Prachatai Feeds
banner
prachataifeeds.bsky.social
Prachatai Feeds
@prachataifeeds.bsky.social
Cambodia and Thailand must prevent further risk to civilians from renewed hostilities, says Amnesty International
Cambodia and Thailand must prevent further risk to civilians from renewed hostilities, says Amnesty International
Cambodia and Thailand must prevent further risk to civilians from renewed hostilities, says Amnesty International Responding to reports of renewed armed clashes along the border of Cambodia and Thailand on Monday, Amnesty International’s Regional Research Director Montse Ferrer said: “The resumption of hostilities around the Thailand/Cambodia border risks civilian lives, mass displacement and the destruction of essential civilian infrastructure. “The Cambodian and Thai governments must take all the necessary steps to protect civilians in line with international humanitarian law and prevent any further risks to civilians. “Amid concerning reports of civilian casualties on Monday, we urge the international community to pressure both governments to adhere to their obligations to minimize the impact of the conflict on civilians and civilian objects.” Background Thousands of people fled from towns and villages around Thailand and Cambodia’s border on Monday 8 December as fierce fighting resumed between the two countries, who agreed to a ceasefire in July. Cambodian officials said at least four Cambodian civilians had been killed as a result of Monday’s fighting, while Thai officials said one Thai soldier had died. Tensions between Thailand and Cambodia flared up in May 2025; since then more than 40 people are reported to have died as a result of the conflict. Cambodia previously claimed that Thailand is using internationally prohibited cluster munitions in the conflict. Alarmingly, a Royal Thai Army press release and Thai military spokesperson clarified in July 2025 that the army resort to cluster munitions when necessary to target military objectives and when adhering to the legal principle of proportionality. Amnesty International supports the prohibition of cluster munitions because they can contaminate large areas with several unexploded ordinance posing a risk to civilians even long after the end of hostilities. eng editor 1 Tue, 2025-12-09 - 14:48 * Pick to Post * Amnesty International * Cambodia * Thai-Cambodian conflicts (Feed generated with FetchRSS)
dlvr.it
December 9, 2025 at 1:36 PM
UN chief urges Thailand and Cambodia to avoid escalation amid renewed armed clashes
UN chief urges Thailand and Cambodia to avoid escalation amid renewed armed clashes
UN chief urges Thailand and Cambodia to avoid escalation amid renewed armed clashes UN Secretary-General Antonio Guterres has expressed concerns over the renewed armed clashes between Thailand and Cambodia, urging both countries to avoid further escalation as tensions escalated along the border. "The Secretary-General is concerned by reports of renewed armed clashes between Cambodia and Thailand, particularly the reported airstrikes and mobilization of heavy equipment in the border area. He urges both parties to exercise restraint and avoid further escalation," said a statement by Guterres' spokesperson Stephane Dujarric. The statement also noted that the border dispute between Cambodia and Thailand has already resulted in significant civilian casualties, damage to civilian infrastructure, and displacement on both sides of the border. The Secretary-General stresses that "both parties must protect civilians and facilitate humanitarian relief." He called on both parties to return to the framework of the Joint Declaration signed in Kuala Lumpur on 26 October, recommit to the ceasefire and implement de-escalation and confidence-building measures.  