายว่า หากมีสสร. กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญจะมีการตรวจสอบหลายชั้น คณะกรรมาธิการยกร่างจะเสนอร่างให้สสร.พิจารณาอย่างรอบด้าน ก่อนส่งกลับให้รัฐสภาพิจารณา แล้วให้สสร.ทบทวนอีกครั้ง ก่อนนำไปทำประชามติของประชาชน ซึ่งจะทำให้รัฐธรรมนูญมีความชอบธรรมและได้รับการยอมรับจากประชาชนมากกว่า ส่วน นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว สส.น่าน และกรรมาธิการพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ระบุว่า พรรคเพื่อไทยเห็นความสำคัญ ของการมีส่วนร่วมในกของประชาชนในการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญ โดยองค์กรผู้จัดทำร่างรัฐธรรมนูญนั้น จำเป็นจะต้องมีที่มาที่มีความเป็นอิสระ ไม่ถูกครอบงำชี้นำ โดยกลุ่ม หรือโดยสีใดทั้งสิ้น จึงเห็นควรสนับสนุนให้มีการตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญขึ้น แต่เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญห้ามผู้ร่างรัฐธรรมนูญมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของพี่น้องประชาชน พรรคเพื่อไทยจึงเสนอให้มีที่มาจากการคัดเลือกโดยที่ประชุมร่วมของรัฐสภา แต่รายชื่อที่จะนำเข้ามาสู่การคัดเลือกนั้น จะต้องผ่านการเลือกโดยประชาชนมาก่อนชั้นหนึ่ง ส่วนกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ และกรรมาธิการรับฟังความคิดเห็น หากยังคงเป็นไปตามร่างของคณะกรรมาธิการเสียงข้างมาก ก็มีโอกาสที่จะถูกครอบงำชี้นำโดยสีใดสีหนึ่ง และกรรมธิการร่างรัฐธรรมนูญข้างต้นนี้ นอกจากจะมีอำนาจหน้าที่ในการยกร่างรัฐธรรมนูญแล้ว ยังมีอำนาจในการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญด้วย ก่อนที่จะนำเสนอต่อรัฐสภา ให้ความเห็นชอบ หรือไม่เห็นชอบต่อไป ด้านขัตติยา สวัสดิผล สส.บัญชีรายชื่อ กรรมาธิการฯ ร่วมอภิปราย โดยขัตติยา เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการมีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ในฐานะองค์ประกอบที่ 3 ที่จะทำหน้าที่ยึดโยงการจัดรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เข้ากับประชาชนในฐานะเจ้าของอำนาจอธิปไตย อันเป็นเงื่อนไขสำคัญของความชอบธรรมของรัฐธรรมนูญที่จะยกร่างต่อไป ขัตติยา อธิบายที่มาของ สสร. ทั้งหมด 151 คน แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลัก กลุ่มแรกเป็นการเลือกจากประชาชนทั้งประเทศ 300 ก่อน ก่อนรัฐสภาเลือก 100 คน กระบวนการนี้ทำให้สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญประกอบด้วยตัวแทนจากทุกจังหวัด และในกลุ่มที่ 2 จำนวน 51 คน คัดเลือกโดยองค์กรวิชาชีพต่างๆ จากตัวแทนที่คัดเลือกจากภาคการเมือง ตุลาการ ผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ สภานักศึกษา เป็นต้น เหตุผลสำคัญของการมี สสร. ขัตติยา ชี้ว่าทั้งกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญและกรรมาธิการรับฟังความคิดเห็น เป็นการคัดเลือกโดยรัฐสภา การตัดสินใจและความชอบธรรมผูกอยู่กับรัฐสภาเป็นสำคัญ แม้ว่ารัฐสภา จะมีความยึดโยงกับประชาชนผ่านสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แต่การจัดทำรัฐธรรมนูญ ความเชื่อมโยงต่อรัฐสภาเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ จึงจำเป็นต้องมี สสร. ในฐานะกลไกที่เชื่อมโยงประชาชนเข้าสู่การร่างรัฐธรรมนูญทางตรง เป็นกลไกที่มีอำนาจและมีส่วนร่วมตลอดกลไกของการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ นอกจากนี้ ขัตติยา ยังแสดงความกังวลต่อกระบวนการคัดเลือกแบบ 20 หยิบ 1 ที่อาจทำให้ฝ่ายเสียงข้างมากในรัฐสภาคือ ส.ส. และ ส.ว. มีอิทธิพลในการคัดเลือก และอาจส่งผลต่อการร่างเนื้อหาอย่างน่ากังวล รวมถึงยังแสดงความกังวลต่อเกณฑ์ที่ผู้สมัครต้องมีผู้รับรอง 100 คน อาจนำไปสู่การจัดตั้งทางการเมืองและกีดกันประชาชนที่ต้องการมีส่วนร่วมแต่ไม่สามารถหาผู้รับรองได้ สุดท้ายขัตติยาสรุปว่า สสร. ไม่ขัดต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เนื่องจากเป็นผู้กลั่นกรองและให้ความเห็นชอบ ไม่ใช่ผู้ยกร่าง และเน้นย้ำว่าการมี สสร. เป็นความจำเป็นของการเมืองไทย เป็นเงื่อนไขที่ทำให้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้รับการยอมรับ มีความชอบธรรมและยึดโยงกับประชาชน เพื่อให้เป็นกติกาที่ทุกฝ่ายยอมรับ ส่วนก่อแก้ว พิกุลทอง สส.บัญชีรายชื่อ และกรรมาธิการฯ ระบุว่า ข้อเสนอของพรรคเพื่อไทยให้มีโครงสร้างขององค์กรไว้ยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่จะให้มี สสร.และมาจากประชาชน โดยผ่านการเลือกตั้งทางอ้อม เหมือนตอนยกร่างรัฐธรรมนูญ 2540 สสร.ตอนปี 2540 ก็เป็นแบบอย่างที่ดี ที่เคยทำสำเร็จมาแล้ว รัฐธรรมนูญฉบับนั้นได้รับการยอมรับว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน พรรคเพื่อไทยมีความเห็นอย่างตรงไปตรงมาว่า การเลือกตั้ง สสร. โดยทางอ้อมนั้นไม่ขัดต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ การให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากที่สุดจึงมีความจำเป็น เพราะถ้าใช้โครงสร้างองค์กรร่างรัฐธรรมนูญตามที่ กมธ.เสียงข้างมากได้เสนอมานั้น อาจจะมีกลุ่มเสียงข้างมากครอบงำในการร่างรัฐธรรมนูญได้ ตนเองอยู่ในกลุ่มที่เคยต่อต้านรัฐธรรมนูญ 2550 และ 2560 ที่เกิดจากการยึดอำนาจ ตอนนั้นสังคมก็รับรู้ว่ารัฐธรรมนูญที่มาจากทหารร่างโดยคนกลุ่มเดียว ประชาชนไม่มีส่วนร่วม เนื้อหาหลายอย่างไม่สอดคล้องกับหลักประชาธิปไตยสากล มีการเอื้อประโยชน์ให้คนบางกลุ่ม ไม่ได้รับการยอมรับจากประชาชนโดยรวม เมื่อมีการใช้ก็มีการต่อต้านต้านจากประชาชนอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นถ้าเรามีโครงสร้างการร่างรัฐธรรมนูญที่ถูกครอบงำโดยคนสีใดสีหนึ่งโดยเสียงข้างมากแล้ว มันจะเป็นปัญหาในอนาคตได้ ต้องยอมรับว่าสังคมไทยทุกวันนี้ยังมีความขัดแย้งเต็มไปหมด ถ้าใครสามารถกุมเสียงข้างมากแล้วมาครอบงำการร่างรัฐธรรมนูญได้แล้ว สีที่เหลือก็จะไม่ยอมรับ จะทำให้รัฐธรรมนูญที่เราอุตส่าห์ทุ่มเทต่อสู้กันมาเพื่อยกร่างใหม่นั้น จะไม่ได้รับการยอมรับจากสังคมโดยรวม สุดท้ายในการลงมติเสียงข้างมาในรัฐสภาเห็นให้ใช้ร่างเดิมตามมติกมธ. เสียงข้างมาก ด้วยคะแนนเสียง 328:266 เสียง งดออกเสียง 21 เสียง ไม่ลงคะแนน 3 เสียง กล่าวคือ ที่ประชุมเห็นชอบกับการแก้ไขของกรรมาธิการฯ เสียงข้างมาก ที่ให้มีคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ 35 คน และกรรมาธิการรับฟังความเห็นและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน 35 คน จากการคัดเลือกโดยรัฐสภา   * ข่าว * การเมือง * รัฐสภา * แก้รัฐธรรมนูญ * ชูศักดิ์ ศิรินิล * จาตุรนต์ ฉายแสง * พรรคเพื่อไทย * ขัตติยา สวัสดิผล
dlvr.it
December 10, 2025 at 8:44 AM
กระสุน BM-21 ตกใกล้ รพ. พนมดงรัก สุรินทร์เร่งอพยพผู้ป่วย-ประชาชน
กระสุน BM-21 ตกใกล้ รพ. พนมดงรัก สุรินทร์เร่งอพยพผู้ป่วย-ประชาชน
กระสุน BM-21 ตกใกล้ รพ. พนมดงรัก สุรินทร์เร่งอพยพผู้ป่วย-ประชาชน Pazzle Wed, 2025-12-10 - 13:05 กองทัพบกรายงาน กัมพูชาระดมยิงจรวด BM-21 ลงพื้นที่พลเรือนที่ ต.ตาเมียง ต.บักได และ ต.จีกแดก อ.พนมดงรักจ.สุรินทร์ รวมกว่า 50 นัด พบกระสุนตกใกล้โรงพยาบาลพนมดงรัก จำนวน 5 ลูก และ เร่งเคลื่อนย้ายผู้ป่วยและอพยพประชาชนโดยรอบ กองทัพประณามกัมพูชาละเมิดมนุษยธรรม ขณะที่พลตรีวินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ชี้แจงกรณีที่ “ฮุนเซน” กล่าวหาไทยรุกรานใช้อาวุธหนักระดมยิงใส่ฝั่งกัมพูชา พลตรีวินธัยปัดไทยไม่ได้เริ่มก่อน กัมพูชามีพฤติกรรมยั่วยุมาโดยตลอด ใช้อาวุธทุ่นระเบิดทำร้ายทหารฝ่ายไทย มุ่งฉีกสัญญาหยุดยิงและทำลายสันติภาพ   10 ธ.ค. 2568 กองทัพบกได้รับรายงานจากกองทัพภาคที่ 2 ว่า เมื่อเวลา 07.15 น. วันนี้ (10 ธ.ค. 2568) ทหารกัมพูชาได้ระดมยิงจรวด BM-21 เข้ามายังพื้นที่อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ ส่งผลกระทบต่อพื้นที่พลเรือนในวงกว้าง ครอบคลุม ตำบลตาเมียง ตำบลบักได และตำบลจีกแดก รวมกว่า 50 นัด โดยตรวจพบว่ามีกระสุนตกบริเวณโดยรอบโรงพยาบาลพนมดงรัก จำนวน 5 ลูก ภายหลังเกิดเหตุ หน่วยทหารและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เร่งอพยพผู้ป่วย เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ และประชาชนพลเรือนทั้งหมดเข้าสู่พื้นที่กำบังเรียบร้อยแล้ว เพื่อความปลอดภัยสูงสุด ทั้งนี้ กองทัพบกยังคงติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งเพิ่มมาตรการป้องกันผลกระทบและดูแลประชาชนในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง กองทัพบกขอประณามการใช้อาวุธโจมตีพื้นที่พลเรือนของกัมพูชา ซึ่งเป็นการกระทำที่ละเมิดอธิปไตยของไทย และขัดต่อหลักมนุษยธรรมอย่างร้ายแรง การยิงจรวดหลายลำกล้องเข้าสู่เขตชุมชนและบริเวณสถานพยาบาล ถือเป็นพฤติกรรมที่ไม่อาจยอมรับได้ และเป็นภัยอย่างยิ่งต่อความปลอดภัยของประชาชนผู้บริสุทธิ์ กองทัพบกยืนยันว่าจะดำเนินมาตรการป้องกันและตอบสนองต่อภัยคุกคามทุกรูปแบบอย่างเหมาะสม ภายใต้กฎการใช้กำลังตามหลักสากล เพื่อคุ้มครองชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนไทยเป็นสำคัญ มติชน เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. ที่ผ่านมา กองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 23 ระบุ จากเหตุการณ์ปะทะที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ในสมรภูมิปราสาทคนาทำให้ไทยสูญเสียกำลังพลรายที่ 5 คือพลทหารเทิดศักดิ์ ศรีลาชัย อายุ 20 ปี สังกัด กองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 23 (ร.23 พัน.3) ค่ายวีรวัฒน์โยธิน อ.เมืองจ.สุรินทร์ พลทหารเทิดศักดิ์เสียชีวิตขณะกำลังรักษาตัวที่ รพ.พนมดงรัก หลังถูกสะเก็ดระเบิดจาก BM-21 ของกัมพูชา พลทหารเทิดศักดิ์เป็นชาวภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ เข้าเป็นทหารกองประจำการ ด้วยการสมัครออนไลน์ ผลัด 1/67 ทั้งนี้ วันนี้ (10 ธ.ค. 2568) พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ได้ออกมาชี้แจงว่า จากกรณีที่สื่อกัมพูชารายงานว่า สมเด็จฯ ฮุน เซน ออกแถลงการณ์ด่วนถึงกองกำลังแนวหน้า ระบุว่า ขณะนี้ตนได้ลงมาบัญชาการรบร่วมกับนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต แล้ว และกล่าวหาว่าฝ่ายไทยคือผู้รุกราน ได้ใช้อาวุธหนักระดมยิงใส่ฝั่งกัมพูชา พร้อมกล่าวว่าเป็นกลยุทธ์ “ยั่วยุ” หวังดึงให้กัมพูชาโต้ตอบ เพื่อใช้เป็นข้ออ้างในการฉีกสัญญาหยุดยิงและทำลายแถลงการณ์สันติภาพ พร้อมสั่งให้ทหารกัมพูชา “อดทน” โดยระบุว่ามีการกำหนด “เส้นแดง” (Red Line) สำหรับการตอบโต้ไว้แล้ว หากยังไม่ถึงจุดนั้น ห้ามหลงกลยิงสวนเด็ดขาด พลตรีวินธัย ระบุ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ฝ่ายไทยเชื่อมาตลอดว่า สมเด็จฯ ฮุน เซน คือ ผู้สั่งการบังคับบัญชาตัวจริงของประเทศกัมพูชา ส่วนประเด็นบิดเบือนที่พยายามกล่าวหาไทยเป็น ‘ผู้รุกราน’ กลับแย้งกับความจริงว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายเริ่มก่อน ในการนำกำลังพร้อมอาวุธเข้ามาในเขตพื้นที่อธิปไตยไทยในหลายพื้นที่ รวมทั้งการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลจำนวนมากบริเวณแนวชายแดน โดยในช่วงหยุดยิงตั้งแต่เมื่อปลายเดือนกรกฎาคมเป็นต้นมา พบว่า ฝ่ายกัมพูชามีพฤติกรรมยั่วยุมาโดยตลอด ที่สำคัญที่สุดคือการใช้อาวุธทุ่นระเบิดทำร้ายฝ่ายไทย มีหลักฐานพิสูจน์ชัดเจน จนทำให้ฝ่ายรัฐบาลไทยขอระงับข้อตกลงร่วม เพราะผลจากการกระทำของฝ่ายกัมพูชา กัมพูชาจึงเป็นผู้ที่ฉีกสัญญาต่าง ๆ โดยเจตนาผ่านการกระทำของตนเอง นอกจากนี้ กัมพูชาไม่ได้ใช้ความอดทนจริงอย่างที่กล่าวไว้ เพราะจากสิ่งที่เกิดขึ้น ตั้งแต่วันที่ 7 ธ.ค. 2568 ทหารกัมพูชายิงใส่ทหารไทยอย่างโหดร้าย และไม่มีการแจ้งเตือนก่อน รวมถึงตลอดสองสามวันที่ผ่านมา กัมพูชาใช้อาวุธทุกชนิดโจมตีฝ่ายไทยด้วยปริมาณที่หนาแน่นมาตลอด ซึ่งพบว่ามีพื้นที่พลเรือนได้รับผลกระทบจำนวนมาก โฆษกกองทัพบกย้ำว่า กองทัพบกมีสิทธิในการป้องกันตนเอง จนกว่าภัยคุกคามในพื้นที่ชายแดนจะยุติลง เพื่อปกป้องอธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดน และความปลอดภัยของประชาชนไทยตามกรอบกฎหมายระหว่างประเทศ และหลักมนุษยธรรม ยืนยันไม่ได้เป็นฝ่ายริเริ่มความรุนแรง แต่มีหน้าที่ต้องตอบสนองต่อการล่วงละเมิดอธิปไตยอย่างจำเป็นและเหมาะสม   * ข่าว * การเมือง * กัมพูชา * กรณีพิพาทไทย-กัมพูชา * พนมดงรัก * วินธัย สุวารี * เทิดศักดิ์ ศรีลาชัย
dlvr.it
December 10, 2025 at 6:16 AM
ครบรอบ 1 ปี วิกฤตการเมือง 'เกาหลีใต้' บทเรียนความขัดแย้งฝังราก
ครบรอบ 1 ปี วิกฤตการเมือง 'เกาหลีใต้' บทเรียนความขัดแย้งฝังราก
ครบรอบ 1 ปี วิกฤตการเมือง 'เกาหลีใต้' บทเรียนความขัดแย้งฝังราก Pazzle Wed, 2025-12-10 - 11:24 ครบรอบ 1 ปี เหตุการณ์อดีตประธานาธิบดีเกาหลีใต้ “ยุน ซอกยอล” ประกาศกฎอัยการศึก โดยอ้างว่าเพื่อถอนรากถอนโคน “ฝ่ายต่อต้านรัฐ” แต่ผลที่ตามมากลับทำให้ยุนถูกโค่นล้มเสียเอง เกิดเปลี่ยนผ่านทางการเมืองในเกาหลีใต้ในแบบที่ไม่มีใครคาดคิด และนับเป็นการปลดประธานาธิบดีก่อนหมดวาระเป็นครั้งที่สองในประวัติศาสตร์เกาหลีใต้ พรรคประชาธิปไตยเกาหลีใต้ (DPK) ขึ้นมามีอำนาจแทนที่พรรค PPP ของยุน พรรค PPP แปดเปื้อนไปด้วย "ความผิดบาป" ถูกตราหน้าว่าสนับสนุนรัฐประหาร วิกฤต 1 ปีที่ผ่านมาสะท้อนการฟื้นตัวเร็วของประชาธิปไตยเกาหลีใต้ แต่ก็เผยให้เห็นความขัดแย้งฝังรากด้านที่เปราะบางของประชาธิปไตยเกาหลีใต้ ผู้นำคนเดียวสามารถทำลายเสถียรภาพของระบบการเมืองได้ อีกทั้งยังสะท้อนให้เห็นความเป็นกลางทางการเมืองที่เปราะบางในกองทัพกับวงการตำรวจของเกาหลีใต้   10 ธ.ค. 2568 ย้อนไปเมื่อวันที่ 3 ธ.ค. 2567 เกาหลีใต้ได้เกิดวิกฤตทางการเมืองหลังจากที่ประธานาธิบดีในสมัยนั้นคือ “ยุน ซอกยอล” ประกาศกฎอัยการศึก โดยอ้างว่าเพื่อเป็นการปราบปรามแบบถอนรากถอนโคนต่อ "ฝ่ายต่อต้านรัฐ" คำประกาศที่น่าประหลาดใจนี้ได้ส่งผลต่อเนื่องมาจนทำให้ยุนถูกโค่นล้มในที่สุด กลายเป็นการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองในเกาหลีใต้ในแบบที่ไม่มีใครคาดคิด และนับเป็นการปลดประธานาธิบดีก่อนหมดวาระเป็นครั้งที่สองในประวัติศาสตร์เกาหลีใต้ หลังจากนั้นเกาหลีใตก็ได้เปลี่ยนขั้วอำนาจจากพรรคพีเพิลพาวเวอร์หรือ PPP ของยุน กลายเป็นพรรคประชาธิปไตยเกาหลีใต้หรือ DPK ขึ้นมามีอำนาจนำแทน แต่ถึงแม้ว่าภูมิทัศน์ทางการเมืองเกาหลีใต้จะเปลี่ยนแปลงไป แต่ปัญหาคาราคาซังของการเมืองเกาหลีใต้ก็กลับยิ่งฝังรากลึกมากกว่าเดิม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้พรรค PPP แปดเปื้อนไปด้วย "ความผิดบาป" ที่ว่าพวกเขาสนับสนุนการพยายามก่อรัฐประหารของยุน มีคนในพรรค PPP อยู่จำนวนหนึ่งที่ต่อต้านการกระทำของยุน แต่พวกเขาก็ถูกมองว่าไม่ได้ทำการต่อต้านคัดค้านได้ดีพอ อีกทั้งยังมีคนในพรรคส่วนมากที่พยายามปกป้องหรืออ้างความชอบธรรมให้กับการก่อกระทำของยุนด้วย ผลที่ตามมาคือการถกเถียงในภายในพรรคเรื่องความรับผิดชอบต่อการกระทำของยุน จนกระทั่งเกิดความแตกแยกในพรรคตามมา ในขณะเดียวกันนักวิจารณ์ก็มองว่า หลังจากเปลี่ยนชั้วอำนาจทางการเมืองแล้ว พรรค PPP ก็ทำหน้าที่ฝ่ายค้านได้ไม่ดีพอ ทำได้แค่เป็น "ผู้สังเกตการณ์" เท่านั้น ในขณะที่พรรค DPK เดินหน้าเต็มสูบในการประณามการพยายามก่อรัฐประหาร และใช้เรื่องนี้สร้างความชอบธรรมในการปฏิรูปสถาบันการเมืองเกาหลีใต้ ในขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์การเมืองก็ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อว่า เหตุการณ์ประกาศกฎอัยการศึกที่เกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้ว ได้ทำให้การเมืองเกาหลีใต้ที่มีปัญหาเรื่องการแบ่งขั้วอยู่ก่อนแล้ว ยิ่งตอกย้ำปัญหานี้มากขึ้นกว่าเดิม ชินยูล ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยมยองจีชี้ว่าการประกาศกฎอัยการศึกโดยยุนนั้นถือเป็นการล้ำเส้นที่ไม่ควรจะข้ามไป เพราะมันนับเป็นการบ่อนทำลายรากฐานหลักนิติธรรมตามหลักรัฐธรรมนูญ เรื่องนี้ส่งผลทำให้พรรค PPP ไม่เพียงแค่สูญเสียการสนับสนุนทางการเมืองเท่านั้น ยังทำให้พรรค DPK เข้ามามีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงสถาบันทางการเมืองมากขึ้นด้วย จากเดิมที่พวกเขายับยั้งช่างใจต่อการเปลี่ยนแปลงมาโดยตลอด สิ่งที่ตามมายังกลายเป็นการทำลายความเชื่อมั่นต่อสถาบันทางการเมืองเกาหลีใต้ ซึ่งอาจจะกลายเป็นปัญหาร้ายแรงต่อสมดุลอำนาจทางการเมืองในประเทศ เพราะเมื่อ PPP อ่อนแอลงมาก พรรค DPK ก็จะได้อำนาจในแบบที่มีความยับยั้งช่างใจน้อยลง อีกทั้งยังเสี่ยงต่อการทำให้การประกาศใช้กฎอัยการศึกกลายเรื่องที่ชอบธรรมมากขึ้นในวิธีคิดของนักการเมือง เสี่ยงต่อการทำลายรากฐานทางการเมืองแบบประชาธิปไตยต่างๆ เช่น ทำให้อำนาจการบังคับใช้กฎหมายอ่อนแอลง หรือ ทำให้มีการอ้างความกลัวกฎอัยการศึกในการส่งเสริมให้มีการสอดแนมข้าราชการ ปัญหาการแบ่งแยกภูมิภาค และแบ่งขั้วการเมืองแบบสุดโต่ง พักซังบย็อง ศาสตราจารย์จากบัณฑิตวิทยาลัยนโยบายศึกษาของมหาวิทยาลัยอินฮา กล่าวว่า มีผลพวงที่ตามมาอีกอย่างหนึ่งของการที่ยุนประกาศกฎอัยการศึก คือ การที่แนวคิดแบ่งแยกภูมิภาค และการแบ่งขั้วทางการเมืองแบบสุดโต่ง ได้กลายเป็นสิ่งที่ทวีความหนักหน่วงมากขึ้น พัก มองว่า ก่อนหน้านี้ความสัมพันธ์ระหว่างพรรคฝ่ายค้านกับพรรครัฐบาลในเกาหลีใต้มีลักษณะแบบ "ปฏิปักษ์ที่หล่อเลี้ยงกัน" มาโดยตลอดคือการที่ทั้งสองฝ่ายต่างก็มีความบาดหมางกัน แต่ความบาดหมางนี้กลับทำให้ทั้งสองฝ่ายเข้มแข็งมากขึ้นและคงไว้ซึ่งโครงสร้างอำนาจที่มีร่วมกัน พัก เปรียบเทียบว่าในขณะที่ทั้งสองพรรคนี้กล่าวโจมตีกันและขับเคี่ยวกันทางการเมือง มันก็ได้สร้างแรงสนับสนุนจากฐานเสียงของตัวเองที่มีรากฐานมาจากแนวคิดแบ่งแยกภูมิภาค นอกจากนี้การที่ทั้งสองฝ่ายแสดงออกต่อหน้าสาธารณชนว่ากำลังต่อสู้กันไปมายังกลายเป็นการช่วยเสริมความชอบธรรมให้กับตัวเองไปในตัวด้วย แต่พักก็มองว่าเรื่องการเมืองแบบแบ่งแยกภูมิภาค เช่น ภูมิภาคหนึ่งปักใจสนับสนุนแต่พรรคๆ หนึ่ง ส่วนอีกภูมิภาคหนึ่งก็สนับสนุนอีกพรรคหนึ่งอย่างไม่เปลี่ยนแปลง จะทำให้การเมืองเกาหลีใต้เกิดปัญหาคือการขาดนวัตกรรมทางการเมือง ทำให้การเมืองถูกลดทอนกลายเป็นแค่ความขัดแย้งของคนต่างภูมิภาคกันเท่านั้น พรรค PPP แตกคอกันเรื่องขอโทษกฎอัยการศึก หลังจากที่เหตุการณ์ผ่านมาหนึ่งปีแล้ว พรรค PPP ได้มีการโต้เถียงกันเรื่องที่ว่าควรจะขอโทษเรื่องกฎอัยการศึกดีหรือไม่ จนกลายเป็นความบาดหมางในช่วงก่อนที่จะมีการเลือกตั้งท้องถิ่นภายในปี 2569 ที่จะถึงนี้ กลุ่มผู้นำพรรค PPP ถูกกดดันให้ต้องมีการดึงดูดฐานเสียงสายกลางให้ได้มากขึ้นไปพร้อมๆ กับการรักษาฐานเสียงเดิมเอาไว้ ด้วยการขอโทษในเรื่องกฎอัยการศึก แต่ก็มีความกลืนไม่เข้าคายไม่ออกในเรื่องนี้อยู่เช่นกัน เพราะถ้าหากพวกเขาขอโทษต่อเรื่องกฎอัยการศึกษาแล้ว มันก็จะกลายเป็นการให้ความชอบธรรมต่อการที่พรรค DPK นำเสนอภาพว่าการประกาศกฎอัยการศึกในครั้งนั้นเป็น "การกบฏชาติ" มีคนในพรรคบางส่วน เช่น ยังฮยางจา สมาชิกระดับสูงของ PPP กล่าวว่า พรรคล้มเหลวในการที่จะป้องกันไม่ให้อดีตประธานาธิบดียยุน "ตัดสินใจในทางที่ผิด" โดยไม่มีการตรวจสอบถ่วงดุลที่ดีพอ และไม่มีการยับยั้งช่างใจในการใช้อำนาจ อีกทั้งยังฮยางจายังต้องการให้พรรคของเธอก้าวข้ามเหตุการณ์วันที่ 3 ธันวาคม 2567 ให้ได้เสียที ส่วน แบฮุนจิน ส.ส. ของพรรค PPP อีกรายหนึ่ง ก็ได้วิพากษ์วิจารณ์กลุ่มรอยัลลิสต์ขวาจัดที่ปกป้องการประกาศกฎอัยการศึกของยุนว่า เป็นการทำให้พรรค PPP ต้องไปผูกติดอยู่กับยุนแบบที่ก้าวข้ามไม่พ้นเสียที ถ้าหากพรรค PPP ยังคงแสดงท่าทีสนับสนุนยุนไปเรื่อยๆ พวกเขาก็จะไม่มีวันชนะคะแนนเสียงของประชาชนในการเลือกตั้งท้องถิ่นปีหน้า เคยมีการสำรวจโพลที่แสดงให้เห็นว่าครึ่งหนึ่งของคนในพรรค PPP มีความต้องการให้แสดงความสำนึกผิดต่อการกระทำของยุน โดยมีสมาชิกพรรค 43 ราย จากกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 82 ราย ที่บอกว่าทางพรรคควรจะขอโทษ เพราะมันจะทำให้พรรคก้าวพ้นและล้างมือจาก "ยุคสมัยของยุน" ซึ่งจะกลายเป็นการดึงดูดคะแนนเสียงให้พรรคมากขึ้นได้ สะท้อนการฟื้นตัวเร็วของประชาธิปไตยเกาหลีใต้ แต่ก็เผยให้เห็นความขัดแย้งฝังราก เหตุการณ์เมื่อวันที่ 3 ธ.ค. 2567 ยุนได้ใช้อำนาจประกาศกฎอัยการศึกที่ไม่ได้นำมาใช้เป็นเวลาราว 40 กว่าปีแล้ว แต่การประกาศกฎอัยการศึกในครั้งนี้ก็กลายเป็นการย้อนบรรยากาศแบบยุคเผด็จการทหารในอดีตของเกาหลีใต้ให้กลับมาอีกครั้ง เพราะกฎอัยการศึกมีการจำกัดกิจกรรมทางการเมืองและมีการควบคุมสื่ออย่างหนัก อีกทั้งยังมีเหตุการณ์ที่ทหารบุกเข้าไปในรัฐสภาด้วย แต่ทว่า ส.ส. ในสภาตอนนั้นก็ได้โหวตผ่านร่างคว่ำกฎอัยการศึกอย่างเร่งด่วน จนทำให้ยุนยอมยกเลิกกฎอัยการศึกในที่สุด และหลังจากนั้นก็มีมติจากสภาให้ถอดถอนยุนออกจากตำแหน่งประธานาธิบดี มีการตั้งข้อสังเกตว่า ถึงแม้หลังประกาศกฎอัยการศึกจะมีประชาชนชาวเกาหลีจำนวนมากที่พยายามสกัดกั้นไม่ให้กองทัพบุกเข้าไปในอาคารรัฐสภา และต่อมาก็มีการชุมนุมบรท้องถนนเรียกร้องให้ถอดถอนยุนออกจากตำแหน่ง แต่ในอีกมุมหนึ่งของประเทศก็มีผู้ชุมนุมที่แสดงการสนับสนุนยุน รวมถึงมีกรณีที่กลุ่มผู้สนับสนุนยุนบุกศาลแขวงตะวันตกกรุงโซลเพื่อประท้วงการออกหมายจับยุนด้วย สิ่งที่เกิดขึ้นกลายเป็นเรื่องที่สะท้อนการแบ่งแยกทางการเมืองแบบฝังรากลึกในเกาหลีใต้ ตัวของยุนเองก็ขัดขืนการจับกุมและขัดขืนการดำเนินคดีต่อเขาหลายครั้ง กลายเป็นสิ่งที่ชวนให้ตั้งคำถามว่าประชาธิปไตยในเกาหลีใต้ยังแข็งแรงดีหรือไม่ หลังจากชนะการเลือกตั้ง ลีแจมย็อง ก็ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีต่อจากยุนแทบจะทันทีโดยไม่มีช่วงเวลาเปลี่ยนผ่าน กลายเป็นคนที่ต้องเข้ามาสร้างเสถียรภาพให้กับประเทศ และฟื้นฟูชื่อเสียงให้กับเกาหลีใต้ในสายตานานาชาติไปพร้อมๆ กับการฟื้นฟูความเสียหายที่เกิดต่อเศรษฐกิจ เลฟ-อิริค อีสลีย์ ศาสตราจารย์ด้านนานาชาติศึกษาที่มหาวิทยาลัยสตรีอีฮวา วิเคราะห์ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ได้สะท้อนให้เห็นว่าประชาธิปไตยของเกาหลีใต้มีการฟื้นตัวได้เร็วจนทำให้โลกประทับใจได้ แต่ในขณะเดียวกันก็สะท้อนปัญหาอื่นๆ เช่น ปัญหาที่ฝ่ายบริหารมีอำนาจเกินขอบเขต ปัญหาเรื่องการขัดขวางกระบวนการทางกฎหมาย และปัญหาเรื่องการแบ่งขั้วของสื่อที่ยังคงไม่ได้รับการแก้ไข อีสลีย์กล่าวว่า "ควรจะมีการปฏิรูปสถาบันการเมืองเพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องการลุแก่อำนาจ ปัญหาด้านชนชั้นทางเศรษฐกิจสังคม และปัญหาการขาดตัวแทนที่หลากหลายในสังคม" โดยมองว่าเรื่องนี้ไม่ใช่แค่การทำให้ความเชื่อมั่นต่อตลาดการลงทุนในเกาหลีใต้กลับคืนมาได้เท่านั้น แต่ยังมีความสำคัญต่อความสำเร็จของกลุ่มประเทศประชาธิปไตยที่จะถ่วงดุลอำนาจกับกลุ่มประเทศอำนาจนิยมที่เริ่มเหิมเกริมมากขึ้นด้วย สื่อ Yonhap ระบุอีกว่า วิกฤตเมื่อ 1 ปีที่ผ่านมายังได้สะท้อนให้เห็นด้านที่เปราะบางของประชาธิปไตยในเกาหลีใต้ แสดงให้เห็นว่าผู้นำคนเดียวสามารถทำลายเสถียรภาพของระบบการเมืองได้ อีกทั้งยังสะท้อนให้เห็นว่าความเป็นกลางทางการเมืองยังคงเป็นเรื่องเปราะบางในวงการกองทัพกับวงการตำรวจของเกาหลีใต้   เรียบเรียงจาก 1 year after martial law, Korea’s chronic political conflicts have only deepened, The Korea Times, 01-12-2025 https://www.koreatimes.co.kr/southkorea/politics/20251201/1-year-after-martial-law-koreas-chronic-political-conflicts-have-only-deepened PPP's internal turmoil deepens as martial law anniversary approaches, The Korea Times, 01-12-2025 https://www.koreatimes.co.kr/southkorea/politics/20251201/internal-turmoil-deepens-at-ppp-as-martial-law-anniversary-approaches PPP split over apology ahead of 1-year martial law anniversary, The Korea Herald, 01-12-2025 https://www.koreaherald.com/article/10627190 (News Focus) 1 year after martial law, S. Korea shows democratic resilience but reveals social divisions, Yonhap News Agency, 30-11-2025 https://en.yna.co.kr/view/AEN20251128004700315 * รายงานพิเศษ * การเมือง * ต่างประเทศ * กฎอัยการศึก * ยุน ซอกยอล * พรรค PPP * พรรค DPK * การแบ่งแยกภูมิภาค * การแบ่งขั้วการเมือง * ประชาธิปไตย * การเลือกตั้งท้องถิ่นเกาหลีใต้ 2569 * วิกฤตการเมืองเกาหลีใต้ * เกาหลีใต้