He also urged both parties to make full use of all mechanisms for dialogue to find a lasting solution to the dispute through peaceful means. "The United Nations stands ready to support all efforts aimed at promoting peace, stability and development in the region", said the statement. * Thailand-Cambodia border tensions: what we know about new wave of armed clashes The fresh tension between Thailand and Cambodia stemmed from an incident on the evening of Sunday (7 December) where both sides traded accusations of opening fire with small arms along the disputed border in Sisaket’s Kantharalak District and the Chong Bok area of Ubon Ratchathani’s Nam Yuen District. The exchange of fire lasted for 35 minutes and left two Thai soldiers injured. A new wave of deadly border clashes was reported in Ubon Ratchathani on the following day (8 December). The violence later spread to Surin and Buriram provinces, resulting in three soldier killed and 18 injured (as of 9 December). The Thai military said that Cambodia launched BM-21 rockets into residential areas, but no casualties were reported. Meanwhile, Kiripost reported that four Cambodian civilians in Oddar Meanchey province have been reportedly killed and nine injured in the exchange of fire. Both parties just signed a peace agreement presided over by Donald Trump and Malaysian PM Anwar Ibrahim in Kuala Lumpur, Malaysia on 26 October.  However, just two weeks after the historic peace agreement between Thailand and Cambodia, Thailand unilaterally announced it had suspended the agreement after Thai soldiers were injured in the latest landmine incident on 10 November. eng editor 3 Tue, 2025-12-09 - 13:10 * News * UN Secretary-General * António Guterres * Thai-Cambodian conflicts * Thai-Cambodia relations (Feed generated with FetchRSS)
dlvr.it
December 9, 2025 at 1:36 PM
'ณัฐพงษ์' ย้ำรบแนวเดียวไม่จบปัญหา ต้องใช้การทูต-ปราบสแกมเมอร์ควบคู่การทหาร
'ณัฐพงษ์' ย้ำรบแนวเดียวไม่จบปัญหา ต้องใช้การทูต-ปราบสแกมเมอร์ควบคู่การทหาร
'ณัฐพงษ์' ย้ำรบแนวเดียวไม่จบปัญหา ต้องใช้การทูต-ปราบสแกมเมอร์ควบคู่การทหาร auser15 Tue, 2025-12-09 - 19:39 'ณัฐพงษ์' หัวหน้าพรรคประชาชน ระบุการรบเพื่อชิงประเทศ รบให้จบเบ็ดเสร็จ เป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติในยุคปัจจุบัน เตือน 'อนุทิน' อย่าตกหลุมพรางฮุนเซน รบแนวเดียวไม่จบปัญหา ต้องใช้การทูต-ปราบสแกมเมอร์ควบคู่การทหาร 9 ธันวาคม 2568  ที่อาคารอนาคตใหม่ ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน แถลงข่าวกรณีสถานการณ์ไทย-กัมพูชา โดยกล่าวว่า สถานการณ์การปะทะกันระหว่างไทยและกัมพูชาดำเนินต่อเนื่องเข้าสู่วันที่ 3 ตนติดตามสถานการณ์ด้วยความห่วงใยต่อพี่น้องประชาชน 6 จังหวัดที่ต้องอพยพแล้วกว่า 100,000 คน โรงเรียนและโรงพยาบาลจำนวนมากต้องปิดทำการ และต้องขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวของทหารอย่างน้อย 3 นาย ที่เสียชีวิตระหว่างการปะทะ และขอส่งกำลังใจให้ทหารอีกจำนวนมากที่ได้รับบาดเจ็บ ตนยืนยันว่าความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนและชีวิตของทหารไทย ไม่ควรต้องมาสูญเสียกับสงครามที่หลีกเลี่ยงได้นี้เลย เช่นเดียวกับชีวิตของพลเรือน 17 รายและทหาร 18 นายที่เสียชีวิตจากการสู้รบในระลอกแรกเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา พี่น้องประชาชนนับแสน คนแก่ เด็กเล็ก ไม่ควรต้องได้รับผลกระทบจากการต้องอพยพ ทิ้งวัวควาย ไร่นา บ้านเรือน หากรัฐบาลจัดการเด็ดขาดต่อปัญหาที่เป็นหัวใจของเรื่องนี้ นั่นคือขบวนการสแกมเมอร์ซึ่งหล่อเลี้ยงระบอบฮุน เซน วันนี้เสียงเรียกร้องจากประชาชนคือต้องการจบปัญหาอย่างถาวร แต่ Endgame ฉากจบที่เรามองเห็น ตรงกันหรือไม่ การรบเพื่อชิงประเทศ รบให้จบเบ็ดเสร็จ เป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติในยุคปัจจุบัน เพราะจะเกิดความสูญเสียมหาศาลต่อทหารฝั่งเราเอง และประเทศไทยจะถูกโจมตีจากนานาชาติในฐานะผู้รุกราน การจบปัญหาที่เป็นจริง จึงหมายถึงการคืนชีวิตปกติกลับสู่พี่น้องประชาชน ไม่ต้องอยู่อย่างหวาดระแวงภัยสงคราม การทำมาค้าขายเป็นไปอย่างปกติสุขตลอดแนวชายแดนไทยกัมพูชา ตนเห็นด้วยอย่างยิ่งกับคำพูดของรองแม่ทัพภาค 2 พลตรีณัฏฐ์ ศรีอินทร์ ที่ว่าไม่มีการรบใดไม่จบด้วยการเจรจา โจทย์ของเราในวันนี้ เพื่อนำไปสู่ฉากจบด้วยการเจรจา จึงมีดังนี้ (1) การใช้กำลังทางการทหารเพื่อดูแลปกป้องอธิปไตย ต้องเป็นไปตามกฎหมายระหว่างประเทศ กฎการใช้กำลัง และการตอบโต้อย่างได้สัดส่วน เพื่อหยุดยั้งการคุกคามของกัมพูชา (2) การดำเนินการทุกอย่างด้วยความระมัดระวัง ไม่ปฏิบัติการเกินหลักสากลจนประเทศไทยเพลี่ยงพล้ำไปตกหลุมพรางฮุน เซน ว่าเราเป็นฝ่ายรุกราน (3) ใช้การทูตกดดันกัมพูชากลับเข้าสู่การเจรจา โดยร่วมมือกับนานาชาติ ใช้กลไกระหว่างประเทศให้เกิดประโยชน์กับไทยมากที่สุด โดยใช้เรื่องสแกมเมอร์เป็นธงนำ ดึงความร่วมมือจากชาติมหาอำนาจและทุกประเทศทั่วโลกในการอยู่ข้างประเทศไทย ชนะระบอบฮุนเซนด้วยการปราบปรามสแกมเมอร์และการฟอกเงิน ชี้ปัญหาที่แท้จริงคือสแกมเมอร์ ณัฐพงษ์ตั้งข้อสังเกตว่าจุดเริ่มต้นของปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชา รวมถึงสาเหตุการปะทะครั้งที่แล้วและครั้งนี้ ล้วนเกิดจากสาเหตุเดียวกัน คือความพยายามในการปกป้องเครือข่ายสแกมเมอร์ที่หล่อเลี้ยงระบอบฮุน เซน การปะทะครั้งล่าสุดก็เกิดขึ้นหลังจากการอายัดทรัพย์เบน สมิธ, ยิม เลียก, ก๊ก อาน, เฉินจื้อ ที่ปรึกษาคนสนิทของฮุน เซน ที่ดูแลอาณาจักรกาสิโนและสแกมเมอร์ทั้งในกัมพูชาและต่างประเทศ ด้วยเหตุนี้ จึงขอให้รัฐบาลพิจารณาให้ดีว่าการปะทะกันครั้งนี้ เป็นเพียงแผนการเบี่ยงประเด็นของฮุน เซนหรือไม่ และเหตุที่รัฐบาลทุ่มเทกับการสู้รบอย่างเต็มที่ กำลังกลายเป็นการเดินตามแผนการของฮุน เซน ที่ต้องการพลิกสถานการณ์จากที่โลกกำลังล้อมกัมพูชาด้วยประเด็นสแกมเมอร์ เป็นให้โลกมาล้อมไทยด้วยข้อหารุกรานประเทศที่อ่อนแอกว่าหรือไม่ หากรัฐบาลต้องการคะแนนนิยม การไปตามกระแสชาตินิยม รบให้สุดซอยก็ตอบโจทย์นั้น แต่หากเรามีเป้าหมายร่วมกันว่าต้องพยายามทุกวิถีทางเพื่อไปให้ถึงสันติภาพและความมั่นคงที่ถาวรและยั่งยืน เพื่อปกป้องประชาชนไทยตลอดแนวชายแดนไทยกัมพูชา และเพื่อปกป้องชีวิตและขาของทหารทุกนายไม่ให้ต้องสูญเสียไปจากการรบที่ถูกปลุกปั่นโดยเป้าประสงค์ทางการเมืองของฮุน เซน วิธีออกจากปัญหานี้ย่อมไม่ใช่เพียงการใช้ปฏิบัติการทางทหาร แต่คือการใช้ทั้ง 3 แนวรบที่ตนได้นำเสนอไปก่อนหน้านี้ และจะขออธิบายเพิ่มเติมอีกครั้งในวันนี้ ข้อเสนอแนะ (1) แนวรบทางการทหาร ตนยืนยันว่าการใช้กำลังทหารต้องเป็นวิธีการสุดท้าย (last resort) เมื่อเครื่องมืออื่นๆ ถูกใช้ไปจนหมดแล้วไม่ได้ผล และหากมีเหตุให้เกิดขึ้น ต้องดำเนินไปภายใต้กฎกติกาสากลและแนวปฏิบัติที่เป็นที่ยอมรับระหว่างประเทศ เพื่อปกป้องไทยไม่ให้ตกอยู่ในฐานะผู้รุกราน รังแกประเทศที่อ่อนแอกว่า ซึ่งเป็นประเด็นที่กัมพูชาใช้โจมตีไทยมาโดยตลอด จากสถานการณ์ขณะนี้ ซึ่งกัมพูชาใช้อาวุธหนักโจมตีตอบโต้ไทย รัฐบาลควรตัดสินใจทางการทหารโดยยึดหลักป้องกันตนเองและตอบโต้อย่างได้สัดส่วน เพื่อให้เป็นไปตามหลักสากลว่าเราใช้ปฏิบัติการทางทหารเพื่อจัดการภัยคุกคามเฉพาะหน้า ไม่ใช่เพื่อรุกราน ตนขอให้รัฐบาลคำนึงถึงการจำกัดขอบเขตการรบ กฎการตอบโต้อย่างได้สัดส่วนเหมาะสม โดยมุ่งเน้นการลดระดับความตึงเครียดทางการทหาร (de-escalation) ผ่านการใช้แนวรบที่ 2 คือแนวการทูตควบคู่กับการทหาร (2) แนวรบด้านข่าวสารและการทูต ท่าทีของนายกรัฐมนตรีเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อประเทศไทย นั่นคือการบอกว่าไม่มีการเจรจาสันติภาพอีกต่อไป เพราะแม้แต่รองแม่ทัพภาค 2 ยังเคยยืนยันว่าไม่มีการรบใดไม่จบลงที่โต๊ะเจรจา ในทางกลับกัน การรบเป็นส่วนหนึ่งของการกดดันให้กัมพูชาซึ่งไม่ให้ความร่วมมือ ฝ่าฝืนข้อตกลง ยอมกลับมาร่วมการเจรจาและทำตามข้อตกลงสันติภาพที่ได้มีการลงนามกันไว้แล้ว แต่อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี กลับเป็นฝ่ายปฏิเสธการเจรจา ซึ่งทำให้ไทยกำลังเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เป็นผู้กระทำผิดในสายตาประชาคมโลก ซึ่งคนที่ได้ประโยชน์สูงสุดคือระบอบฮุนเซน ในขณะที่การรบดำเนินอยู่ รัฐบาลต้องตระหนักว่าเป้าหมายของการรบคือการป้องกันตนเองและบังคับให้กัมพูชากลับมาทำตามข้อตกลงสันติภาพกัวลาลัมเปอร์ โดยครั้งนี้ต้องมีการปรับการทำงานของ AOT หรือ ASEAN Observer Team ให้ทำงานได้อย่างเต็มที่และมีความหมาย เป็นคนกลางที่ทำหน้าที่ตรวจสอบการฝ่าฝืนข้อตกลงสันติภาพที่ได้รับการยอมรับจากประชาคมโลก ซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญในการป้องกันการกลับมาปะทะกันซ้ำอีกในอนาคต นอกจากนี้ รัฐบาลยังควรเดินหน้ากดดันกัมพูชาในเวที Ottava Convention เช่นที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว เพิ่งดำเนินการไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา (3) แนวรบปราบสแกมเมอร์ รัฐบาลต้องเปิดแนวรบโลกล้อมกัมพูชาด้วยการปราบสแกมเมอร์ โดยเดินหน้าสุดซอยในการขุดรากถอนโคนขบวนการสแกมเมอร์ ซึ่งเป็นหัวใจของระบอบฮุน เซน กระทรวงการต่างประเทศต้องดำเนินแผนการประสานความร่วมมือกับแต่ละประเทศในการจัดการสแกมเมอร์ให้สิ้นซาก โดยใช้การประชุมนานาชาติว่าด้วยการปราบปรามสแกมเมอร์ที่จะมีขึ้นในวันที่ 17-18 ธันวาคมนี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ผลักดันบทบาทไทยให้เป็นเจ้าภาพหลักในเรื่องนี้ และประสานความร่วมมือกับนานาชาติให้ได้ ดังที่พรรคประชาชนและภาคประชาสังคมได้นำเสนอแนวทางเรื่องนี้ในช่วงที่ผ่านมา นอกจากนี้ รัฐบาลยังต้องสั่งการให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ป.ป.ง.) เดินหน้าอายัดทรัพย์บุคคลไทยที่เกี่ยวข้องกับขบวนการสแกมเมอร์ ไม่ใช่ตัดตอนแค่ชาวต่างชาติอย่างเบน สมิธ เฉินจื้อ ก๊ก อาน และยิม เลียก หากรัฐบาลไม่จริงจังในเรื่องนี้ การให้กระทรวงการต่างประเทศประสานความร่วมมือกับนานาชาติในฐานะเจ้าภาพ ก็จะกลายเป็นเพียงปาหี่ตบตาชาวโลก ประเทศไทยจะกลายเป็นตัวตลกในสายตานานาชาติ การยึดหลักการเช่นนี้ ไม่เพียงจะนำไปสู่การจบปัญหาในระยะยาว แต่ยังจะทำให้ไทยไม่เสียเปรียบในเวทีโลก สามารถตอบโต้ฮุน เซน ได้อย่างเหนือกว่าทั้งในระดับแนวรบการทหาร การข่าว การทูต และสุดท้าย ตนย้ำว่ารัฐบาลไทยต้องตั้งหลักให้มั่นว่าแนวรบที่สำคัญในตอนนี้คือการทูตควบคู่การทหาร มุ่งเป้ากดดันกัมพูชากลับสู่การเจรจา โดยใช้การปราบสแกมเมอร์เป็นหัวใจในการดำเนินการ “หยุดเดินอ้อม ต้องพุ่งตรงเข้าสู่แกนกลางของปัญหา คือการเดินหน้าจัดการสแกมเมอร์สุดซอย เราจะต้องพลิกวิกฤตการณ์ครั้งนี้เป็นโอกาสในการกวาดล้างกลุ่มชนชั้นนำที่หากินบนความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน หยุดการสร้างสงครามเพื่อกลบเกลื่อนอาชญากรรมที่ตัวเองก่อ ใช้เลือดเนื้อชีวิตของทหารและประชาชนเป็นตัวประกัน” * ข่าว * การเมือง * ความมั่นคง * กรณีพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา * ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ
dlvr.it
December 9, 2025 at 12:42 PM
มหาอุทกภัยใต้ ‘68: ถึงเวลาขยับจาก 'ถอดบทเรียน' สู่การเปลี่ยนแปลงจริง
มหาอุทกภัยใต้ ‘68: ถึงเวลาขยับจาก 'ถอดบทเรียน' สู่การเปลี่ยนแปลงจริง
มหาอุทกภัยใต้ ‘68: ถึงเวลาขยับจาก 'ถอดบทเรียน' สู่การเปลี่ยนแปลงจริง วราริน แซ่ตั้ง รายงาน auser15 Tue, 2025-12-09 - 18:52 ผู้เชี่ยวชาญภัยพิบัติ วิเคราะห์มหาอุทกภัยใต้ 9 จังหวัด เสียหาย 2 หมื่นล้าน ชี้ท้องถิ่นไม่มีระบบวิเคราะห์ข้อมูล ขาดศูนย์บัญชาการกลาง ระบุไม่ต้องถอดบทเรียนอีก ความรู้มีอยู่แล้ว แต่รัฐไม่นำไปใช้เพราะชนโครงสร้างงบประมาณ น้ำท่วมภาคใต้ 9 จังหวัดรอบนี้ มีผู้เสียชีวิตไปแล้วอย่างน้อย 267 คน เฉพาะที่ อ.หาดใหญ่ 142 คน ประชาชนได้รับผลกระทบราว 1,200,000 ครัวเรือน หรือ 3,500,000 คน มูลค่าความเสียหาย 20,000 ล้าน ไม่รวมความเสียหายที่คิดเป็นเงินไม่ได้ ซึ่งไม่รู้จะว่ากอบกู้คืนมาได้หรือไม่  ในอุทกภัยครั้งนี้ ประเด็นที่สาธารณชนพูดถึงดูเหมือนจะมี 3 ประเด็นหลักๆ ได้แก่  เรื่องแรก ข้าราชการการเมืองทั้งในระดับส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น ถูกวิจารณ์ถ้วนหน้า รัฐบาลอนุทินถูกวิจารณ์ว่าตอบสนองล่าช้า ดำเนินการไม่เป็นระบบ ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลาถูกสั่งย้าย ผู้นำท้องถิ่นถูกขุดคำพูดช่วงหาเสียงเกี่ยวกับการรับมืออุทกภัยมาเปรียบเทียบกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น จนเจ้าตัวประกาศว่าขอไม่เล่นการเมืองอีกตลอดชีวิต ข้าราชการประจำก็ใช่ว่าจะรอดพ้นจากการถูกวิจารณ์ ท่ามกลางวิกฤติศรัทธาและการทวงถามความรับผิดชอบทางการเมือง คำพูดถึงที่ถูกกล่าวถึงอย่างหนาหูคือคำว่า "ระบบล่มสลาย"   ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์เหล่านี้ ภาคประชาสังคมและภาคเอกชนต้องมาแบกรับความล้มเหลวของรัฐ มีการตั้งวอร์รูมภาคประชาชน และภาคเอกชน เพื่อช่วยเหลือในด้านการฟื้นฟูอย่างเป็นระบบ ภายใต้ทรัพยากรที่จำกัด จากการหั่นงบประมาณช่วยเหลือระหว่างประเทศในระดับโลก และถูกจ้องขัดขาด้วยความพยายามในการออกกฎหมายควบคุมองค์กรประชาสังคม ขณะที่รัฐบาลมีทรัพยากรเหลือเฟือ แต่กลับขาดความสามารถในการตอบสนอง วงศ์พันธ์ อมรินทร์เทวา บรรณาธิการ 101 สรุปอย่างกระชับว่าประชาชนและเอกชนมีประสิทธิภาพ แต่ไม่มีทรัพยากร ขณะที่รัฐบาลมีทรัพยากร แต่ไม่มีประสิทธิภาพ  สาธารณชนก็มีข้อเรียกร้องหลายอย่างที่อยากให้ภาครัฐนำไปทำ ไม่ว่าจะเป็นการตั้งศูนย์บัญชาการกลางอย่างทันท่วงที การกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นเพิ่มขึ้น