dlvr.it
December 10, 2025 at 4:32 AM
'กัมพูชา' ถอนตัว 'ซีเกมส์ 2025' กังวลสถานการณ์ชายแดนรุนแรง กระทบการเดินทางนักกีฬา
'กัมพูชา' ถอนตัว 'ซีเกมส์ 2025' กังวลสถานการณ์ชายแดนรุนแรง กระทบการเดินทางนักกีฬา
'กัมพูชา' ถอนตัว 'ซีเกมส์ 2025' กังวลสถานการณ์ชายแดนรุนแรง กระทบการเดินทางนักกีฬา Pazzle Wed, 2025-12-10 - 10:10 นักกีฬากัมพูชากว่า 137 คน ถอนตัวจากซีเกมส์ 2025 หลังร่วมพิธีเปิดเมื่อคืนที่ผ่านมา ระบุ มีการเตือนจากผู้ใหญ่กัมพูชาถึงสถานการณ์ชายแดนที่รุนแรงขึ้น อาจส่งผลกระทบต่อการเดินทางกลับประเทศ    10 ธ.ค. 2568  หลายสำนักข่าวรายงานตรงกัน นักกีฬากัมพูชาและเจ้าหน้าที่ 137 คน ขอถอนตัวจากซีเกมส์ 2025 หลังร่วมพิธีเปิดเมื่อคืนที่ผ่านมา ก่อนหน้านี้กัมพูชาได้มีการปรับลดจำนวนประเภทกีฬาที่เข้าร่วมลงเหลือ 12 ชนิด  โดยมีการเตือนจากผู้ใหญ่กัมพูชาว่า จากสถานการณ์ชายแดนที่รุนแรงขึ้น ทำให้กังวลว่าจะลุกลามและส่งผลต่อการเดินทางกลับ ทางกัมพูชาจะมีหนังสืออย่างเป็นทางการ เวลาประมาณ 11.00 น. ในวันนี้ มติชน ชัยภักดิ์ ศิริวัฒน์ รองประธานคณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทยฯ ระบุว่า นักกีฬากัมพูชา 30 คนที่เข้าร่วมพิธีเปิดการแข่งขันรู้สึกประทับใจกับการต้อนรับมาก แต่หลังจากพิธีเปิดจบลง ตอนตี 2 ทาง วัธ จำเริญ เลขาธิกาโอลิมปิกกัมพูชา แจ้งว่า เนื่องจากสถานการณ์ความรุนแรงบริเวณชายแดนในเวลานี้ที่ตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ นั้น พ่อแม่ผู้ปกครองของนักกีฬาเป็นห่วงลูกหลานว่า หากสถานการณ์รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ สายการบินไม่สามารถเดินทางระหว่างสองประเทศได้ ลูกหลานจะไม่ได้กลับบ้าน จึงรวมตัวกันมาพูดคุยและแจ้งกับ โอลิมปิคไทยว่าจะถอนตัวนักกีฬากลับในวันพรุ่งนี้ โดยจะทำหนังสือแจ้งไทยในเวลา 11.00 น. ซึ่งกัมพูชาจะเดินทางกลับในวันพรุ่งนี้     * ข่าว * กีฬา * ซีเกมส์ * กัมพูชา
dlvr.it
December 10, 2025 at 3:25 AM
Cambodia and Thailand must prevent further risk to civilians from renewed hostilities, says Amnesty International
Cambodia and Thailand must prevent further risk to civilians from renewed hostilities, says Amnesty International
Cambodia and Thailand must prevent further risk to civilians from renewed hostilities, says Amnesty International Responding to reports of renewed armed clashes along the border of Cambodia and Thailand on Monday, Amnesty International’s Regional Research Director Montse Ferrer said: “The resumption of hostilities around the Thailand/Cambodia border risks civilian lives, mass displacement and the destruction of essential civilian infrastructure. “The Cambodian and Thai governments must take all the necessary steps to protect civilians in line with international humanitarian law and prevent any further risks to civilians. “Amid concerning reports of civilian casualties on Monday, we urge the international community to pressure both governments to adhere to their obligations to minimize the impact of the conflict on civilians and civilian objects.” Background Thousands of people fled from towns and villages around Thailand and Cambodia’s border on Monday 8 December as fierce fighting resumed between the two countries, who agreed to a ceasefire in July. Cambodian officials said at least four Cambodian civilians had been killed as a result of Monday’s fighting, while Thai officials said one Thai soldier had died. Tensions between Thailand and Cambodia flared up in May 2025; since then more than 40 people are reported to have died as a result of the conflict. Cambodia previously claimed that Thailand is using internationally prohibited cluster munitions in the conflict. Alarmingly, a Royal Thai Army press release and Thai military spokesperson clarified in July 2025 that the army resort to cluster munitions when necessary to target military objectives and when adhering to the legal principle of proportionality. Amnesty International supports the prohibition of cluster munitions because they can contaminate large areas with several unexploded ordinance posing a risk to civilians even long after the end of hostilities. eng editor 1 Tue, 2025-12-09 - 14:48 * Pick to Post * Amnesty International * Cambodia * Thai-Cambodian conflicts (Feed generated with FetchRSS)
dlvr.it
December 9, 2025 at 1:36 PM
UN chief urges Thailand and Cambodia to avoid escalation amid renewed armed clashes
UN chief urges Thailand and Cambodia to avoid escalation amid renewed armed clashes
UN chief urges Thailand and Cambodia to avoid escalation amid renewed armed clashes UN Secretary-General Antonio Guterres has expressed concerns over the renewed armed clashes between Thailand and Cambodia, urging both countries to avoid further escalation as tensions escalated along the border. "The Secretary-General is concerned by reports of renewed armed clashes between Cambodia and Thailand, particularly the reported airstrikes and mobilization of heavy equipment in the border area. He urges both parties to exercise restraint and avoid further escalation," said a statement by Guterres' spokesperson Stephane Dujarric. The statement also noted that the border dispute between Cambodia and Thailand has already resulted in significant civilian casualties, damage to civilian infrastructure, and displacement on both sides of the border. The Secretary-General stresses that "both parties must protect civilians and facilitate humanitarian relief." He called on both parties to return to the framework of the Joint Declaration signed in Kuala Lumpur on 26 October, recommit to the ceasefire and implement de-escalation and confidence-building measures.  He also urged both parties to make full use of all mechanisms for dialogue to find a lasting solution to the dispute through peaceful means. "The United Nations stands ready to support all efforts aimed at promoting peace, stability and development in the region", said the statement. * Thailand-Cambodia border tensions: what we know about new wave of armed clashes The fresh tension between Thailand and Cambodia stemmed from an incident on the evening of Sunday (7 December) where both sides traded accusations of opening fire with small arms along the disputed border in Sisaket’s Kantharalak District and the Chong Bok area of Ubon Ratchathani’s Nam Yuen District. The exchange of fire lasted for 35 minutes and left two Thai soldiers injured. A new wave of deadly border clashes was reported in Ubon Ratchathani on the following day (8 December). The violence later spread to Surin and Buriram provinces, resulting in three soldier killed and 18 injured (as of 9 December). The Thai military said that Cambodia launched BM-21 rockets into residential areas, but no casualties were reported. Meanwhile, Kiripost reported that four Cambodian civilians in Oddar Meanchey province have been reportedly killed and nine injured in the exchange of fire. Both parties just signed a peace agreement presided over by Donald Trump and Malaysian PM Anwar Ibrahim in Kuala Lumpur, Malaysia on 26 October.  However, just two weeks after the historic peace agreement between Thailand and Cambodia, Thailand unilaterally announced it had suspended the agreement after Thai soldiers were injured in the latest landmine incident on 10 November. eng editor 3 Tue, 2025-12-09 - 13:10 * News * UN Secretary-General * António Guterres * Thai-Cambodian conflicts * Thai-Cambodia relations (Feed generated with FetchRSS)
dlvr.it
December 9, 2025 at 1:36 PM
'ณัฐพงษ์' ย้ำรบแนวเดียวไม่จบปัญหา ต้องใช้การทูต-ปราบสแกมเมอร์ควบคู่การทหาร
'ณัฐพงษ์' ย้ำรบแนวเดียวไม่จบปัญหา ต้องใช้การทูต-ปราบสแกมเมอร์ควบคู่การทหาร
'ณัฐพงษ์' ย้ำรบแนวเดียวไม่จบปัญหา ต้องใช้การทูต-ปราบสแกมเมอร์ควบคู่การทหาร auser15 Tue, 2025-12-09 - 19:39 'ณัฐพงษ์' หัวหน้าพรรคประชาชน ระบุการรบเพื่อชิงประเทศ รบให้จบเบ็ดเสร็จ เป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติในยุคปัจจุบัน เตือน 'อนุทิน' อย่าตกหลุมพรางฮุนเซน รบแนวเดียวไม่จบปัญหา ต้องใช้การทูต-ปราบสแกมเมอร์ควบคู่การทหาร 9 ธันวาคม 2568  ที่อาคารอนาคตใหม่ ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน แถลงข่าวกรณีสถานการณ์ไทย-กัมพูชา โดยกล่าวว่า สถานการณ์การปะทะกันระหว่างไทยและกัมพูชาดำเนินต่อเนื่องเข้าสู่วันที่ 3 ตนติดตามสถานการณ์ด้วยความห่วงใยต่อพี่น้องประชาชน 6 จังหวัดที่ต้องอพยพแล้วกว่า 100,000 คน โรงเรียนและโรงพยาบาลจำนวนมากต้องปิดทำการ และต้องขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวของทหารอย่างน้อย 3 นาย ที่เสียชีวิตระหว่างการปะทะ และขอส่งกำลังใจให้ทหารอีกจำนวนมากที่ได้รับบาดเจ็บ ตนยืนยันว่าความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนและชีวิตของทหารไทย ไม่ควรต้องมาสูญเสียกับสงครามที่หลีกเลี่ยงได้นี้เลย เช่นเดียวกับชีวิตของพลเรือน 17 รายและทหาร 18 นายที่เสียชีวิตจากการสู้รบในระลอกแรกเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา พี่น้องประชาชนนับแสน คนแก่ เด็กเล็ก ไม่ควรต้องได้รับผลกระทบจากการต้องอพยพ ทิ้งวัวควาย ไร่นา บ้านเรือน หากรัฐบาลจัดการเด็ดขาดต่อปัญหาที่เป็นหัวใจของเรื่องนี้ นั่นคือขบวนการสแกมเมอร์ซึ่งหล่อเลี้ยงระบอบฮุน เซน วันนี้เสียงเรียกร้องจากประชาชนคือต้องการจบปัญหาอย่างถาวร แต่ Endgame ฉากจบที่เรามองเห็น ตรงกันหรือไม่ การรบเพื่อชิงประเทศ รบให้จบเบ็ดเสร็จ เป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติในยุคปัจจุบัน เพราะจะเกิดความสูญเสียมหาศาลต่อทหารฝั่งเราเอง และประเทศไทยจะถูกโจมตีจากนานาชาติในฐานะผู้รุกราน การจบปัญหาที่เป็นจริง จึงหมายถึงการคืนชีวิตปกติกลับสู่พี่น้องประชาชน ไม่ต้องอยู่อย่างหวาดระแวงภัยสงคราม การทำมาค้าขายเป็นไปอย่างปกติสุขตลอดแนวชายแดนไทยกัมพูชา ตนเห็นด้วยอย่างยิ่งกับคำพูดของรองแม่ทัพภาค 2 พลตรีณัฏฐ์ ศรีอินทร์ ที่ว่าไม่มีการรบใดไม่จบด้วยการเจรจา โจทย์ของเราในวันนี้ เพื่อนำไปสู่ฉากจบด้วยการเจรจา จึงมีดังนี้ (1) การใช้กำลังทางการทหารเพื่อดูแลปกป้องอธิปไตย ต้องเป็นไปตามกฎหมายระหว่างประเทศ กฎการใช้กำลัง และการตอบโต้อย่างได้สัดส่วน เพื่อหยุดยั้งการคุกคามของกัมพูชา (2) การดำเนินการทุกอย่างด้วยความระมัดระวัง ไม่ปฏิบัติการเกินหลักสากลจนประเทศไทยเพลี่ยงพล้ำไปตกหลุมพรางฮุน เซน ว่าเราเป็นฝ่ายรุกราน (3) ใช้การทูตกดดันกัมพูชากลับเข้าสู่การเจรจา โดยร่วมมือกับนานาชาติ ใช้กลไกระหว่างประเทศให้เกิดประโยชน์กับไทยมากที่สุด โดยใช้เรื่องสแกมเมอร์เป็นธงนำ ดึงความร่วมมือจากชาติมหาอำนาจและทุกประเทศทั่วโลกในการอยู่ข้างประเทศไทย ชนะระบอบฮุนเซนด้วยการปราบปรามสแกมเมอร์และการฟอกเงิน ชี้ปัญหาที่แท้จริงคือสแกมเมอร์ ณัฐพงษ์ตั้งข้อสังเกตว่าจุดเริ่มต้นของปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชา รวมถึงสาเหตุการปะทะครั้งที่แล้วและครั้งนี้ ล้วนเกิดจากสาเหตุเดียวกัน คือความพยายามในการปกป้องเครือข่ายสแกมเมอร์ที่หล่อเลี้ยงระบอบฮุน เซน การปะทะครั้งล่าสุดก็เกิดขึ้นหลังจากการอายัดทรัพย์เบน สมิธ, ยิม เลียก, ก๊ก อาน, เฉินจื้อ ที่ปรึกษาคนสนิทของฮุน เซน ที่ดูแลอาณาจักรกาสิโนและสแกมเมอร์ทั้งในกัมพูชาและต่างประเทศ ด้วยเหตุนี้ จึงขอให้รัฐบาลพิจารณาให้ดีว่าการปะทะกันครั้งนี้ เป็นเพียงแผนการเบี่ยงประเด็นของฮุน เซนหรือไม่ และเหตุที่รัฐบาลทุ่มเทกับการสู้รบอย่างเต็มที่ กำลังกลายเป็นการเดินตามแผนการของฮุน เซน ที่ต้องการพลิกสถานการณ์จากที่โลกกำลังล้อมกัมพูชาด้วยประเด็นสแกมเมอร์ เป็นให้โลกมาล้อมไทยด้วยข้อหารุกรานประเทศที่อ่อนแอกว่าหรือไม่ หากรัฐบาลต้องการคะแนนนิยม การไปตามกระแสชาตินิยม รบให้สุดซอยก็ตอบโจทย์นั้น แต่หากเรามีเป้าหมายร่วมกันว่าต้องพยายามทุกวิถีทางเพื่อไปให้ถึงสันติภาพและความมั่นคงที่ถาวรและยั่งยืน เพื่อปกป้องประชาชนไทยตลอดแนวชายแดนไทยกัมพูชา และเพื่อปกป้องชีวิตและขาของทหารทุกนายไม่ให้ต้องสูญเสียไปจากการรบที่ถูกปลุกปั่นโดยเป้าประสงค์ทางการเมืองของฮุน เซน วิธีออกจากปัญหานี้ย่อมไม่ใช่เพียงการใช้ปฏิบัติการทางทหาร แต่คือการใช้ทั้ง 3 แนวรบที่ตนได้นำเสนอไปก่อนหน้านี้ และจะขออธิบายเพิ่มเติมอีกครั้งในวันนี้ ข้อเสนอแนะ (1) แนวรบทางการทหาร ตนยืนยันว่าการใช้กำลังทหารต้องเป็นวิธีการสุดท้าย (last resort) เมื่อเครื่องมืออื่นๆ ถูกใช้ไปจนหมดแล้วไม่ได้ผล และหากมีเหตุให้เกิดขึ้น ต้องดำเนินไปภายใต้กฎกติกาสากลและแนวปฏิบัติที่เป็นที่ยอมรับระหว่างประเทศ เพื่อปกป้องไทยไม่ให้ตกอยู่ในฐานะผู้รุกราน รังแกประเทศที่อ่อนแอกว่า ซึ่งเป็นประเด็นที่กัมพูชาใช้โจมตีไทยมาโดยตลอด จากสถานการณ์ขณะนี้ ซึ่งกัมพูชาใช้อาวุธหนักโจมตีตอบโต้ไทย รัฐบาลควรตัดสินใจทางการทหารโดยยึดหลักป้องกันตนเองและตอบโต้อย่างได้สัดส่วน เพื่อให้เป็นไปตามหลักสากลว่าเราใช้ปฏิบัติการทางทหารเพื่อจัดการภัยคุกคามเฉพาะหน้า ไม่ใช่เพื่อรุกราน ตนขอให้รัฐบาลคำนึงถึงการจำกัดขอบเขตการรบ กฎการตอบโต้อย่างได้สัดส่วนเหมาะสม โดยมุ่งเน้นการลดระดับความตึงเครียดทางการทหาร (de-escalation) ผ่านการใช้แนวรบที่ 2 คือแนวการทูตควบคู่กับการทหาร (2) แนวรบด้านข่าวสารและการทูต ท่าทีของนายกรัฐมนตรีเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อประเทศไทย นั่นคือการบอกว่าไม่มีการเจรจาสันติภาพอีกต่อไป เพราะแม้แต่รองแม่ทัพภาค 2 ยังเคยยืนยันว่าไม่มีการรบใดไม่จบลงที่โต๊ะเจรจา ในทางกลับกัน การรบเป็นส่วนหนึ่งของการกดดันให้กัมพูชาซึ่งไม่ให้ความร่วมมือ ฝ่าฝืนข้อตกลง ยอมกลับมาร่วมการเจรจาและทำตามข้อตกลงสันติภาพที่ได้มีการลงนามกันไว้แล้ว แต่อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี กลับเป็นฝ่ายปฏิเสธการเจรจา ซึ่งทำให้ไทยกำลังเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เป็นผู้กระทำผิดในสายตาประชาคมโลก ซึ่งคนที่ได้ประโยชน์สูงสุดคือระบอบฮุนเซน ในขณะที่การรบดำเนินอยู่ รัฐบาลต้องตระหนักว่าเป้าหมายของการรบคือการป้องกันตนเองและบังคับให้กัมพูชากลับมาทำตามข้อตกลงสันติภาพกัวลาลัมเปอร์ โดยครั้งนี้ต้องมีการปรับการทำงานของ AOT หรือ ASEAN Observer Team ให้ทำงานได้อย่างเต็มที่และมีความหมาย เป็นคนกลางที่ทำหน้าที่ตรวจสอบการฝ่าฝืนข้อตกลงสันติภาพที่ได้รับการยอมรับจากประชาคมโลก ซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญในการป้องกันการกลับมาปะทะกันซ้ำอีกในอนาคต นอกจากนี้ รัฐบาลยังควรเดินหน้ากดดันกัมพูชาในเวที Ottava Convention เช่นที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว เพิ่งดำเนินการไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา (3) แนวรบปราบสแกมเมอร์ รัฐบาลต้องเปิดแนวรบโลกล้อมกัมพูชาด้วยการปราบสแกมเมอร์ โดยเดินหน้าสุดซอยในการขุดรากถอนโคนขบวนการสแกมเมอร์ ซึ่งเป็นหัวใจของระบอบฮุน เซน กระทรวงการต่างประเทศต้องดำเนินแผนการประสานความร่วมมือกับแต่ละประเทศในการจัดการสแกมเมอร์ให้สิ้นซาก โดยใช้การประชุมนานาชาติว่าด้วยการปราบปรามสแกมเมอร์ที่จะมีขึ้นในวันที่ 17-18 ธันวาคมนี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ผลักดันบทบาทไทยให้เป็นเจ้าภาพหลักในเรื่องนี้ และประสานความร่วมมือกับนานาชาติให้ได้ ดังที่พรรคประชาชนและภาคประชาสังคมได้นำเสนอแนวทางเรื่องนี้ในช่วงที่ผ่านมา นอกจากนี้ รัฐบาลยังต้องสั่งการให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ป.ป.ง.) เดินหน้าอายัดทรัพย์บุคคลไทยที่เกี่ยวข้องกับขบวนการสแกมเมอร์ ไม่ใช่ตัดตอนแค่ชาวต่างชาติอย่างเบน สมิธ เฉินจื้อ ก๊ก อาน และยิม เลียก หากรัฐบาลไม่จริงจังในเรื่องนี้ การให้กระทรวงการต่างประเทศประสานความร่วมมือกับนานาชาติในฐานะเจ้าภาพ ก็จะกลายเป็นเพียงปาหี่ตบตาชาวโลก ประเทศไทยจะกลายเป็นตัวตลกในสายตานานาชาติ การยึดหลักการเช่นนี้ ไม่เพียงจะนำไปสู่การจบปัญหาในระยะยาว แต่ยังจะทำให้ไทยไม่เสียเปรียบในเวทีโลก สามารถตอบโต้ฮุน เซน ได้อย่างเหนือกว่าทั้งในระดับแนวรบการทหาร การข่าว การทูต และสุดท้าย ตนย้ำว่ารัฐบาลไทยต้องตั้งหลักให้มั่นว่าแนวรบที่สำคัญในตอนนี้คือการทูตควบคู่การทหาร มุ่งเป้ากดดันกัมพูชากลับสู่การเจรจา โดยใช้การปราบสแกมเมอร์เป็นหัวใจในการดำเนินการ “หยุดเดินอ้อม ต้องพุ่งตรงเข้าสู่แกนกลางของปัญหา คือการเดินหน้าจัดการสแกมเมอร์สุดซอย เราจะต้องพลิกวิกฤตการณ์ครั้งนี้เป็นโอกาสในการกวาดล้างกลุ่มชนชั้นนำที่หากินบนความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน หยุดการสร้างสงครามเพื่อกลบเกลื่อนอาชญากรรมที่ตัวเองก่อ ใช้เลือดเนื้อชีวิตของทหารและประชาชนเป็นตัวประกัน” * ข่าว * การเมือง * ความมั่นคง * กรณีพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา * ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ
dlvr.it
December 9, 2025 at 12:42 PM
มหาอุทกภัยใต้ ‘68: ถึงเวลาขยับจาก 'ถอดบทเรียน' สู่การเปลี่ยนแปลงจริง
มหาอุทกภัยใต้ ‘68: ถึงเวลาขยับจาก 'ถอดบทเรียน' สู่การเปลี่ยนแปลงจริง
มหาอุทกภัยใต้ ‘68: ถึงเวลาขยับจาก 'ถอดบทเรียน' สู่การเปลี่ยนแปลงจริง วราริน แซ่ตั้ง รายงาน auser15 Tue, 2025-12-09 - 18:52 ผู้เชี่ยวชาญภัยพิบัติ วิเคราะห์มหาอุทกภัยใต้ 9 จังหวัด เสียหาย 2 หมื่นล้าน ชี้ท้องถิ่นไม่มีระบบวิเคราะห์ข้อมูล ขาดศูนย์บัญชาการกลาง ระบุไม่ต้องถอดบทเรียนอีก ความรู้มีอยู่แล้ว แต่รัฐไม่นำไปใช้เพราะชนโครงสร้างงบประมาณ น้ำท่วมภาคใต้ 9 จังหวัดรอบนี้ มีผู้เสียชีวิตไปแล้วอย่างน้อย 267 คน เฉพาะที่ อ.หาดใหญ่ 142 คน ประชาชนได้รับผลกระทบราว 1,200,000 ครัวเรือน หรือ 3,500,000 คน มูลค่าความเสียหาย 20,000 ล้าน ไม่รวมความเสียหายที่คิดเป็นเงินไม่ได้ ซึ่งไม่รู้จะว่ากอบกู้คืนมาได้หรือไม่  ในอุทกภัยครั้งนี้ ประเด็นที่สาธารณชนพูดถึงดูเหมือนจะมี 3 ประเด็นหลักๆ ได้แก่  เรื่องแรก ข้าราชการการเมืองทั้งในระดับส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น ถูกวิจารณ์ถ้วนหน้า รัฐบาลอนุทินถูกวิจารณ์ว่าตอบสนองล่าช้า ดำเนินการไม่เป็นระบบ ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลาถูกสั่งย้าย ผู้นำท้องถิ่นถูกขุดคำพูดช่วงหาเสียงเกี่ยวกับการรับมืออุทกภัยมาเปรียบเทียบกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น จนเจ้าตัวประกาศว่าขอไม่เล่นการเมืองอีกตลอดชีวิต ข้าราชการประจำก็ใช่ว่าจะรอดพ้นจากการถูกวิจารณ์ ท่ามกลางวิกฤติศรัทธาและการทวงถามความรับผิดชอบทางการเมือง คำพูดถึงที่ถูกกล่าวถึงอย่างหนาหูคือคำว่า "ระบบล่มสลาย"   ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์เหล่านี้ ภาคประชาสังคมและภาคเอกชนต้องมาแบกรับความล้มเหลวของรัฐ มีการตั้งวอร์รูมภาคประชาชน และภาคเอกชน เพื่อช่วยเหลือในด้านการฟื้นฟูอย่างเป็นระบบ ภายใต้ทรัพยากรที่จำกัด จากการหั่นงบประมาณช่วยเหลือระหว่างประเทศในระดับโลก และถูกจ้องขัดขาด้วยความพยายามในการออกกฎหมายควบคุมองค์กรประชาสังคม ขณะที่รัฐบาลมีทรัพยากรเหลือเฟือ แต่กลับขาดความสามารถในการตอบสนอง วงศ์พันธ์ อมรินทร์เทวา บรรณาธิการ 101 สรุปอย่างกระชับว่าประชาชนและเอกชนมีประสิทธิภาพ แต่ไม่มีทรัพยากร ขณะที่รัฐบาลมีทรัพยากร แต่ไม่มีประสิทธิภาพ  สาธารณชนก็มีข้อเรียกร้องหลายอย่างที่อยากให้ภาครัฐนำไปทำ ไม่ว่าจะเป็นการตั้งศูนย์บัญชาการกลางอย่างทันท่วงที การกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นเพิ่มขึ้น การปรับโครงสร้างงบประมาณ และการปรับปรุงระบบแจ้งข้อมูลข่าวสาร อย่างไรก็ตาม ยังมีคำถามอยู่ว่าข้อเรียกร้องเหล่านี้สอดคล้องกับความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการบริหารจัดการภัยพิบัติมากน้อยเพียงใด ขาดตกบกพร่องในประเด็นใดหรือไม่ และจะข้อเสนอเหล่านี้มาปะติดปะต่อ จัดลำดับความสำคัญ และพัฒนาเป็นแผนบูรณาการได้อย่างไร เรื่องต่อมาคือความโกลาหลหน้างาน ที่พูดถึงกันมากที่สุดน่าจะเป็นเรื่องการยิงปืนไล่หลัง หรือการยิงปืนเพื่อเรียกอาสาสมัคร และข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการเรียกเก็บค่าผ่านทางในเขต 8 ของหาดใหญ่ รวมถึงการปล้นสะดม สาธารณชนบางส่วนเริ่มพยายามอธิบายปรากฎการณ์เหล่านี้โดยพูดถึงปัจจัยด้านวัฒนธรรม และแสดงทัศนะบนพื้นฐานของความไม่ไว้วางใจ แน่นอนว่าผู้ตั้งข้อเกตเหล่านี้คงไม่ได้มีเจตนาตัดสิน แต่กลับกลายเป็นว่า บทสนทนาเริ่มจะกลายเป็นการวิพากษ์วิจารณ์บนพื้นฐานของอัตลักษณ์ ซึ่งขัดต่อหลักการของสิทธิมนุษยชน คำถามจึงมีอยู่ว่าเราควรอภิปรายและรับมือกับปัญหาที่เกิดขึ้นบนหลักการสิทธิมนุษยชนอย่างไร  เรื่องสุดท้ายคือ ในพื้นที่สื่อมีการนำเสนอ 'การถอดบทเรียน' โดยนักวิชาการ ภาคประชาสังคม และหน่วยงานภาครัฐ และมีการพูดถึงตัวแบบที่น่าเอาเยี่ยงอย่าง ไม่ว่าจะเป็น มาเลเซีย เนเธอร์แลนด์ อังกฤษ ฟินแลนด์ และญี่ปุ่น ทั้งในแง่การวางระบบ การรับมือ การฟื้นฟู แน่นอนว่าเนื้อหาเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของการวิพากษ์วิจารณ์อย่างสร้างสรรค์ เพราะไม่ได้เพียงมุ่งชี้ข้อเสียและแต่เสนอทางออกให้ด้วย แต่ในบทสนทนาเหล่านี้ก็ทำให้เกิดคำถามว่าแล้วจะจับต้นชนปลายความเป็นจริงของไทยกับตัวแบบเหล่านี้อย่างไร ติดขัดตรงไหน และประเทศไทยจะดำเนินการปรับปรุงโดยใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่มีอยู่แล้วอย่างไรในทางปฏิบัติ  เพื่อตอบคำถามเหล่านี้ ความเห็นของ ดร. นาอีม แลนิ ผู้ก่อตั้งบริษัทวิจัยนโยบายสาธารณะ Policy Alive ซึ่งเชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการน้ำและการบริหารจัดการภัยพิบัติ และมีภูมิลำเนาครอบครัวอยู่ในนราธิวาสซึ่งเป็นหนึ่งในจังหวัดที่ประสบเหตุอุทกภัย น่าจะช่วยให้คำตอบได้ในระดับหนึ่ง ประเด็นจากการพูดคุยสรุปออกมาได้เป็น 3 ประเด็นหลักๆ มุ่งเน้นไปที่การบริหารจัดการ ซึ่งเป็นมิติที่ขาดหายไปในมหาอุทกภัยครั้งนี้ ประการแรก ท้องถิ่นจะต้องมีระบบวิเคราะห์ข้อมูลที่แข็งแรง ประการที่สอง ภาครัฐจะต้องตั้งศูนย์บริหารจัดการภัยพิบัติอย่างทันท่วงที ซึ่งกรอบกฎหมายหรือ โครงสร้าง ในปัจจุบันสามารถทำได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาอำนาจพิเศษ องค์ความรู้ หรือโมเดลใหม่ใดๆ จากนั้นจึงค่อยมาคุยกันในประเด็นสุดท้าย คือรัฐจะต้องสร้างระบบที่รับมือกับภัยพิบัติได้ โดยไม่พึ่งพาตัวบุคคล ทุกอย่างเริ่มที่ข้อมูล หากติดตามการนำเสนอข่าว คำพูดที่คนในพื้นที่มักสะท้อนกันอยู่เนืองๆ ก็คือปกติแล้วทุกฤดูฝน คนในพื้นที่จะฟังจากเทศบาลเป็นหลัก มีระบบแจ้งประกาศ แบ่งเป็นระดับธงเขียว ธงเหลือง ธงแดง แต่ในมหาอุทกภัยครั้งนี้ ท้องถิ่นกลับบอกว่าเอาอยู่ สวนทางกับการแจ้งเตือนของส่วนกลาง ในสายตาของผู้เชี่ยวชาญ นี่เป็นปัญหาแรกที่จะต้องทำการแก้ไข "หนึ่งคุณต้องใช้วิทยาศาสตร์ในการบริหารจัดการจริงๆ สองคือคุณต้องมีระบบบริหารจัดการถึงจะทำเรื่องพวกนี้ได้" ดร. นาอีม กล่าว "สิ่งที่ขาด ถ้าเรามุ่งเป้าไปเลยคือในระดับท้องถิ่น สิ่งที่เกิดขึ้นคือมันไม่มีการวิเคราะห์ข้อมูลเกิดขึ้น ก็คือมันไม่สามารถประมวลผลเหตุการณ์ปัจจุบันและตัดสินใจได้ คือเราเอาข้อมูลทั้งหมดมาประมวลผล แล้วตัดสินใจว่าเราจะทำอะไร"  "น้ำท่วมครั้งนี้ ฝนมัน 7 วัน ซึ่งเรามีข้อมูลของกรมอุตุอยู่แล้ว 7 วัน ข้อมูลนี้ไม่พอ มันต้องเอาข้อมูลน้ำในทะเลด้วย น้ำในทะเลสาบด้วย คือต้องเอาข้อมูลอย่างน้อย3-4 แหล่งข้อมูลหน่วยงาน มาวิเคราะห์ร่วมกัน ก็คือต้องมีการวิเคราะห์ข้อมูลในท้องถิ่น เพราะว่าเขารู้พื้นที่มากที่สุด เพราะว่าน้ำท่วม ถึงแม้ฝนตกเหมือนกัน น้ำท่วมไม่เหมือนกัน เพราะว่าการระบายไม่เหมือนกัน  “น้ำมันหลอกไม่ได้ มันไหลมันก็คือไหล มันท่วมมันก็คือท่วม มันไม่สามารถใช้สัญชาติญาณหรือคิดคะเนเอง คิดไปเองได้ แค่นี้เลย คุณไม่สามารถบอกผมได้ว่าไม่ท่วมมั้ง ไม่รู้สึกว่าท่วม ผิด ปีที่แล้วก็ไม่ท่วมหนิ ปีนี้ก็น่าจะเอาอยู่ ผิด คือคุณบริหารการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ โดยไม่ใช้ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์เลยในการบริหาร ซึ่งก็อย่างที่บอกไป เราไม่ได้บริหารโดยใช้ข้อมูลจริงๆ ในการบริหาร มันก็เลยไม่สามารถบริหารจัดการน้ำได้ทั้งระบบ  "ข้อมูลต้องมาจากท้องถิ่น เพราะว่าจริงๆ การดูน้ำ ในท้ายทีี่สุด มันต้องลงพื้นที่ไปดู เราไม่ได้มีข้อมูลทั้งหมดที่จะมาประเมินได้ ข้อมูลที่ท้ายที่สุดแล้วคนก็ลืมก็คือข้อมูลน้ำฝน ซึ่งโมเดลของกรมอุตุมันพยากรณ์ได้ประมาณ 7 วัน อันนั้นค่อนข้างคุณภาพสูงแล้วนะ แต่ความบ้งของมันก็คือว่า มันก็จะบอกคุณว่า ฝนตกอีก 3 วัน 600 มม. คุณจะรู้ได้ยังไงล่ะ ผมยังไม่รู้เลย  "แต่กรมอุตุก็มีหน้าที่แค่นี้ เราก็บอกว่าฝนตกเท่าไหร่ 600 มม. แล้วมันมีวันนึงมั้งที่หาดใหญ่พุ่งสูงถึง 1000 ซึ่งมันไม่[เคย]มีนะ แล้วกรุงเทพรับได้แค่ 60 มม. นะคุณ เกิน 60 มม. พัง แล้วก็นราธิวาสที่พุ่งสูงที่สุดในประเทศก็ประมาณ 600 ข้อมูลพวกนี้ ถ้าท้องถิ่นไม่รู้ มันก็บริหารจัดการสถานการณ์ไม่ได้  การสร้างทีมวิเคราะห์ข้อมูลในระดับท้องถิ่น ในเชิงแนวคิดแล้วเป็นส่วนหนึ่งของระบบสนับสนุนการตัดสินใจ (decision support system หรือ dss) คือ "ต้องประเมินสถานการณ์ แล้วก็ต้องแนะนำว่า ต้องดำเนินการแบบไหน ซึ่งกระบวนการพวกนี้ถ้าไม่เกิดในระดับท้องถิ่น มันจะมารอส่วนกลางทำให้ไม่ได้ ต้องเกิดในระดับท้องถิ่น ส่วนกลางก็มีหน้าที่แค่ให้ข้อมูล "ต้องเป็นแผนออกมา มีทรัพยากรออกมาว่า ทำอะไรได้บ้าง ทำอะไรไม่ได้บ้าง ซึ่งตรงนี้สามารถใช้ ai มาประมวลผลได้ … ต้องมีกรอบระยะเวลา ต้องมีการทำฉากทัศน์ แล้วกระบวนการพวกนี้ต้องอยู่ในกระบวนการวางแผนทั้งหมด ท้องถิ่นต้องทำให้เกิดขึ้น ประเมินผล ประมวลผล ท้องถิ่นต้องทำให้เกิดขึ้นให้ได้ เอกสารของเทศบาลนครหาดใหญ่ระบุว่างบประมาณในปี 2569 ซึ่งเริ่มประกาศใช้ตั้งแต่ 1 ต.ค. ที่ผ่านมา มีงบประมาณสำหรับโครงการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัย เพียง 300,000 บาท ใช้สำหรับ "ค่าใช้จ่ายในพิธีเปิด-ปิด ค่าอาหารว่างและเครื่องดื่ม ค่าวัสดุอุปกรณ์ ค่าจ้างเหมาบริการ ค่าชุดปฏิบัติงานสำหรับเจ้าหน้าที่และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง" โดย "เป็นไปตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการเบิกค่าใช้จ่ายในการจัดงาน การจัดกิจกรรมสาธารณะ การส่งเสริมกีฬาและการแข่งขันกีฬาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2564” งบประมาณนี้เป็นส่วนหนึ่งของงบงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รวม 20,286,800 บาท อยู่ใต้งบแผนงานรักษาความสงบภายในของสำนักปลัดเทศบาล 34,585,400 บาท จากงบประมาณรายจ่ายของเทศบาลนครหาดใหญ่ทั้งหมดกว่า 2,003,500,000 บาท เมื่อ พ.ค. ที่ผ่านมา เนชั่นทีวีระบุว่าก่อนที่ ร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 จะเข้าสู่ที่ประชุมสภาสมัยวิสามัญฯ เทศบาลนครหาดใหญ่เป็นอันดับ 1 จาก 10 เทศบาลนครที่ได้รับจัดสรรงบประมาณสูงสุด  นอกจากปัญหาที่ส่วนหนึ่งดูเหมือนจะมาการจัดสรรงบประมาณของท้องถิ่น อีกปัญหาหนึ่งอาจเป็นเรื่องความกระจัดกระจายของงบประมาณ สำนักงานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจังหวัดสงขลา ระบุว่าในจังหวัดมีองค์การบริหารส่วนจังหวัด 1 แห่ง เทศบาลนคร2 แห่ง เทศบาลเมือง 11 แห่ง เทศบาลตำบล 35 แห่ง องค์การบริหารส่วนตำบล 92 แห่ง ซึ่งต่างมีงบประมาณป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเป็นของตัวเอง ไม่รวมว่างบประมาณป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยอีกก้อนหนึ่งไปอยู่ที่ระบบราชการส่วนภูมิภาคซึ่งบัญชาการผ่านผู้ว่าราชการและนายอำเภอ และส่วนกลางที่บัญชาการโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย   แน่นอนว่าระบบการปกครองจังหวัดยังคงต่างจากกรุงเทพมหานครที่ได้งบเป็นก้อนกว่า มีอิสระในการตัดสินใจสูงกว่า และมีเลือกตั้งผู้ว่าราชการของตัวเอง  เมื่อ เม.ย. ที่ผ่านมา ผู้จัดการออนไลน์รายงานว่า "มหาดไทย ปรับปรุงงบฯ 69 วงเงิน 301,264 ล้านบาท พบ 2 กรมใหญ่ ขอปรับเพิ่มแผนบริหารจัดการภัยพิบัติ ยธ. [กรมโยธาธิการ] เพิ่ม 1,676.9 ล้าน ปภ.  [กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย] ขอเพิ่ม 470.7 ล้าน ส่วนนโยบายเก่าเมืองน่าอยู่อัจฉริยะปรับลดลง 1,849 ล้าน แผนบูรณาการน้ำ ปรับลดลง 1,109 ล้าน ส่วนแผนกระจายอำนาจให้ อปท. [องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น] พบ สถ. [สำนักงานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ] ขอตั้งงบฯ เพิ่มมหาศาล 3,598.9 ล้าน รวมเฉพาะงบกระจายอำนาจท้องถิ่น ปี 69 มีถึง 176,869.5 ล้าน"  แม้จะมีการอ้างว่ากระทรวงมหาดไทยกระจายอำนาจผ่านงบประมาณมากขึ้น ควรตั้งข้อสังเกตว่ากระทรวงมหาดไทยยังคงมีอิทธิพลในการกำกับดูแลองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอย่างมากในหลายด้าน และรัฐราชการรวมศูนย์ก็เคยถูกวิพากษ์วิจารณ์โดยนักวิชาการว่าเป็นอุปสรรคของการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม  "เสริมหน่อยก็คือว่า ตอนที่เกิดน้ำท่วม 53 ที่หาดใหญ่ ท้องถิ่นของหาดใหญ่เข้มแข็งขึ้น นายกเทศมนตรีเข้ามา ท้องถิ่นเองแล้วก็ตัวเทศบาลเองมีความเข้มแข็งมาก ในการทำเรื่องสมาร์ทซิตี้ เนื่องจากหลายปัจจัยด้วย ดร. นาอีม กล่าว "ตอนนั้นมีโครงการระหว่างประเทศเข้ามาด้วย ซึ่งไม่มีคนพูดถึงเท่าไหร่ในสื่อ ก็คือโครงการเครือข่ายเมืองในเอเชียเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ [ACCCRN] ของมูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์จับมือกับหาดใหญ่ มีอาจารย์ที่ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ แล้วก็มีภาคของเทศบาล ของผู้นำ มีนายกเทศมนตรี มาทำงานร่วมกัน หลังจากนั้นรู้สึกว่า การจัดการการปกครองท้องถิ่นของหาดใหญ่เข้มแข็ง แต่ด้วยเวลาที่ผ่านไป เหมือนการเมืองมันทำให้ ระบบมันย้อนกลับ อะไรที่มันเคยทำมา ก่อนหน้านี้มันล้มเหลวหมด  ความเข้าใจผิดเรื่องระบบบัญชาการ  ไม่ว่าจะมีข้อมูล งบประมาณ หรือทรัพยากรอื่นๆ มากเพียงใด ก็คงสูญเปล่าหากไม่มีศูนย์บัญชาการ หรือภาษาบ้านๆ คือ "เจ้าภาพ" คอยทำหน้าที่ตัดสินใจ นำทรัพยากรเหล่านี้มาบริหารจัดการภัยพิบัติ แบ่งหน้าที่ และกระจายคนตามความเชี่ยวชาญอย่างเป็นระบบ เมื่อไม่มีเจ้าภาพ สิ่งที่ตามมาระบบการตัดสินใจแบบ "ออแกนิก" หรือ "ตามยถากรรม" ตามคำกล่าวของสมบัติ บุญงามอนงค์ ประธานมูลนิธิกระจกเงาซึ่งมีบทบาทสำคัญในการตั้งวอร์รูมภาคประชาชน "ถ้าท้องถิ่นรู้ ท้องถิ่นสามารถประเมินสถานการณ์ได้ คือท้องถิ่นสามารถตั้งศูนย์อำนวยการเขตในระดับท้องถิ่นได้ เราเสนอว่าถ้ามันเกิดขึ้นอีก ตั้งแต่ 7 วัน ท้องถิ่นตั้งศูนย์ช่วยเหลือน้ำท่วมอุทกภัยเลย" ดร. นาอีม กล่าว "พอเราพูดถึงระบบบัญชาการกลาง [single command] ในการบริหารจัดการภัย เราพูดถึงระบบบัญชาการเหตุฉุกเฉิน (Incident Command System: ICS) ซึ่งมันทำได้หลายระดับ มันทำระดับของสนามบินยังได้เลย มันทำระดับของท้องถิ่นก็ได้ และมันสามารถขยายได้ถ้าภัยมันเกิดขึ้นใหญ่ขึ้น และมันก็สามารถหดตัวแล้วก็หายไปได้ ระบบบัญชาการเหตุฉุกเฉินถูกบรรจุอยู่ใน พ.ร.บ. ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยอยู่แล้ว แต่รัฐบาลหน่วยงานกลางไม่มีความเข้าใจที่จะใช้ระบบตรงนี้  "ท้องถิ่นต้องประเมินตัวเองก่อน ส่วนถ้ามันเกิดภัยพิบัติขึ้นมาแล้ว ก็ต้องดูว่าภัยพิบัติความรุนแรงมันรุนแรงระดับไหน ถ้ามันรุนแรงในระดับประเทศ ภูมิภาค ก็ต้องดูว่าเราต้องใช้ทรัพยากรเท่าไหร่ในการบริหาร อันนี้มันเกินความสามารถของท้องถิ่น ก็ต้องดูว่าไปถึงนายกรัฐมนตรีไหม ถ้าไปถึงนายกรัฐมนตรี หน้าที่ของอนุทินก็คือว่า เราก็ต้องป้องกันภัยพิบัติไม่ให้เป็นหายนะ … แล้วมันก็ไม่พอนะ มันไม่ใช่แค่ลดไม่ให้เกิดหายนะ แต่เราให้ภัยพิบัติฟื้นฟูเร็วที่สุด เพื่อกลับไปสู่สภาวะปกติ  ระบบบัญชาการฉุกเฉิน "มันต้องมีสถานที่ มันต้องมีวอร์รูม" หรืออาจ "ต้องมีอาสาสมัครมานั่งรวมกัน" โดยระบบนี้มีหน้าที่สั่งการภารกิจเฉพาะทาง เพื่อตอบสนองต่อสถานการณ์ภัยพิบัติ ซึ่งระบบหน่วยงานในสถานการณ์ปกติ (เช่น จวนผู้ว่า โรงเรียน และโรงพยาบาล) ไม่ได้รองรับ ในภาษาอังกฤษเรียกระบบบัญชาการฉุกเฉินว่ามีลักษณะเป็น "ฟังก์ชั่นเบส (function-based)”  ระบบลักษณะนี้ "ไม่มีใครเข้าใจ แล้วจังหวัดตั้งขึ้นมาแค่ในกระดาษ ก็เซ็น แต่ไม่มีเนื้อในของการบริหาร" อ. ดร. นาอีมให้ความเห็น เพื่อให้ศูนย์บัญชาการเป็นรูปธรรมขึ้น "ผู้ว่าก็ต้องตั้งฝ่ายขึ้นมา" โดย "ฝ่ายแรกที่สำคัญในช่วงน้ำท่วมคือโลจิสติกส์ แล้วก็การบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน พวกการขนส่งและเดินทาง"  ในส่วนนี้ กรณีที่สะท้อนให้เห็นถึงระบบบริหารจัดการที่ขาดไปได้ชัดที่สุด คงไม่พ้นปัญหาเรื่องหน่วยเรือกู้ภัยที่รวมกลุ่มกระจัดกระจาย ไม่รู้จะไปช่วยตรงส่วนไหนในช่วงที่ผ่านมา แม้แต่รองนายกรัฐมนตรี ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า เองก็เล็งเห็นปัญหานี้อย่างชัดเจน จนอดหัวร้อนไม่ได้ขณะปฏิบัติภารกิจหน้างาน    "สองคือศูนย์ข้อมูลการสื่อสารในภาวะวิกฤติ" ผู้เชี่ยวชาญกล่าวต่อ ขอเสริมว่า เมื่อพูดถึงการสื่อสารในครั้งนี้ จะพบว่ามีทั้งกรณีที่ทางการบอกว่าข่าวแจ้งเตือนน้ำท่วมเป็นข่าวปลอม แต่กลับเป็นน้ำท่วมจริงในเวลาต่อมา ไม่รวมปัญหาของการสร้างเนื้อหาจาก AI มิจฉาชีพ และลามมาถึงปัญหาไอโอที่การทำลายความน่าเชื่อถือของนักการเมืองที่เข้าไปช่วยเหลือ ดร. นาอีมเห็นว่า "ในช่วงภัยพิบัติ [ข้อมูลบิดเบือน] ควรผิดกฎหมาย … มันทำให้คนสับสน"  เรื่องนี้เป็นปัญหาที่ใหญ่กว่าการสร้างความรู้เท่าทันสื่อให้กับผู้บริโภคข้อมูลข่าวสาร แต่เป็นปัญหาของการสร้างระบบบริหารจัดการข้อมูลข่าวสารด้วย กล่าวคือ ขาดระบบการวิเคราะห์ข้อมูลที่แข็งแรงในระดับท้องถิ่น ขาดระบบสนับสนุนการตัดสินใจ และขาดการประสานงานกับเจ้าภาพหลักที่จะคอยทำหน้าที่สื่อสารกับประชาชนอย่างแม่นยำและจัดการกับข้อมูลบิดเบือน ซึ่งถกเถียงได้ว่าไม่มี “สามคือเรื่องหน่วยแพทย์ สี่คือสังคมสงเคราะห์ ดูแลผู้สูงอายุ ดูแลคนพิการ ศพตายกี่ศพ เรื่องจิตวิทยา มันต้องตั้งศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินแบบนี้ ฝั่งทหาร ฝั่งอะไรก็ว่าไป ศูนย์นี้จะต้องอยู่จนกว่าภัยพิบัติจะหาย แล้วกลับคืนสู่สภาวะปกติ ถ้าศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินในประเทศไม่พอ ก็ขยายระดับได้ ระดับนานาชาติก็ได้ แต่คุณต้องมีองค์กรตรงนี้" ดร. นาอีม กล่าวย้ำ  "อีกเรื่องนึงคือเรื่องการบังคับให้คนอพยพ" ดร. นาอีม กล่าว "ระบบการอพยพที่ดีก็คือต้องบังคับให้คนออกมา … เราต้องมีระบบการอพยพที่ดีเหมือนต่างประเทศ ถ้าไม่อพยพผิดกฎหมาย ถ้าไม่อพยพประกันไม่จ่าย ถ้าอยู่ในประเทศมาเลเซียหรือญี่ปุ่น รัฐบาลสั่งอะไร คนก็ทำตามหมด ก็จะลดความสูญเสียได้" "ถ้าสมมติคุณว่าระบบนี้มันต้องมีการจัดการอพยพคน มันจะไม่ใช่แค่คุณเขียนแผนว่ามันจะต้องมีการอพยพ คุณต้องไปกำหนดว่า จะไปอพยพตรงไหน ต้องมีการฝึกซ้อม ต้องมีขั้นตอนการปฏิบัติงานที่เป็นมาตรฐาน (standard operating procedure หรือ sop) ในการบริหาร  "อย่างญี่ปุ่นมันมีขั้นตอนการปฏิบัติงานที่เป็นมาตรฐานในการบริหารทุกเรื่อง พอมีขั้นตอนการปฏิบัติงานที่เป็นมาตรฐาน มันคือการมีคู่มือแนวทางให้คนทำ โดยที่คุณไม่ต้องรู้ทุกเรื่องก็ได้ แต่ถ้าคุณมาอยู่ในตำแหน่งนี้ คุณก็สามารถทำได้ มันต้องไปถึงระดับนั้น อีกส่วนที่ "สำคัญมากในตัวศูนย์ปฏิบัติการภัยพิบัติคือการบริหารจัดการอาสาสมัคร มันจะมีประเด็นหลายอย่าง มีประเด็นความปลอดภัยของอาสาสมัครด้วย" เรื่องนี้นอกจากจะเกี่ยวกับเรื่องการบริหารจัดการกำลังคนในส่วนอื่นๆ แล้ว คงหนีไม่พ้นประเด็นสำคัญเกี่ยวกับความตึงเครียดระหว่างอาสาสมัครกับประชาชนในเขต 8  ดร. นาอีม พูดถึงกรณีนี้ว่ายังไม่รู้รายละเอียดที่เกิดขึ้นในพื้นที่ และดูเหมือนจะไม่มีทฤษฎีไหนที่บอกว่าเรื่องพวกนี้จะเกิดขึ้น เรื่องวัฒนธรรมในพื้นที่อาจต้องให้นักจิตวิทยาหรือนักมานุษยวิทยามาเป็นผู้อธิบายในทางสังคม อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการบริหารงานภาครัฐ เขาให้ความเห็นว่า:  "พอมันไม่มีระบบบริหารจัดการส่วนกลาง สิ่งที่เราหวังพึ่งก็คืออาสาสมัครเข้าไปช่วยเหลือ ซึ่งมันก็ไม่ได้แย่ แต่มันไม่มีศูนย์กลางในการให้ความช่วยเหลืออย่างเป็นระบบ อาจารย์ในคณะก็จะบอกว่างานภัยพิบัติเหมือนงานกฐิน พอเกิดภัยก็เฮลงไปช่วย มันไม่มีระบบการบริหารจัดการอาสาสมัคร มันไม่ได้ดูเรื่องพื้นที่อะไรเลย พอเกิดคนก็พุ่งเข้าไป ที่เกิดขึ้นมันก็คือความโกลาหล ระบบการบริหารจัดการอาสาสมัครนอกจากจะช่วยเรื่องการแบ่งกำลังคนตามความเร่งด่วนของพื้นที่จากการวิเคราะห์มาเป็นอย่างดี และมีการจัดคิวให้อาสาสมัครได้พักและผลัดเปลี่ยนกันไปช่วยผู้ประสบภัยแล้ว ก็คงช่วยให้อาสาสมัครได้รับแจ้งเกี่ยวกับข้อควรระวังต่างๆ  ในการเข้าพื้นที่ เช่น วัฒนธรรม หรือความอ่อนไหวทางจิตใจของผู้ประสบภัย ตามที่ ผศ. ดร.