การปรับโครงสร้างงบประมาณ และการปรับปรุงระบบแจ้งข้อมูลข่าวสาร อย่างไรก็ตาม ยังมีคำถามอยู่ว่าข้อเรียกร้องเหล่านี้สอดคล้องกับความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการบริหารจัดการภัยพิบัติมากน้อยเพียงใด ขาดตกบกพร่องในประเด็นใดหรือไม่ และจะข้อเสนอเหล่านี้มาปะติดปะต่อ จัดลำดับความสำคัญ และพัฒนาเป็นแผนบูรณาการได้อย่างไร เรื่องต่อมาคือความโกลาหลหน้างาน ที่พูดถึงกันมากที่สุดน่าจะเป็นเรื่องการยิงปืนไล่หลัง หรือการยิงปืนเพื่อเรียกอาสาสมัคร และข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการเรียกเก็บค่าผ่านทางในเขต 8 ของหาดใหญ่ รวมถึงการปล้นสะดม สาธารณชนบางส่วนเริ่มพยายามอธิบายปรากฎการณ์เหล่านี้โดยพูดถึงปัจจัยด้านวัฒนธรรม และแสดงทัศนะบนพื้นฐานของความไม่ไว้วางใจ แน่นอนว่าผู้ตั้งข้อเกตเหล่านี้คงไม่ได้มีเจตนาตัดสิน แต่กลับกลายเป็นว่า บทสนทนาเริ่มจะกลายเป็นการวิพากษ์วิจารณ์บนพื้นฐานของอัตลักษณ์ ซึ่งขัดต่อหลักการของสิทธิมนุษยชน คำถามจึงมีอยู่ว่าเราควรอภิปรายและรับมือกับปัญหาที่เกิดขึ้นบนหลักการสิทธิมนุษยชนอย่างไร  เรื่องสุดท้ายคือ ในพื้นที่สื่อมีการนำเสนอ 'การถอดบทเรียน' โดยนักวิชาการ ภาคประชาสังคม และหน่วยงานภาครัฐ และมีการพูดถึงตัวแบบที่น่าเอาเยี่ยงอย่าง ไม่ว่าจะเป็น มาเลเซีย เนเธอร์แลนด์ อังกฤษ ฟินแลนด์ และญี่ปุ่น ทั้งในแง่การวางระบบ การรับมือ การฟื้นฟู แน่นอนว่าเนื้อหาเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของการวิพากษ์วิจารณ์อย่างสร้างสรรค์ เพราะไม่ได้เพียงมุ่งชี้ข้อเสียและแต่เสนอทางออกให้ด้วย แต่ในบทสนทนาเหล่านี้ก็ทำให้เกิดคำถามว่าแล้วจะจับต้นชนปลายความเป็นจริงของไทยกับตัวแบบเหล่านี้อย่างไร ติดขัดตรงไหน และประเทศไทยจะดำเนินการปรับปรุงโดยใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่มีอยู่แล้วอย่างไรในทางปฏิบัติ  เพื่อตอบคำถามเหล่านี้ ความเห็นของ ดร. นาอีม แลนิ ผู้ก่อตั้งบริษัทวิจัยนโยบายสาธารณะ Policy Alive ซึ่งเชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการน้ำและการบริหารจัดการภัยพิบัติ และมีภูมิลำเนาครอบครัวอยู่ในนราธิวาสซึ่งเป็นหนึ่งในจังหวัดที่ประสบเหตุอุทกภัย น่าจะช่วยให้คำตอบได้ในระดับหนึ่ง ประเด็นจากการพูดคุยสรุปออกมาได้เป็น 3 ประเด็นหลักๆ มุ่งเน้นไปที่การบริหารจัดการ ซึ่งเป็นมิติที่ขาดหายไปในมหาอุทกภัยครั้งนี้ ประการแรก ท้องถิ่นจะต้องมีระบบวิเคราะห์ข้อมูลที่แข็งแรง ประการที่สอง ภาครัฐจะต้องตั้งศูนย์บริหารจัดการภัยพิบัติอย่างทันท่วงที ซึ่งกรอบกฎหมายหรือ โครงสร้าง ในปัจจุบันสามารถทำได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาอำนาจพิเศษ องค์ความรู้ หรือโมเดลใหม่ใดๆ จากนั้นจึงค่อยมาคุยกันในประเด็นสุดท้าย คือรัฐจะต้องสร้างระบบที่รับมือกับภัยพิบัติได้ โดยไม่พึ่งพาตัวบุคคล ทุกอย่างเริ่มที่ข้อมูล หากติดตามการนำเสนอข่าว คำพูดที่คนในพื้นที่มักสะท้อนกันอยู่เนืองๆ ก็คือปกติแล้วทุกฤดูฝน คนในพื้นที่จะฟังจากเทศบาลเป็นหลัก มีระบบแจ้งประกาศ แบ่งเป็นระดับธงเขียว ธงเหลือง ธงแดง แต่ในมหาอุทกภัยครั้งนี้ ท้องถิ่นกลับบอกว่าเอาอยู่ สวนทางกับการแจ้งเตือนของส่วนกลาง ในสายตาของผู้เชี่ยวชาญ นี่เป็นปัญหาแรกที่จะต้องทำการแก้ไข "หนึ่งคุณต้องใช้วิทยาศาสตร์ในการบริหารจัดการจริงๆ สองคือคุณต้องมีระบบบริหารจัดการถึงจะทำเรื่องพวกนี้ได้" ดร. นาอีม กล่าว "สิ่งที่ขาด ถ้าเรามุ่งเป้าไปเลยคือในระดับท้องถิ่น สิ่งที่เกิดขึ้นคือมันไม่มีการวิเคราะห์ข้อมูลเกิดขึ้น ก็คือมันไม่สามารถประมวลผลเหตุการณ์ปัจจุบันและตัดสินใจได้ คือเราเอาข้อมูลทั้งหมดมาประมวลผล แล้วตัดสินใจว่าเราจะทำอะไร"  "น้ำท่วมครั้งนี้ ฝนมัน 7 วัน ซึ่งเรามีข้อมูลของกรมอุตุอยู่แล้ว 7 วัน ข้อมูลนี้ไม่พอ มันต้องเอาข้อมูลน้ำในทะเลด้วย น้ำในทะเลสาบด้วย คือต้องเอาข้อมูลอย่างน้อย3-4 แหล่งข้อมูลหน่วยงาน มาวิเคราะห์ร่วมกัน ก็คือต้องมีการวิเคราะห์ข้อมูลในท้องถิ่น เพราะว่าเขารู้พื้นที่มากที่สุด เพราะว่าน้ำท่วม ถึงแม้ฝนตกเหมือนกัน น้ำท่วมไม่เหมือนกัน เพราะว่าการระบายไม่เหมือนกัน  “น้ำมันหลอกไม่ได้ มันไหลมันก็คือไหล มันท่วมมันก็คือท่วม มันไม่สามารถใช้สัญชาติญาณหรือคิดคะเนเอง คิดไปเองได้ แค่นี้เลย คุณไม่สามารถบอกผมได้ว่าไม่ท่วมมั้ง ไม่รู้สึกว่าท่วม ผิด ปีที่แล้วก็ไม่ท่วมหนิ ปีนี้ก็น่าจะเอาอยู่ ผิด คือคุณบริหารการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ โดยไม่ใช้ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์เลยในการบริหาร ซึ่งก็อย่างที่บอกไป เราไม่ได้บริหารโดยใช้ข้อมูลจริงๆ ในการบริหาร