ไชยณรงค์ เศรษฐเชื้อ อาจารย์คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม แจกแจงไว้ในเฟสบุ๊คด้วย แม้จะมีระบบที่พรรค ปชน. ประชาสัมพันธ์ออกมา ได้แก่ ระบบ jitasa.care ซึ่งมีมาตั้งแต่ช่วงโควิด เป็นส่วนหนึ่งของระบบสนับสนุนการตัดสินใจ แต่ระบบนี้ไม่ได้แก้ปัญหาของการต้องมีศูนย์บัญชาการกลาง และส่วนงานบริหารจัดการอาสาสมัครที่ขาดไปในหลายๆ ด้าน ความเป็นประชาธิปไตยของการจัดการภัยพิบัติ นอกจากระบบบัญชาการกลางจะ (1.) ยืดได้หดได้ตามขนาดของภัยพิบัติ และ (2.) ต้องมีลักษณะเป็นฟังก์ชั่นเบส ข้อคิดเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้คือ (3.) ระบบบัญชาการมีตัวอย่างให้เห็นแล้วในประเทศไทยภายใต้สถานการณ์ภัยพิบัติอื่นๆ ในอดีต และ (4.) ระบบบัญชาการกลางไม่ได้เท่ากับการรวมศูนย์อำนาจและเผด็จการ "มันมีกฎหมายรองรับอยู่แล้ว อยู่ในกฎหมายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย" ดร. นาอีมกล่าว "กรุงเทพก็สร้างระบบบัญชาการเหตุฉุกเฉินได้ หมูป่าก็สร้างระบบบัญชาการเหตุฉุกเฉินได้ คนเข้าใจว่าระบบบัญชาการเหตุฉุกเฉิน ต้องตั้งในระดับประเทศ ต้องเป็นนายก ไม่ใช่ มันขยายได้ หดได้ ตามฟังก์ชั่น “[ในวงวิชาการ] มันจะมีฝั่งที่ไม่อยากใช้ พรก. ฉุกเฉิน คือเราไม่ใช้ยุทธศาสตร์แบบทหารในการบริหารจัดการภัยพิบัติ เพราะว่ามันไปผิดสิทธิมนุษยชน และนำไปสู่เผด็จการของผู้นำในการจัดการภัยพิบัติ เราไม่เอาระบบแบบนี้ เพราะฉะนั้น ระบบบัญชาการกลางมันอยู่บนพื้นฐานของข้อมูล แล้วก็แชร์ทรัพยากร ฉะนั้นหลักคิดระบบบัญชาการเหตุฉุกเฉินมันคือ เราไม่อยากให้อำนาจทหารมาปกครองเรื่องพวกนี้ เราก็เลยต้องสร้างระบบขึ้นมาที่มันไม่ใช่ พรก. ฉุกเฉิน  "แล้วในระบบบัญชาการเหตุฉุกเฉินมันก็ต้องมีหน่วยงานเข้ามา มันก็คล้ายๆ กับช่วงโควิด โควิดก็ใช้ระบบบัญชาการเหตุฉุกเฉิน คุณให้อำนาจผู้นำตัดสินใจคนเดียวไม่ได้ มันต้องเป็นการให้อำนาจแต่ละฝ่ายเป็นคนตัดสินใจ เรื่องโลจิสติกส์คุณต้องให้ทหาร หรือว่าพวกที่เดินทางทางน้ำตัดสินใจ เรื่องการแพทย์มันต้องให้หมอตัดสินใจ คือเราไม่เอา พรก. ฉุกเฉิน มันเลยต้องมีกรมป้องกันสาธารณะขึ้นมา มันคือการจัดการภัยพิบัตืโดยพลเรือน โดยรัฐบาลแล้วก็ฝั่งพลเรือน  “เราถกเถึยงในวงวิชาการอยู่แล้วว่าการจัดการภัยพิบัติมันเป็นประชาธิปไตยหรือเปล่า ถ้าเราให้อำนาจรัฐ แต่จริงๆ เป็นประชาธิปไตยตรงที่ว่ามันต้องตอบสนองช่วยเหลือประชาชน ความต้องการของประชาชน การที่เรามีข้อมูลในการจัดบริหารจัดการได้ แต่ข้อมูลมันต้องไปถึงท้องถิ่น มันต้องมีการวิเคราะห์ข้อมูลในระดับท้องถิ่นจริงๆ  "คือมันพูดยากเพราะมันมีนักวิชาการพูดว่าการบริหารจัดการภัยพิบัติต้องอย่าให้นักการเมืองมายุ่ง คือถ้าประชาธิปไตยเราเลือกนักการเมืองที่มันเก่งๆ มาเป็นผู้บริหาร ที่เข้าใจเรื่องวิทยาศาสตร์ มันก็จะดี ถ้ามันไปในทิศทางนั้นมันก็ดี เราต้องยอมรับความจริงเลยว่า ระบบที่เป็นอยู่ ทั้งการเมือง ทั้งระบบราชการที่มันแข็งตัวมาก ยังไงก็รับมือภัยพิบัติไม่ได้ เมื่อถามถึงผลงานของรัฐบาลอนุทิน ดร. นาอีม ตอบว่า "ถ้าประเมินก็คือไม่ผ่านอยู่แล้ว … มันไม่ใช่เพราะว่ารัฐบาลอนุทินหรือว่าใคร มันผิดพลาดทั้งระบบ” เมื่อรัฐล้มเหลวในการบริหารจัดการภัยพิบัติ (disaster) สถานการณ์ในช่วงที่ผ่านมาจึงยกระดับเป็นขั้นหายนะ (catastrophe) กล่าวคือ "คนตายพุ่งสูงไปเรื่อยๆ สภาพสังคม คนร้องขอช่วยเหลือ มันไม่มีการบริหารจัดการที่มันเชื่อถือได้"   หลังวิกฤติคลี่คลายลง รัฐบาลได้ทำการประชุมถอดบทเรียนโดย ศาสตราจารย์ ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี ได้รับมอบหมายให้กำกับดูแลการจัดทำแผนป้องกันและบรรเทาอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ มีแผนที่จะสร้างวงแหวน-คลองระบายน้ำ หากมองในแง่ของการบริหารจัดการซึ่งขาดไปอย่างมาก การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานก็อาจช่วยได้ แต่อาจไม่ใช่ใจกลางของปัญหา ในประเด็นนี้ ดร. นาอีม ให้ความเห็นว่าต่อให้มีการถอดบทเรียน แผนที่วางไว้ก็อาจเลือนหายไปจากความไร้เสถียรภาพทางการเมือง  จาก 'ถอดบทเรียน' สู่การเปลี่ยนแปลงจริง เมื่อขอให้ ดร. นาอีม เปรียบเทียบความเป็นจริงของประเทศไทยกับโมเดลต่างประเทศที่ถูกหยิบยกขึ้นมา และขอให้แสดงความเห็นเกี่ยวกับการถอดบทเรียนของภาคส่วนต่างๆ ผู้เชี่ยวชาญท่านนี้ตอบกลับอย่างทันควันว่า  "ไม่ต้องพูดหรอก มันทำไม่ได้หรอกประเทศไทย มันบริหารจัดการไม่ได้" “เราบริหารโดยใช้การเมืองนำ อำนาจ ใช้การมีอิทธิพล การแย่งชิงงบประมาณ แล้วก็มีการคอรัปชั่น เราอยู่ในระบบการเมืองแบบนี้ ซึ่งระบบการเมืองโตขึ้นไม่ใช่เพราะใช้ข้อมูลหรือคนเก่งได้ชึ้นมา …  แสดงว่าระบบการเมืองของเรา มันผลิตผู้บริหารที่ไม่เก่ง” “ถ้าเขาไม่เก่ง แต่เขามีทีมเก่ง มันก็คงไปได้ คือผู้บริหารก็ไม่เก่ง ทีมก็ไม่เก่ง ไม่ได้เข้าใจระบบการบริหารจัดการน้ำ ทั้งๆ ที่เรามีนักวิชาการมากมายที่พูดถึงเรื่องนี้” "อีกเรื่องคือประเทศไทยชอบยึดตัวบุคคล คือต้องเป็นโมเดลแบบหมูป่า ต้องเป็นแบบทักษิณ ต้องเป็นแบบชัชชาติ คือคุณไปยึดตัวบุคคล … สิ่งที่ต้องทำ ไม่ใช่ให้มีทวิดา [หมายถึง รศ.ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าราชการ กทม. ผู้เชี่ยวชาญด้านบริการจัดการภัยพิบัติ และมีบทบาทสำคัญในการรับมือปัญหาตึกถล่มจากเหตุแผ่นดินไหว เมื่อ มี.ค. ที่ผ่านมา]  อีกสิบคน นึกออกไหม ต้องทำระบบให้มันดี จนใครก็เข้ามาบริหารจัดการได้  “อย่าเขียนแต่แผน โดยที่ไม่ได้ประเมินความเป็นจริง พวกแผนไม่ต้องไปเขียนเพิ่ม มันมีอยู่แล้ว องค์ความรู้มันมีอยู่แล้ว เมื่อวานประชุมกับ สมช. ประชุมกับผู้ทรงฯ คือมันไม่ใช่เรื่องกฎหมาย ไม่ใช่เรื่องนโยบาย มันเป็นเรื่องของจะทำยังไงให้ระบบหรือกลไกที่มันมีอยู่ฟังก์ชั่น แล้วถ้ามันไม่ถูกฟังก์ชั่น มันก็จะเป็นแบบนี้ เอามาใช้จริงๆ มันจะไม่เกิด “คือพอคุณนำแนวคิดเข้ามา คุณต้องมีระบบในการบริหารจัดการตรงนี้ แล้วก็ต้องมีแนวทางของท้องถิ่น แต่คุณก็ไม่ควรปล่อยให้ท้องถิ่นคิดเองทำเองหมด ก็ต้องสนับสนุนเขาว่า อะไรคือมาตรฐานในการขับเคลื่อนตรงนี้ คือกฎหมายมันก็จะพูดกว้างๆ แผนชาติก็จะพูดกว้างๆ แต่มันไม่มีใครเอาจริงเอาจังในการเอาแผนชาติมาแปลเป็นแผนท้องถิ่น แล้วพอมันไม่เจอภัยพิบัติ เราก็เอาภัยพิบัติมาเป็นเรื่องท้ายๆ "ต้องยอมรับความจริง แล้วก็ไม่ต้องถอดบทเรียนแล้ว คนมันพูดมาเยอะแล้ว ... แล้วประเทศไทยมีนักวิชาการเรื่องน้ำเยอะมาก เรามีผู้รู้เยอะ แต่เราไม่ได้เอาความรู้ไปปฏิบัติแค่นั้นแหละ เพราะความรู้ไปปฏิบัติมันไปแตะโครงสร้างงบประมาณของการจัดการน้ำ ที่อยู่แค่บางกระทรวง แล้วมันก็ไม่ได้อัพเกรดทั้งระบบ แล้วก็ประมาณของไทยมันอยู่ที่การก่อสร้าง สร้างถนน สร้างเขื่อน ข้อมูลมันเป็นแบบนี้ สร้างถนน สร้างเขื่อนไปเรื่อยๆ ไม่ได้มีระบบการบริหารจัดการ ไม่ได้มีการบริหารจัดการ การวางแผน  "เราไม่ถอดบทเรียนแล้ว เราต้องถามว่ากลไกภาครัฐจะเปลี่ยนแปลงยังไง โดยที่มันต้องเปลี่ยนแปลงในระดับงบประมาณ คือไม่ต้องผลิตความรู้ใหม่แล้ว ไม่ต้องเอาโมเดลใหม่แล้ว แต่ต้องไปดูว่า ภาครัฐต้องเปลี่ยนแปลงยังไง จะเอาความรู้ไปเปลี่ยนแปลงภาครัฐยังไง มันต้องประยุกต์ใช้แล้วในปัจจุบัน เราไม่ต้องการความรู้ใหม่ ไม่ต้องมาถอดบทเรียน  "นักวิชาการต้องพูดความจริง ต้องชนโครงสร้าง ต้องกล้าพูดว่า ถ้าคุณยังสร้างเขื่อนไปเรื่อยๆ แบบนี้ ประเทศไทยจัดการไม่ได้ [มันเป็น]แนวคิดแบบเดิม คุณต้องมองทั้งระบบ คุณต้องมองการบริหารจัดการทั้งระบบจริงๆ แล้วก็ท้องถิ่นต้องมีศักยภาพจริงๆ ในการรับรู้สถานการณ์ให้ได้ ถ้าท้องถิ่นสามารถ รับรู้สถานการณ์ได้ ปรับตัว ไหวตัวกัน เราอาจจะสูญเสียน้อยกว่านี้ * รายงานพิเศษ * สังคม * คุณภาพชีวิต * สิ่งแวดล้อม * ภัยพิบัติ * น้ำท่วม * น้ำท่วมภาคใต้
dlvr.it
December 9, 2025 at 11:57 AM
'สหัสวัต' ตั้งข้อสังเกตแก้กติกาเลือกตั้งบอร์ด สกัดทีมประกันสังคมก้าวหน้า
'สหัสวัต' ตั้งข้อสังเกตแก้กติกาเลือกตั้งบอร์ด สกัดทีมประกันสังคมก้าวหน้า
'สหัสวัต' ตั้งข้อสังเกตแก้กติกาเลือกตั้งบอร์ด สกัดทีมประกันสังคมก้าวหน้า ภาพปก: ที่มา: เพจเฟซบุ๊ก สำนักประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร XmasUser Tue, 2025-12-09 - 18:20 'สหัสวัต' และทีมประกันสังคมก้าวหน้า แถลงตั้งข้อสังเกต มีความพยายามอย่างเป็นระบบในการเปลี่ยนสูตรการเลือกตั้งบอร์ด สปส. หวังสกัดสมาชิกทีมประกันสังคมก้าวหน้า  ภาพจาก เพจเฟซบุ๊ก สำนักประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร 9 ธ.ค. 2568 เพจเฟซบุ๊ก มติชนออนไลน์ ถ่ายทอดสดออนไลน์วันนี้ (9 ธ.ค.) เมื่อเวลา 14.00 น. ที่อาคารรัฐสภา สหัสวัต คุ้มคง สส.พรรคประชาชน พร้อมด้วยสมาชิกทีมประกันสังคมก้าวหน้า แถลงข่าวต่อสื่อมวลชน จากต่อกรณีสืบเนื่องวันนี้ที่ประชุมคณะกรรมการประกันสังคม (บอร์ดประกันสังคม) มีวาระสำคัญคือการแก้ไขระเบียบการเลือกตั้งคณะกรรมการประกันสังคมฝ่ายผู้ประกันตน และฝ่ายนายจ้าง โดยสหัสวัต ตั้งข้อสังเกตว่า การแก้ไขระเบียบรอบนี้เป็นความพยายามเอาทีมประกันสังคมก้าวหน้าออกจากบอร์ดประกันสังคม เพราะว่ากลัวมีคนมาแฉการใช้งบประมาณ และแผนการทำงานของสำนักงานประกันสังคม  อนุกรรมการฯ ที่ไม่มีตัวแทนจากฝ่ายนายจ้าง-ผู้ประกันตน ชลิต รัษฐปานะ สมาชิกคณะกรรมการประกันสังคมฝ่ายผู้ประกันตน และสมาชิกทีมประกันสังคมก้าวหน้า เผยว่า การแถลงข่าววันนี้ สืบเนื่องจากที่ประชุมบอร์ดประกันสังคมเมื่อเช้าวันนี้ได้มีการบรรจุวาระ "รายงานความคืบหน้าการปรับปรุงแก้ไขระเบียบกระทรวงแรงงานว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการเลือกตั้งผู้แทนฝ่ายนายจ้างและผู้แทนฝ่ายผู้ประกันตนเป็นกรรมการในคณะกรรมการประกันสังคม พ.ศ. 2564" มาอยู่ในวาระ .แจ้งเพื่อทราบ. และได้มีการแนบเอกสารประกอบการประชุม "ร่างระเบียบหลักเกณฑ์และวิธีการเลือกตั้งฯ" มาให้ โดยระเบียบเดิมเมื่อปี 2566 ซึ่งเป็นการเลือกตั้งบอร์ดประกันสังคมครั้งแรกของผู้ประกันตน ให้สิทธิผู้ประกันตนเลือกหมายเลขผู้สมัครรับเลือกตั้งบอร์ดประกันสังคม ฝ่ายผู้ประกันตน จำนวน 7 หมายเลข แต่ที่ประชุมฯ มีข้อเสนอระเบียบเลือกตั้งหลายรูปแบบ และ 1 ในนั้นคือให้สิทธิผู้ประกันตน เลือกบอร์ดประกันสังคมเหลือเพียง 1 หมายเลขเท่านั้น ในการแก้ไขระเบียบการเลือกตั้งบอร์ดประกันสังคมใหม่ ชลิต อธิบายว่า ก่อนหน้านี้คณะกรรมการประกันสังคม ได้จัดตั้ง "คณะอนุกรรมการปรับปรุงแก้ไขระเบียบกระทรวงแรงงานว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการเลือกตั้งผู้แทนฝ่ายนายจ้างและผู้แทนฝ่ายผู้ประกันตนเป็นกรรมการในคณะกรรมการประกันสังคม พ.ศ. 2564" ขึ้นมา ซึ่งในอนุกรรมการฯ มีเงื่อนไขไม่ให้มีสมาชิกคณะกรรมการประกันสังคมทั้งฝ่ายนายจ้างและฝ่ายผู้ประกันตนเข้าร่วม แต่สมาชิกอนุกรรมการฯ จะมาจากทั้งปลัดกรุงเทพมหานคร กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน แต่ส่วนใหญ่จะเป็นเจ้าหน้าที่สำนักงานประกันสังคม ชลิต เผยว่า แม้ว่าทางทีมประกันสังคมก้าวหน้าจะพยายามคัดค้านแล้วก็ตาม แต่เนื่องด้วยเสียงของทีมมีเพียง 6 จาก 21 เสียง ทำให้ไม่สามารถคัดค้าน และสุดท้ายก็มีการดำเนินการตั้งคณะอนุกรรมการฯ ขึ้นมา โดยคณะกรรมการฯ อ้างว่า ผลสรุปจากคณะอนุกรรมการฯ จะเป็นเพียงข้อเสนอเท่านั้นยังไม่ใช่การแก้ไขระเบียบ และจะให้คณะกรรมการประกันสังคมชุดใหญ่มาตัดสินใจอีกครั้งหนึ่ง ชลิต กล่าวต่อว่า ครั้งแรกที่ทีมประกันสังคมก้าวหน้าเห็นระเบียบเลือกตั้งบอร์ดประกันสังคม คือคืนวันที่ 4 ธ.ค. 2568 และด้านล่างของระเบียบฯ มีการระบุวันเลือกตั้งบอร์ดประกันสังคม ชุดที่ 15 ลากยาวไปถึงเดือน ก.ค. 2569 เพื่อปูทางไปสู่การแก้ไขระเบียบการเลือกตั้งฯ  เขากล่าวว่า บอร์ดฯ ยังไม่เคยเห็นระเบียบการเลือกตั้งมาก่อนเลย และการประชุมวันนี้ ที่ประชุมบอร์ดประกันสังคมเผยว่า หลังจากทำประชาพิจารณ์แล้วจะส่งข้อเสนอถึง ตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พิจารณารับรองระเบียบเลือกตั้งประกันสังคม ซึ่งเป็นความพยายามดำเนินการโดยไม่ผ่านตัวแทนบอร์ดประกันสังคมที่มาจากการเลือกตั้ง  ชลิต ระบุด้วยว่า เขาได้รับแจ้งในที่ประชุมด้วยว่า บอร์ดประกันสังคมมีหน้าที่แค่ให้ข้อสังเกตหรือให้คำปรึกษากับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเท่านั้น ไม่สามารถปรับปรุง หรือแก้ไขระเบียบการเลือกตั้งได้ "เราเลยตั้งคำถามจำนวนมากว่าบอร์ดประกันสังคมมีหน้าที่อะไร คือคณะอนุกรรมการฯ ที่มาจากกลุ่มก้อนการเมืองเก่าสามารถยื่นเรื่องถึงรัฐมนตรีโดยตรงได้เลย โดยข้ามหน้าข้ามตาคนที่มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นเรื่องที่เราไม่ยอม" ชลิต กล่าว  ชลิต อธิบายว่า ผลการประชุมเมื่อเช้าได้ข้อสรุปว่า จากเดิมจะมีการทำประชาพิจารณ์ระเบียบเลือกตั้งบอร์ดประกันสังคมใหม่ในวันที่ 10 ธ.ค.นี้ จะมีการเลื่อนออกไปก่อน และจะมีการหารือเรื่องระเบียบเลือกตั้งบอร์ดประกันสังคมอีกครั้ง ทีมประกันสังคมก้าวหน้าตั้งข้อสังเกตมีการแก้ไขระเบียบเลือกตั้งอย่างเป็นระบบ อ้างอิงจากภาพของทีมประกันสังคมก้าวหน้า พวกเขาตั้งข้อสังเกตว่า คณะอนุกรรมการระเบียบเลือกตั้งประกันสังคม คณะกรรมการประกันสังคม ใช้ความเห็น 2 ช่องทาง คือ  * คณะอนุกรรมาธิการด้านการประกันสังคม คณะกรรมาธิการการแรงงาน วุฒิสภา * ประชาพิจารณ์ออนไซต์และออนไลน์ว่าด้วยปัญหาและอุปสรรคระเบียบการเลือกตั้งบอร์ดประกันสังคมเมื่อปี 2566 ภาพแผงผังจากทีมประกันสังคมก้าวหน้า สมาชิกอนุกรรมาธิการด้านประกันสังคม สว. มีที่มาจากกลุ่มแรงงานที่แพ้เลือกตั้ง ทีมประกันสังคมก้าวหน้า ตั้งข้อสังเกตว่า ข้อเสนอของคณะอนุกรรมาธิการด้านการประกันสังคม ให้แก้ไขระเบียบการเลือกตั้งบอร์ดประกันสังคม ชุดที่ 15 คือผู้ประกันตนมีสิทธิเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้งตัวแทนคณะกรรมการในคณะกรรมการประกันสังคม ฝ่ายผู้ประกัน ได้เพียง 1 หมายเลข มีการระบุไว้ในเอกสารแนบในการประชุมบอร์ดประกันสังคมวันนี้ (9 ธ.ค.) นอกจากนี้ สมาชิกในคณะอนุกรรมาธิการฯ คือคนกลุ่มเดียวกับที่เคยพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งคณะกรรมการบอร์ดประกันสังคม ชุดที่ 14 เมื่อปี 2566 ซึ่งครั้งนั้นทีมประกันสังคมก้าวหน้าได้รับชัยชนะอย่างถล่มทลาย  การทำประชาพิจารณ์ที่ไม่โปร่งใส-ไม่ทั่วถึง ต่อมา ธนพงษ์ เชื้อเมืองพาน จากทีมประกันสังคมก้าวหน้า และสมาชิกคณะกรรมการประกันสังคม ฝ่ายผู้ประกันตน ระบุว่า สำนักงานประกันสังคมเคยจัดประชาพิจารณ์รับฟังความเห็นว่าด้วยปัญหาการเลือกตั้งคณะกรรมการประกันสังคมฝ่ายนายจ้างและฝ่ายผู้ประกันตน เมื่อปี 2566 ทั้งในรูปแบบออนไลน์ และออนไซต์ ธนพงษ์ ได้ตั้งข้อสังเกตการรับฟังความเห็นดังกล่าวนั้นมีปัญหาหลักคือความโปร่งใส และไม่ครอบคลุมจำนวนผู้ประกันตนทั้ง 24 ล้านคน  ธนพงษ์ ระบุว่า การรับฟังแบบออนไซต์ที่จัดโดยสำนักงานประกันสังคม มีผู้เข้าร่วมจำนวนราว 100 คน และมีข้อสังเกตว่าผู้แสดงความคิดเห็นส่วนใหญ่มาจากสภาองค์การลูกจ้างแรงงานแห่งประเทศไทย ซึ่งแพ้การเลือกตั้งบอร์ดประกันสังคม ฝ่ายผู้ประกันตน ในปี 2566  นอกจากนี้ ในการรับฟังประชาพิจารณ์ทางช่องทางออนไลน์ แรกเริ่มมีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นเพียง 86 คนเท่านั้น แต่ภายหลังในรายงานการประชุมระบุจำนวนผู้มาแสดงความคิดเห็นพุ่งขึ้นมาเป็น 2,400 กว่าคน ซึ่งทางเราไม่ทราบว่าตัวเลขมาจากไหน และในที่ประชุมครั้งนั้น ฝั่งนายจ้างและลูกจ้างมีข้อสงสัยมากมาย ยกตัวอย่าง ตัวแทนทั้ง 2 ฝ่ายไม่ทราบเลยว่ามีการทำประชาพิจารณ์ตั้งแต่วันไหนถึงวันไหน และจำนวนผู้เข้าร่วมแสดงความเห็น 2,400 กว่าคนถือเป็นจำนวนที่น้อยเกินไปเมื่อเทียบกับจำนวนสมาชิกผู้ประกันตนทั้งหมด จึงไม่น่าจะเอาเป็นความเห็นที่สามารถแก้ไขระเบียบได้ ธนพงษ์ กล่าวต่อว่า ก่อนหน้านี้เมื่อ 25 พ.ย. ในการประชุมบอร์ดฯ มีวาระแจ้งเพื่อทราบว่าจะมีการทำประชาพิจารณ์ระเบียบเลือกตั้งบอร์ดประกันสังคมใหม่ ซึ่งจะเริ่มวันแรกวันที่ 8 ธ.ค. โดยไม่ผ่านที่ประชุมบอร์ดประกันสังคม แต่ภายหลังมีการถกเถียงในที่ประชุมฯ และขอมติว่าขอให้ผ่านบอร์ดฯ ก่อนได้หรือไม่ เมื่อประธานอนุกรรมการระเบียบการเลือกตั้งเห็นด้วยว่าควรผ่านบอร์ดก่อน จึงเป็นที่มาของการประชุมวันที่ 9 ธ.ค. และทางบอร์ดมีความเห็นว่ายังไม่มีเหตุผลเพียงพอในการเปลี่ยนระเบียบการเลือกตั้งบอร์ดประกันสังคม  เสนอใช้ระเบียบเดิม ธนพร วิจันทร์ สมาชิกเครือข่ายแรงงานเพื่อสิทธิประชาชน และสมาชิกทีมประกันสังคมก้าวหน้า ยืนยันข้อเรียกร้องว่า หลังจากที่บอร์ดประกันสังคม ชุดที่ 14 จะหมดวาระในเดือน ก.พ. 2569 สปส.ต้องมีการจัดเลือกตั้งใหม่ภายใน 60 วัน และยืนยันว่าควรใช้ระเบียบเดิมในการเลือกตั้งบอร์ดฯ ครั้งหน้า เพราะไม่งั้นแล้วจะสูญเสียโอกาสการเลือกตั้งภายใน 60 วัน  'สหัสวัต' ตั้งข้อสังเกตกลุ่มอำนาจเก่าพยายามล้มทีมประกันสังคมก้าวหน้า สหัสวัต ตั้งข้อสังเกตว่า การแก้ไขระเบียบการเลือกตั้งคณะกรรมการประกันสังคมที่เกิดขึ้น เป็นความพยายามอย่างเป็นระบบ เพื่อล้มทีมประกันสังคมก้าวหน้า โดยคนที่เคยแพ้การเลือกตั้งครั้งที่แล้ว เนื่องจากในคณะอนุกรรมาธิการด้านการประกันสังคม กมธ.การแรงงาน สว. ซึ่งเป็นผู้เสนอระเบียบวิธีเลือกตั้งใหม่ ก็เป็นคนกลุ่มเดียวกับคนที่แพ้การเลือกตั้งเมื่อปี 2566 พอรวมหัวกันแก้ไขระเบียบ อนุกรรมการระเบียบเลือกตั้งฯ ก็พยายามผลักดันเรื่องนี้โดยไม่ผ่านบอร์ดใหญ่ประกันสังคม ซึ่งเรื่องนี้เป็นปัญหาเรื่องข้อกฎหมายด้วย นอกจากนี้ ระบบประชาพิจารณ์ก็มีปัญหา เพราะว่าเป็นการรับฟังความเห็นจากกลุ่มคนที่เสียผลประโยชน์จากการเลือกตั้ง และการทำประชาพิจารณ์แบบออนไลน์มีคนเข้ามาแสดงความเห็นเพียง 2,400 คน ถือว่าไม่ครอบคลุมผู้ประกันตนทั้งหมดซึ่งมีถึง 20 ล้านกว่าคน "เราจะเห็นชัดเจนว่ามันมีคนบางกลุ่มที่ทำงานอย่างเป็นระบบ รวมหัวกันเพื่อแก้ระเบียบเลือกตั้ง เป็นการกีดกันเพื่อเอาทีมประกันสังคมออกไป และตั้งใจจะเอาประกันสังคมกลับไปสู่ยุคมืดอีกครั้งหนึ่ง" สหัสวัต กล่าว  สหัสวัต ฝากสังคมจับตาเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด และฝากถึง ตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ว่าอย่าตกเป็นเครื่องมือให้กับกลุ่มคนที่หากินในประกันสังคม และต้องตรวจสอบเรื่องนี้ พร้อมยืนยันหลักการของประชาธิปไตยว่าตัวแทนของบอร์ดฯ ไม่ว่าจะฝ่ายนายจ้าง-ลูกจา้ง ต้องมาจากการเลือกตั้งที่โปร่งใส และสะท้อนเสียงของผู้ประกันตนจริงๆ ไม่ใช่เป็นกระบวนการที่เอื้อให้เกิดการจัดตั้ง  ทั้งนี้ หากมีการทำประชาพิจารณ์การปรับปรุงแก้ไขระเบียบเลือกตั้งบอร์ดประกันสังคม และเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานแล้ว หาก รมว.แรงงาน อนุมัติ ก็จะนำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีให้รับทราบ และจากนั้นถึงจะมีการจัดการเลือกตั้งบอร์ดประกันสังคม ซึ่งล่าสุดยังไม่มีกำหนดเวลาที่แน่ชัดว่าจะได้จัดเมื่อไร * ข่าว * แรงงาน * สิทธิมนุษยชน * เลือกตั้งบอร์ดประกันสังคม * สหัสวัต คุ้มคง * ทีมประกันสังคมก้าวหน้า * กระทรวงแรงงาน * สำนักงานประกันสังคม
dlvr.it
December 9, 2025 at 11:57 AM
'เพื่อไทย' หวั่นสูตร 20 หยิบ 1 เกิดเสียงข้างมาก-ฮั้ว
'เพื่อไทย' หวั่นสูตร 20 หยิบ 1 เกิดเสียงข้างมาก-ฮั้ว
'เพื่อไทย' หวั่นสูตร 20 หยิบ 1 เกิดเสียงข้างมาก-ฮั้ว auser15 Tue, 2025-12-09 - 18:25 'เพื่อไทย' แปรญัตติที่มา กมธ. ร่าง รธน. เสนอให้มี สสร. จากประชาชนขั้นต้น หวั่นสูตร 20 หยิบ 1 เกิดเสียงข้างมาก-ฮั้ว ชี้นำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เป็นดั่งใจ 9 ธันวาคม 2568 สำนักข่าวไทย รายงานว่า นายชูศักดิ์ ศิรินิล รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะคณะกรรมาธิการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม กล่าวถึงแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่า ในชั้นกรรมาธิการ มีการประชุมหลายครั้ง และท้ายที่สุดมีข้อสรุปในหลายเรื่อง ซึ่งในวันพรุ่งนี้ (10 ธ.ค.) จะเริ่มพิจารณารายมาตรา โดยในชั้นกรรมาธิการเสียงส่วนใหญ่ เป็นการตัดสินใจเลือกองค์กรที่ทำหน้าที่ในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยใช้ระบบให้มีกรรมาธิการ 2 คณะ คือ กรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ และกรรมาธิการรับฟังความเห็นของประชาชน ทั้ง 2 คณะ ประกอบด้วย คณะละ 35 คน โดยใช้สูตร 20 จับ 1 ความหมาย คือ ถ้า สว. และ สส. รวมตัวกันได้ 20 คน สามารถเลือกรรมาธิการได้ 1 คน ถ้าพรรคการเมืองใดมี 120 คน สามารถเลือกกรรมาธิการได้ 6 คน เป็นต้น ซึ่งการใช้สูตรเช่นนี้ จะตัดเรื่องการมีส่วนร่วมของประชาชนออก ซึ่งก็มีการวิพากษ์วิจารณ์ในกรรมาธิการ ว่า อาจทำให้เสียงข้างมากของรัฐสภา สามารถเลือกกรรมาธิการที่จะมายกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ และรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ อาจเป็นไปตามความต้องการของรัฐสภาเสียงส่วนใหญ่ ใครคุมเสียงรัฐสภาส่วนใหญ่ได้ ก็จะชี้นำให้รัฐธรรมนูญนั้นเป็นดั่งที่ต้องการได้ ซึ่งในส่วนกรรมาธิการพรรคเพื่อไทยได้สงวนคำแปรญัตติในประเด็นสำคัญ คือ คิดว่าการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จะมีผลดีต่อประชาชน และประชาธิปไตยนั้น ควรให้ประชาชนคนไทยมีส่วนร่วมให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพราะระบบสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ หรือ สสร. เป็นสภาที่จะพิจารณากฎหมาย และกลั่นกรองกฎหมายก่อนนำเสนอรัฐสภาได้ เราจึงเสนอ สสร. ที่คิดไว้ในวาระ 1 คือ มาจากการเลือกตั้งจากประชาชน 300 คน และให้สภาเลือกเหลือ 100 คน และจากการแต่งตั้งจากผู้ทรงคุณวุฒิ 51 คน เป็น สสร. 151 คน เชื่อว่า การใช้วิธีนี้ไม่ขัดต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เพราะประชาชนไม่ได้ร่างรัฐธรรมนูญโดยตรง แต่ให้รัฐสภากลั่นกรอง ข้อที่สอง เมื่อกรรมาธิการเลือกโดยใช้กรรมาธิการ 2 คณะ ใช้สูตร 20 จับ 1 คิดว่า สูตรนี้จะนำไปสู่การมีกรรมาธิการที่เลือกข้าง หรือ เป็นไปตามรัฐสภาเสียงข้างมาก จึงสงวนคำแปรญัตติว่า 2 กรรมาธิการนี้ ให้ใช้สูตร 28 หยิบ 1 คือ ให้กรรมาธิการที่รัฐสภาเลือก 25 คน และกรรมาธิการที่รัฐสภาแต่งตั้ง 10 คน เพื่อไปถ่วงดุลในการทำหน้าที่กรรมาธิการ โดย 10 คนนี้มาจากผู้ทรงคุณวุฒิ กลุ่มวิชาชีพ มาเป็นกรรมาธิการในการรับฟังความเห็น เพื่อให้เกิดความหลากหลาย ไม่ใช่การเลือกข้างใดข้างหนึ่งเป็นการเฉพาะ หรือ การบล็อก โดยในวัน 10 - 11 ธันวาคมนี้ รัฐสภาคงต้องมาเลือกกันว่า จะใช้สูตรใดในการทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ นายชูศักดิ์ ยังกล่าวว่า ในวันที่ 10 และ 11 ธันวาคมนี้ จะเป็นการพิจารณาวาระที่ 2 รายมาตรา หลังจากนั้นจะกำหนดนัดวันพิจารณาวาระ 3 ซึ่งต้องรอไว้ 15 วัน โดยวาระ 3 จะต้องได้รับเสียงกึ่งหนึ่งของรัฐสภา และในนั้นต้องมีเสียงของวุฒิสภาเห็นชอบไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 รัฐธรรมนูญนี้ถึงจะผ่านวาระ 3 จึงเป็นความไม่มั่นใจ และไม่แน่ใจ ว่า ท้ายที่สุดผลวาระ 3 จะเป็นอย่างไร ก็ต้องดูกันไป “แต่เพื่อความมั่นใจ ว่า เรามีความจริงใจที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จึงขอเสนอไปยังรัฐบาล ว่า ขอให้คณะรัฐมนตรี มีมติไว้เลย ว่า ในการตั้งคำถามประชามติ คำถามที่ 1 ว่า เห็นสมควรให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ ถ้าทำเช่นนี้ได้ก็จะเป็นหลักประกัน ว่า ไม่ว่าร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมจะผ่านการพิจารณาวาระ 3 หรือไม่ แต่ถ้ามีมติ ครม. ไว้แล้ว ว่า ให้ทำประชามติตั้งคำถามต่อประชาชนก็จะไม่เสียของ“นายชูศักดิ์ ระบุ ขณะที่นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว สส.น่านพรรคเพื่อไทย ในฐานะคณะกรรมาธิการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม กล่าวว่า มีประเด็นข้อห่วงใยที่จะพิจารณาในวันที่ 10 - 11 ธันวาคมนี้ กรรมาธิการได้พิจารณาร่วมกันในที่ประชุมของพรรคเพื่อไทย ถึงทิศทางในการลงมติ เพื่อป้องกัน หรือ เสนอสิ่งที่เราคิดว่าดีที่สุด โดยมีข้อห่วงใย 2 เรื่องหลัก คือ เรื่องที่มาของกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ 35 คน ในร่างของกรรมาธิการเสียงข้างมาก และกระบวนการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่จะเกิดขึ้น ซึ่ง 2 ข้อห่วงใยนี้ทางกรรมาธิการของพรรคเพื่อไทย สงวนความเห็นเอาไว้ เพื่อป้องกันการจัดตั้ง และการฮั้วให้ได้มาซึ่งกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ หากรัฐสภาสามารถครองเสียงข้างมากได้ วิธีการได้มาซึ่งการร่างรัฐธรรมนูญตามที่ได้กำหนดไว้ในร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมที่จะเข้าสู่ที่ประชุม มีแนวโน้มจะได้สัดส่วนของกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญเป็นของเสียงข้างมากโดยเด็ดขาด นายแพทย์ชลน่าน กล่าวต่อว่า การทำหน้าที่ของกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญชุดนี้ 35 คน ทำหน้าที่การยกร่างและการพิจารณาร่างโดยละเอียดไปด้วย ก่อนที่จะส่งร่างไปให้รัฐสภาได้พิจารณา ว่า จะเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ เราจึงให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ ว่า จะทำอย่างไรที่จะป้องกันการจัดตั้ง และป้องกันการฮั้วในขั้นของรัฐสภาให้ได้มากที่สุด ข้อสงวนของพรรคเพื่อไทยหากเป็นไปตามที่เราเสนอ จะสามารถลดการครอบงำความเป็นกรรมาธิการเสียงข้างมากของซีกใดซีกหนึ่ง หรือสีใดสีหนึ่งได้ ส่วนวิธีการพิจารณามั่นใจว่าสภาร่างรัฐธรรมนูญจะเป็นกระบวนการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญที่ดีที่สุด ดีกว่ากรรมาธิการ 35 คน ที่ทำหน้าที่ทั้งพิจารณาร่าง และยกร่าง เราตั้งวิธีพิจารณา หรือ กลไกร่างรัฐธรรมนูญให้มีกรรมาธิการอย่างน้อย 3 คณะ คือ สภาร่าง ,คณะกรรมาธิการยกร่าง และคณะกรรมธิการรับฟังความเห็น ทั้งนี้พรรคเพื่อไทย ยืนยันที่จะลงมติให้ความเห็นตามกรรมาธิการของพรรคเพื่อไทยที่นำข้อสงวนเสนอความเห็นต่อที่ประชุมร่วมรัฐสภาในแต่ละมาตรา เมื่อถามว่าคำถามประชามติ ครม. มีมติได้เลยไม่ต้องรอให้ผ่านวาระ 2 วาระ 3 ใช่หรือไม่ นายชูศักดิ์ กล่าวว่า ตามกฏหมายประชามติ ครม. สามารถมีมติได้ โดยใช้คำว่า เมื่อคณะรัฐมนตรีเห็นสมควร ให้ถามมติพี่น้องประชาชนก็สามารถทำได้ ด้านนายจุลพันธ์ กล่าวเสริมว่า ไม่ได้ขัดหรือแย้งกับกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เดินหน้าอยู่ ในกรณีผ่านวาระสามแล้ว ที่ประชุมสภามีมติเห็นชอบคณะรัฐมนตรีสามารถส่งคำถามที่สอง คือ เรื่องกระบวนการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญ ให้ คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. เป็นคำถามที่ 2 ประกอบกันได้ เพื่อสร้างหลักประกันให้กับประชาชนคนไทยว่าหลังการเลือกตั้งอย่างน้อยกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องเดินหน้า โดยคำถามที่ 1 ควรส่งไปให้ประชาชนได้เลือกในการทำประชามติ เมื่อถามว่าในกรรมาธิการได้หารือเรื่องนี้หรือไม่ และกรรมาธิการสัดส่วนรัฐบาลได้ตอบรับหรือมีเงื่อนไขเรื่องนี้อย่างไร นายชูศักดิ์กล่าวว่า ไม่ได้หารือกันในประเด็นนี้ แต่ที่ตนตั้งข้อสังเกตครั้งนี้ เพราะไม่แน่ใจว่าท้ายที่สุดจะผ่านวาระ 3 ได้หรือไม่ ถ้าผ่านได้ก็ดี เพราะวาระ 1 และ 2 สามารถทำร่วมกันได้ แต่ถ้าไม่ผ่านจะเป็นปัญหา เลยคิดว่า ดีที่สุด คือ ให้ ครม. มีมติให้ตั้งคำถามที่ 1 ให้ประชาชนลงประชามติเลย จะเป็นหลักประกัน ส่วนท่าทีรัฐบาลเป็นอย่างไรบ้างนั้น เพราะพรรคเพื่อไทยเคยเรียกร้องประเด็นนี้มาก่อน นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ตนเคยพูดประเด็นนี้ไปแล้ว แต่ยังไม่ได้รับสัญญาณตอบรับจากทางกรรมการซีกรัฐบาล หรือคณะรัฐมนตรี " วันนี้สถานการณ์แก้ไขรัฐธรรมนูญเดินหน้าไปมากกว่าเก่า กระบวนการกำลังจะลงมติวาระ 2 และ 3 แต่สัญญาณเกี่ยวกับเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ยิ่งใกล้ก็ยิ่งมีความหนักใจต่อสัญญาณที่เราได้รับมา ว่าโอกาสในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ทำให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้นนี้จริงหรือไม่ จากรัฐบาลปัจจุบันเราไม่มีความมั่นใจ วันนี้จึงมาตอกย้ำในข้อเรียกร้องเดิม เพื่ออย่างน้อยให้การทำประชามติคำถามแรกเป็นหลักประกันให้คนไทยได้" นายจุลพันธ์กล่าว เมื่อถามว่ามีโอกาสยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลก่อนถึงวาระ 3 หรือ รอให้วาระ 3 จบไปก่อน นายจุลพันธ์ กล่าวว่า กำลังพิจารณาอยู่ แต่ต้องยอมรับข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งว่าตอนนี้ปัจจัยทางการเมือง มีความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาทั้งเหตุการณ์น้ำท่วม ซึ่งทางรัฐบาลต้องยอมรับว่า ไม่ประสบความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน พื้นที่สงขลาเองยังหนักมากขยะเต็มเมือง ทางอยุธยาแช่น้ำมา 4 เดือนปัญหาเหล่านี้ได้ถูกบรรจุเข้าไปในการพิจารณาเรื่องการตรวจสอบรัฐบาล ของพรรคเพื่อไทยแล้ว รวมถึง ในเหตุการณ์ปะทะชายแดนไทยกัมพูชา ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ต้องเก็บมาพิจารณา แต่ก็ยังไม่ได้มีการสรุป ด้านนายแพทย์ ชลน่าน กล่าวเสริมว่า เรื่องของการตัดสินใจ การยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจตามรัฐธรรมนูญมาตรา 151 ตัวร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมก็เป็นองค์ประกอบหนึ่งที่สำคัญมาก เพราะฉะนั้นในวันที่ 10 - 11 ธันวาคม เราจะรู้ว่าทิศทางรัฐธรรมนูญทั้งหมดจะออกมาอย่างไร เป็นไปตามที่เราเสนอไว้ในกรรมาธิการเสียงข้างน้อยหรือไม่ หรือเป็นไปตามกรรมาธิการเสียงข้างมากที่เขามีมติไว้แล้ว ซึ่งตรงนั้นจะเป็นตัวบอกว่าเราจะตัดสินใจอย่างไร เพื่อประกอบการพิจารณา เพราะสิ่งที่เราเห็นตัวรัฐธรรมนูญ หากเป็นไปตามเสียงข้างมากเรามองในอนาคตได้เลยว่ารัฐธรรมนูญที่เกิดขึ้นใหม่ จะเป็นรัฐธรรมนูญที่โน้มเอียงไปสู่สีใดสีหนึ่งเป็นการเฉพาะตามเสียงข้างมากในสภาถ้าเป็นไปตามแนวนั้นจริง สิ่งที่เราต้องมาพิจารณาในมาตรา 151 ต้องมีเหตุและผลรองรับต่อไป เมื่อถามย้ำว่าปัจจัยสำคัญในการพิจารณาว่าจะยื่นอภิปรายรัฐบาล คือ เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และเรื่องสถานการณ์การเมืองใช่หรือไม่ นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ทุกปัจจัยต้องเก็บมาคิดประกอบกันหมด ไม่ใช่เรื่องใดเรื่องหนึ่งเท่านั้น และไม่ได้มีคำตอบว่าจะยื่นหลังปีใหม่หรือไม่ * ข่าว * การเมือง * การแก้ไขรัฐธรรมนูญ * พรรคเพื่อไทย
dlvr.it
December 9, 2025 at 11:30 AM
'อนุทิน' ระบุหวังแก้ รธน.พ่วงคำถามประชามติเสร็จช่วง ม.ค. 69 ก่อนยุบสภาตามไทม์ไลน์
'อนุทิน' ระบุหวังแก้ รธน.พ่วงคำถามประชามติเสร็จช่วง ม.ค. 69 ก่อนยุบสภาตามไทม์ไลน์
'อนุทิน' ระบุหวังแก้ รธน.พ่วงคำถามประชามติเสร็จช่วง ม.ค. 69 ก่อนยุบสภาตามไทม์ไลน์ auser15 Tue, 2025-12-09 - 18:11 'อนุทิน' ระบุหวังแก้รัฐธรรมนูญพ่วงคำถามประชามติเสร็จช่วงมกราคม 2569 ก่อนยุบสภาตามไทม์ไลน์ ย้ำแม้จะมีสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ก็จะไม่อยู่เลยไทม์ไลน์ 31 มกราคม 2569 9 ธันวาคม 2568 NBT Connext รายงานว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เปิดเผยผลการประชุมพรรคร่วมรัฐบาล ว่า วันนี้ได้ประชุมเกี่ยวกับท่าทีของพรรคร่วม ที่เกี่ยวกับการพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระสอง ซึ่งท่าทีของพรรคร่วมรัฐบาลจะสนับสนุนรัฐธรรมนูญให้เป็นไปตามเอ็มโอเอ ส่วนที่มี สส.ถามในที่ประชุมหรือไม่ ว่า นายกรัฐมนตรีจะยุบสภาช่วงเวลาไหน นายอนุทิน กล่าวว่า ตนได้บอกให้เตรียมพร้อม แต่จริงๆ วันนี้ไม่ต้องมาคุยเรื่องการยุบสภากันแล้ว เพราะใกล้เดือนมกราคมก็ไปทุกที ถ้าถามช่วงเดือนกันยายนหรือตุลาคมก็อาจจะมีผลอะไรบ้าง ซึ่งตนคิดว่าเตรียมพร้อมเรื่องการเลือกตั้งไว้ดีที่สุด นายกรัฐมนตรีเคยพูดว่าวันที่ 12 ธันวาคม ให้คาดเข็มขัดนิรภัยเอาไว้ แสดงว่าตอนนี้ไม่ต้องคาดแล้วใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนก็มีหลักของตน มีหลักเกณฑ์ในการยุบสภา เพราะเป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรี และเป็นการตัดสินใจของตนแต่เพียงผู้เดียว ปัจจัยที่จะยุบสภาคือการที่พรรคเพื่อไทยจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจด้วยใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ก็มีหลายๆ อย่างประกอบกัน ส่วนปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาเป็นปัจจัยหนึ่งที่จะทำให้ยุบสภาด้วยใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เรื่องปกป้องอธิปไตยของชาติรัฐบาลให้ความร่วมมือ ให้การสนับสนุน และเชื่อมั่นในกองทัพไทย ตนไม่เอาเรื่องความขัดแย้งของประเทศมาเกี่ยวข้องกับเรื่องการเมือง และเกี่ยวกับสภาผู้แทนราษฎร ทั้งนี้ สามารถบอกไทม์ไลน์การแก้ไขรัฐธรรมนูญหลังจากนี้ได้หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ก็อยากเห็นรัฐธรรมนูญได้รับการแก้ไข ถ้าทุกพรรคเห็นว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยที่ทำโดยสมาชิกรัฐสภาที่มาจากประชาชน ถ้าอยากเห็นรัฐธรรมนูญมีความศักดิ์สิทธิ์ และเกิดขึ้นจากปวงชนชาวไทยฉบับสมบูรณ์ ก็อยากให้ทุกคนให้ความสำคัญเรื่องนี้ด้วย ถ้ามีพรรคใดพรรคหนึ่งหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งที่เห็นว่าเล่นเกมการเมือง และชิงไหวชิงพริบทางการเมืองสำคัญกว่าการมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ หรือเรื่องของส่วนรวม ผมคงไม่ปล่อยให้เกิดโอกาสเช่นนั้น ส่วนการโหวตรัฐธรรมนูญวาระสาม จะเกิดขึ้นในปีนี้หรือต้นเดือนมกราคม 2569 นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนทำตามกติกา ถ้าสัปดาห์นี้โหวตวาระสองเสร็จก็พักไว้ 15 วัน จึงจะโหวตวาระสาม ทั้งนี้ ด้วยเงื่อนเวลาขณะนี้ก็จบเดือนมกราคมอยู่แล้ว แต่สำหรับตน ต้นเดือน กลางเดือน หรือปลายเดือนไม่มีความหมาย รวมถึงยังมีขั้นตอนการทำคำถามประชามติเกี่ยวกับการแก้รัฐธรรมนูญด้วย ตนจึงบอกว่าเป็นความร่วมมือของสส. และ สว. ซึ่งพรรคภูมิใจไทยมีความพร้อมอยู่แล้ว เพราะเราลงเอ็มโอเอเป็นลายลักษณ์อักษรกับพรรคประชาชน และเราก็หวังว่าพรรคประชาชนจะเห็นความสำคัญของเรื่องนี้ มาถึงจุดนี้แล้วไม่อยากให้ปล่อย มิฉะนั้นพี่น้องประชาชนก็จะไม่ได้รัฐธรรมนูญที่สามารถบอกได้ว่าเป็นรัฐธรรมนูญของพวกเขา นอกจากเอ็มโอที่ทำไว้ เรื่องนี้ก็เป็นนโยบายรัฐบาลที่แถลงไว้ต่อรัฐสภาด้วย แต่ถ้าเขาไม่อยากให้อยู่ครบ และไม่อยากให้เกิดรัฐธรรมนูญใหม่ ก็ต้องไปโทษกับคนที่คิดเช่นนั้น และพรรคประชาชนก็ต้องไปคำตอบจากฝ่ายที่ไม่ต้องการให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เมื่อถามว่าแม้จะมีสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ก็จะไม่อยู่เลยไทม์ไลน์ 31 มกราคม 2569 ใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า แน่นอน กองทัพมีแสนยานุภาพ และมีความเข้มแข็งอยู่แล้ว เมื่อถามว่ามีกระแสข่าวว่าจะยุบสภาวันที่ 16 มกราคม 2569 นายกรัฐมนตรี หัวเราะ ก่อนตอบว่า วันครูไม่ใช่เหรอ * ข่าว * การเมือง * การแก้ไขรัฐธรรมนูญ * ประชามติ
dlvr.it
December 9, 2025 at 11:16 AM