มันก็เลยไม่สามารถบริหารจัดการน้ำได้ทั้งระบบ  "ข้อมูลต้องมาจากท้องถิ่น เพราะว่าจริงๆ การดูน้ำ ในท้ายทีี่สุด มันต้องลงพื้นที่ไปดู เราไม่ได้มีข้อมูลทั้งหมดที่จะมาประเมินได้ ข้อมูลที่ท้ายที่สุดแล้วคนก็ลืมก็คือข้อมูลน้ำฝน ซึ่งโมเดลของกรมอุตุมันพยากรณ์ได้ประมาณ 7 วัน อันนั้นค่อนข้างคุณภาพสูงแล้วนะ แต่ความบ้งของมันก็คือว่า มันก็จะบอกคุณว่า ฝนตกอีก 3 วัน 600 มม. คุณจะรู้ได้ยังไงล่ะ ผมยังไม่รู้เลย  "แต่กรมอุตุก็มีหน้าที่แค่นี้ เราก็บอกว่าฝนตกเท่าไหร่ 600 มม. แล้วมันมีวันนึงมั้งที่หาดใหญ่พุ่งสูงถึง 1000 ซึ่งมันไม่[เคย]มีนะ แล้วกรุงเทพรับได้แค่ 60 มม. นะคุณ เกิน 60 มม. พัง แล้วก็นราธิวาสที่พุ่งสูงที่สุดในประเทศก็ประมาณ 600 ข้อมูลพวกนี้ ถ้าท้องถิ่นไม่รู้ มันก็บริหารจัดการสถานการณ์ไม่ได้  การสร้างทีมวิเคราะห์ข้อมูลในระดับท้องถิ่น ในเชิงแนวคิดแล้วเป็นส่วนหนึ่งของระบบสนับสนุนการตัดสินใจ (decision support system หรือ dss) คือ "ต้องประเมินสถานการณ์ แล้วก็ต้องแนะนำว่า ต้องดำเนินการแบบไหน ซึ่งกระบวนการพวกนี้ถ้าไม่เกิดในระดับท้องถิ่น มันจะมารอส่วนกลางทำให้ไม่ได้ ต้องเกิดในระดับท้องถิ่น ส่วนกลางก็มีหน้าที่แค่ให้ข้อมูล "ต้องเป็นแผนออกมา มีทรัพยากรออกมาว่า ทำอะไรได้บ้าง ทำอะไรไม่ได้บ้าง ซึ่งตรงนี้สามารถใช้ ai มาประมวลผลได้ … ต้องมีกรอบระยะเวลา ต้องมีการทำฉากทัศน์ แล้วกระบวนการพวกนี้ต้องอยู่ในกระบวนการวางแผนทั้งหมด ท้องถิ่นต้องทำให้เกิดขึ้น ประเมินผล ประมวลผล ท้องถิ่นต้องทำให้เกิดขึ้นให้ได้ เอกสารของเทศบาลนครหาดใหญ่ระบุว่างบประมาณในปี 2569 ซึ่งเริ่มประกาศใช้ตั้งแต่ 1 ต.ค. ที่ผ่านมา มีงบประมาณสำหรับโครงการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัย เพียง 300,000 บาท ใช้สำหรับ "ค่าใช้จ่ายในพิธีเปิด-ปิด ค่าอาหารว่างและเครื่องดื่ม ค่าวัสดุอุปกรณ์ ค่าจ้างเหมาบริการ ค่าชุดปฏิบัติงานสำหรับเจ้าหน้าที่และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง" โดย "เป็นไปตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการเบิกค่าใช้จ่ายในการจัดงาน การจัดกิจกรรมสาธารณะ การส่งเสริมกีฬาและการแข่งขันกีฬาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2564” งบประมาณนี้เป็นส่วนหนึ่งของงบงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รวม 20,286,800 บาท อยู่ใต้งบแผนงานรักษาความสงบภายในของสำนักปลัดเทศบาล 34,585,400 บาท จากงบประมาณรายจ่ายของเทศบาลนครหาดใหญ่ทั้งหมดกว่า 2,003,500,000 บาท เมื่อ พ.ค. ที่ผ่านมา เนชั่นทีวีระบุว่าก่อนที่ ร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 จะเข้าสู่ที่ประชุมสภาสมัยวิสามัญฯ เทศบาลนครหาดใหญ่เป็นอันดับ 1 จาก 10 เทศบาลนครที่ได้รับจัดสรรงบประมาณสูงสุด  นอกจากปัญหาที่ส่วนหนึ่งดูเหมือนจะมาการจัดสรรงบประมาณของท้องถิ่น อีกปัญหาหนึ่งอาจเป็นเรื่องความกระจัดกระจายของงบประมาณ สำนักงานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจังหวัดสงขลา ระบุว่าในจังหวัดมีองค์การบริหารส่วนจังหวัด 1 แห่ง เทศบาลนคร2 แห่ง เทศบาลเมือง 11 แห่ง เทศบาลตำบล 35 แห่ง องค์การบริหารส่วนตำบล 92 แห่ง ซึ่งต่างมีงบประมาณป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเป็นของตัวเอง ไม่รวมว่างบประมาณป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยอีกก้อนหนึ่งไปอยู่ที่ระบบราชการส่วนภูมิภาคซึ่งบัญชาการผ่านผู้ว่าราชการและนายอำเภอ และส่วนกลางที่บัญชาการโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย   แน่นอนว่าระบบการปกครองจังหวัดยังคงต่างจากกรุงเทพมหานครที่ได้งบเป็นก้อนกว่า มีอิสระในการตัดสินใจสูงกว่า และมีเลือกตั้งผู้ว่าราชการของตัวเอง  เมื่อ เม.ย. ที่ผ่านมา ผู้จัดการออนไลน์รายงานว่า "มหาดไทย ปรับปรุงงบฯ 69 วงเงิน 301,264 ล้านบาท พบ 2 กรมใหญ่ ขอปรับเพิ่มแผนบริหารจัดการภัยพิบัติ ยธ. [กรมโยธาธิการ] เพิ่ม 1,676.9 ล้าน ปภ.  [กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย] ขอเพิ่ม 470.7 ล้าน ส่วนนโยบายเก่าเมืองน่าอยู่อัจฉริยะปรับลดลง 1,849 ล้าน แผนบูรณาการน้ำ ปรับลดลง 1,109 ล้าน ส่วนแผนกระจายอำนาจให้ อปท. [องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น] พบ สถ. [สำนักงานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ] ขอตั้งงบฯ เพิ่มมหาศาล 3,598.9 ล้าน รวมเฉพาะงบกระจายอำนาจท้องถิ่น ปี 69 มีถึง 176,869.5 ล้าน"  แม้จะมีการอ้างว่ากระทรวงมหาดไทยกระจายอำนาจผ่านงบประมาณมากขึ้น ควรตั้งข้อสังเกตว่ากระทรวงมหาดไทยยังคงมีอิทธิพลในการกำกับดูแลองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอย่างมากในหลายด้าน และรัฐราชการรวมศูนย์ก็เคยถูกวิพากษ์วิจารณ์โดยนักวิชาการว่าเป็นอุปสรรคของการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม  "เสริมหน่อยก็คือว่า ตอนที่เกิดน้ำท่วม 53 ที่หาดใหญ่ ท้องถิ่นของหาดใหญ่เข้มแข็งขึ้น นายกเทศมนตรีเข้ามา ท้องถิ่นเองแล้วก็ตัวเทศบาลเองมีความเข้มแข็งมาก ในการทำเรื่องสมาร์ทซิตี้ เนื่องจากหลายปัจจัยด้วย ดร. นาอีม กล่าว "ตอนนั้นมีโครงการระหว่างประเทศเข้ามาด้วย ซึ่งไม่มีคนพูดถึงเท่าไหร่ในสื่อ ก็คือโครงการเครือข่ายเมืองในเอเชียเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ [ACCCRN] ของมูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์จับมือกับหาดใหญ่ มีอาจารย์ที่ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ แล้วก็มีภาคของเทศบาล ของผู้นำ มีนายกเทศมนตรี มาทำงานร่วมกัน หลังจากนั้นรู้สึกว่า การจัดการการปกครองท้องถิ่นของหาดใหญ่เข้มแข็ง แต่ด้วยเวลาที่ผ่านไป เหมือนการเมืองมันทำให้ ระบบมันย้อนกลับ อะไรที่มันเคยทำมา ก่อนหน้านี้มันล้มเหลวหมด  ความเข้าใจผิดเรื่องระบบบัญชาการ  ไม่ว่าจะมีข้อมูล งบประมาณ หรือทรัพยากรอื่นๆ มากเพียงใด ก็คงสูญเปล่าหากไม่มีศูนย์บัญชาการ หรือภาษาบ้านๆ คือ "เจ้าภาพ" คอยทำหน้าที่ตัดสินใจ นำทรัพยากรเหล่านี้มาบริหารจัดการภัยพิบัติ แบ่งหน้าที่ และกระจายคนตามความเชี่ยวชาญอย่างเป็นระบบ เมื่อไม่มีเจ้าภาพ สิ่งที่ตามมาระบบการตัดสินใจแบบ "ออแกนิก" หรือ "ตามยถากรรม" ตามคำกล่าวของสมบัติ บุญงามอนงค์ ประธานมูลนิธิกระจกเงาซึ่งมีบทบาทสำคัญในการตั้งวอร์รูมภาคประชาชน "ถ้าท้องถิ่นรู้ ท้องถิ่นสามารถประเมินสถานการณ์ได้ คือท้องถิ่นสามารถตั้งศูนย์อำนวยการเขตในระดับท้องถิ่นได้ เราเสนอว่าถ้ามันเกิดขึ้นอีก ตั้งแต่ 7 วัน ท้องถิ่นตั้งศูนย์ช่วยเหลือน้ำท่วมอุทกภัยเลย" ดร. นาอีม กล่าว "พอเราพูดถึงระบบบัญชาการกลาง [single command] ในการบริหารจัดการภัย เราพูดถึงระบบบัญชาการเหตุฉุกเฉิน (Incident Command System: ICS) ซึ่งมันทำได้หลายระดับ มันทำระดับของสนามบินยังได้เลย มันทำระดับของท้องถิ่นก็ได้ และมันสามารถขยายได้ถ้าภัยมันเกิดขึ้นใหญ่ขึ้น และมันก็สามารถหดตัวแล้วก็หายไปได้ ระบบบัญชาการเหตุฉุกเฉินถูกบรรจุอยู่ใน พ.ร.บ. ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยอยู่แล้ว แต่รัฐบาลหน่วยงานกลางไม่มีความเข้าใจที่จะใช้ระบบตรงนี้  "ท้องถิ่นต้องประเมินตัวเองก่อน ส่วนถ้ามันเกิดภัยพิบัติขึ้นมาแล้ว ก็ต้องดูว่าภัยพิบัติความรุนแรงมันรุนแรงระดับไหน ถ้ามันรุนแรงในระดับประเทศ ภูมิภาค ก็ต้องดูว่าเราต้องใช้ทรัพยากรเท่าไหร่ในการบริหาร อันนี้มันเกินความสามารถของท้องถิ่น ก็ต้องดูว่าไปถึงนายกรัฐมนตรีไหม ถ้าไปถึงนายกรัฐมนตรี หน้าที่ของอนุทินก็คือว่า เราก็ต้องป้องกันภัยพิบัติไม่ให้เป็นหายนะ … แล้วมันก็ไม่พอนะ มันไม่ใช่แค่ลดไม่ให้เกิดหายนะ แต่เราให้ภัยพิบัติฟื้นฟูเร็วที่สุด เพื่อกลับไปสู่สภาวะปกติ  ระบบบัญชาการฉุกเฉิน "มันต้องมีสถานที่ มันต้องมีวอร์รูม" หรืออาจ "ต้องมีอาสาสมัครมานั่งรวมกัน" โดยระบบนี้มีหน้าที่สั่งการภารกิจเฉพาะทาง เพื่อตอบสนองต่อสถานการณ์ภัยพิบัติ ซึ่งระบบหน่วยงานในสถานการณ์ปกติ (เช่น จวนผู้ว่า โรงเรียน และโรงพยาบาล) ไม่ได้รองรับ ในภาษาอังกฤษเรียกระบบบัญชาการฉุกเฉินว่ามีลักษณะเป็น "ฟังก์ชั่นเบส (function-based)”  ระบบลักษณะนี้ "ไม่มีใครเข้าใจ แล้วจังหวัดตั้งขึ้นมาแค่ในกระดาษ ก็เซ็น แต่ไม่มีเนื้อในของการบริหาร" อ. ดร. นาอีมให้ความเห็น เพื่อให้ศูนย์บัญชาการเป็นรูปธรรมขึ้น "ผู้ว่าก็ต้องตั้งฝ่ายขึ้นมา" โดย "ฝ่ายแรกที่สำคัญในช่วงน้ำท่วมคือโลจิสติกส์ แล้วก็การบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน พวกการขนส่งและเดินทาง"  ในส่วนนี้ กรณีที่สะท้อนให้เห็นถึงระบบบริหารจัดการที่ขาดไปได้ชัดที่สุด คงไม่พ้นปัญหาเรื่องหน่วยเรือกู้ภัยที่รวมกลุ่มกระจัดกระจาย ไม่รู้จะไปช่วยตรงส่วนไหนในช่วงที่ผ่านมา แม้แต่รองนายกรัฐมนตรี ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า เองก็เล็งเห็นปัญหานี้อย่างชัดเจน จนอดหัวร้อนไม่ได้ขณะปฏิบัติภารกิจหน้างาน    "สองคือศูนย์ข้อมูลการสื่อสารในภาวะวิกฤติ" ผู้เชี่ยวชาญกล่าวต่อ ขอเสริมว่า เมื่อพูดถึงการสื่อสารในครั้งนี้ จะพบว่ามีทั้งกรณีที่ทางการบอกว่าข่าวแจ้งเตือนน้ำท่วมเป็นข่าวปลอม แต่กลับเป็นน้ำท่วมจริงในเวลาต่อมา ไม่รวมปัญหาของการสร้างเนื้อหาจาก AI มิจฉาชีพ และลามมาถึงปัญหาไอโอที่การทำลายความน่าเชื่อถือของนักการเมืองที่เข้าไปช่วยเหลือ ดร. นาอีมเห็นว่า "ในช่วงภัยพิบัติ [ข้อมูลบิดเบือน] ควรผิดกฎหมาย … มันทำให้คนสับสน"  เรื่องนี้เป็นปัญหาที่ใหญ่กว่าการสร้างความรู้เท่าทันสื่อให้กับผู้บริโภคข้อมูลข่าวสาร แต่เป็นปัญหาของการสร้างระบบบริหารจัดการข้อมูลข่าวสารด้วย กล่าวคือ ขาดระบบการวิเคราะห์ข้อมูลที่แข็งแรงในระดับท้องถิ่น ขาดระบบสนับสนุนการตัดสินใจ และขาดการประสานงานกับเจ้าภาพหลักที่จะคอยทำหน้าที่สื่อสารกับประชาชนอย่างแม่นยำและจัดการกับข้อมูลบิดเบือน ซึ่งถกเถียงได้ว่าไม่มี “สามคือเรื่องหน่วยแพทย์ สี่คือสังคมสงเคราะห์ ดูแลผู้สูงอายุ ดูแลคนพิการ ศพตายกี่ศพ เรื่องจิตวิทยา มันต้องตั้งศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินแบบนี้ ฝั่งทหาร ฝั่งอะไรก็ว่าไป ศูนย์นี้จะต้องอยู่จนกว่าภัยพิบัติจะหาย แล้วกลับคืนสู่สภาวะปกติ ถ้าศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินในประเทศไม่พอ ก็ขยายระดับได้ ระดับนานาชาติก็ได้ แต่คุณต้องมีองค์กรตรงนี้" ดร. นาอีม กล่าวย้ำ  "อีกเรื่องนึงคือเรื่องการบังคับให้คนอพยพ" ดร. นาอีม กล่าว "ระบบการอพยพที่ดีก็คือต้องบังคับให้คนออกมา … เราต้องมีระบบการอพยพที่ดีเหมือนต่างประเทศ ถ้าไม่อพยพผิดกฎหมาย ถ้าไม่อพยพประกันไม่จ่าย ถ้าอยู่ในประเทศมาเลเซียหรือญี่ปุ่น รัฐบาลสั่งอะไร คนก็ทำตามหมด ก็จะลดความสูญเสียได้" "ถ้าสมมติคุณว่าระบบนี้มันต้องมีการจัดการอพยพคน มันจะไม่ใช่แค่คุณเขียนแผนว่ามันจะต้องมีการอพยพ คุณต้องไปกำหนดว่า จะไปอพยพตรงไหน ต้องมีการฝึกซ้อม ต้องมีขั้นตอนการปฏิบัติงานที่เป็นมาตรฐาน (standard operating procedure หรือ sop) ในการบริหาร  "อย่างญี่ปุ่นมันมีขั้นตอนการปฏิบัติงานที่เป็นมาตรฐานในการบริหารทุกเรื่อง พอมีขั้นตอนการปฏิบัติงานที่เป็นมาตรฐาน มันคือการมีคู่มือแนวทางให้คนทำ โดยที่คุณไม่ต้องรู้ทุกเรื่องก็ได้ แต่ถ้าคุณมาอยู่ในตำแหน่งนี้ คุณก็สามารถทำได้ มันต้องไปถึงระดับนั้น อีกส่วนที่ "สำคัญมากในตัวศูนย์ปฏิบัติการภัยพิบัติคือการบริหารจัดการอาสาสมัคร มันจะมีประเด็นหลายอย่าง มีประเด็นความปลอดภัยของอาสาสมัครด้วย" เรื่องนี้นอกจากจะเกี่ยวกับเรื่องการบริหารจัดการกำลังคนในส่วนอื่นๆ แล้ว คงหนีไม่พ้นประเด็นสำคัญเกี่ยวกับความตึงเครียดระหว่างอาสาสมัครกับประชาชนในเขต 8  ดร. นาอีม พูดถึงกรณีนี้ว่ายังไม่รู้รายละเอียดที่เกิดขึ้นในพื้นที่ และดูเหมือนจะไม่มีทฤษฎีไหนที่บอกว่าเรื่องพวกนี้จะเกิดขึ้น เรื่องวัฒนธรรมในพื้นที่อาจต้องให้นักจิตวิทยาหรือนักมานุษยวิทยามาเป็นผู้อธิบายในทางสังคม อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการบริหารงานภาครัฐ เขาให้ความเห็นว่า:  "พอมันไม่มีระบบบริหารจัดการส่วนกลาง สิ่งที่เราหวังพึ่งก็คืออาสาสมัครเข้าไปช่วยเหลือ ซึ่งมันก็ไม่ได้แย่ แต่มันไม่มีศูนย์กลางในการให้ความช่วยเหลืออย่างเป็นระบบ อาจารย์ในคณะก็จะบอกว่างานภัยพิบัติเหมือนงานกฐิน พอเกิดภัยก็เฮลงไปช่วย มันไม่มีระบบการบริหารจัดการอาสาสมัคร มันไม่ได้ดูเรื่องพื้นที่อะไรเลย พอเกิดคนก็พุ่งเข้าไป ที่เกิดขึ้นมันก็คือความโกลาหล ระบบการบริหารจัดการอาสาสมัครนอกจากจะช่วยเรื่องการแบ่งกำลังคนตามความเร่งด่วนของพื้นที่จากการวิเคราะห์มาเป็นอย่างดี และมีการจัดคิวให้อาสาสมัครได้พักและผลัดเปลี่ยนกันไปช่วยผู้ประสบภัยแล้ว ก็คงช่วยให้อาสาสมัครได้รับแจ้งเกี่ยวกับข้อควรระวังต่างๆ  ในการเข้าพื้นที่ เช่น วัฒนธรรม หรือความอ่อนไหวทางจิตใจของผู้ประสบภัย ตามที่ ผศ. ดร.ไชยณรงค์ เศรษฐเชื้อ อาจารย์คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม แจกแจงไว้ในเฟสบุ๊คด้วย แม้จะมีระบบที่พรรค ปชน. ประชาสัมพันธ์ออกมา ได้แก่ ระบบ jitasa.care ซึ่งมีมาตั้งแต่ช่วงโควิด เป็นส่วนหนึ่งของระบบสนับสนุนการตัดสินใจ แต่ระบบนี้ไม่ได้แก้ปัญหาของการต้องมีศูนย์บัญชาการกลาง และส่วนงานบริหารจัดการอาสาสมัครที่ขาดไปในหลายๆ ด้าน ความเป็นประชาธิปไตยของการจัดการภัยพิบัติ นอกจากระบบบัญชาการกลางจะ (1.) ยืดได้หดได้ตามขนาดของภัยพิบัติ และ (2.) ต้องมีลักษณะเป็นฟังก์ชั่นเบส ข้อคิดเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้คือ (3.) ระบบบัญชาการมีตัวอย่างให้เห็นแล้วในประเทศไทยภายใต้สถานการณ์ภัยพิบัติอื่นๆ ในอดีต และ (4.) ระบบบัญชาการกลางไม่ได้เท่ากับการรวมศูนย์อำนาจและเผด็จการ "มันมีกฎหมายรองรับอยู่แล้ว อยู่ในกฎหมายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย" ดร. นาอีมกล่าว "กรุงเทพก็สร้างระบบบัญชาการเหตุฉุกเฉินได้ หมูป่าก็สร้างระบบบัญชาการเหตุฉุกเฉินได้ คนเข้าใจว่าระบบบัญชาการเหตุฉุกเฉิน ต้องตั้งในระดับประเทศ ต้องเป็นนายก ไม่ใช่ มันขยายได้ หดได้ ตามฟังก์ชั่น “[ในวงวิชาการ] มันจะมีฝั่งที่ไม่อยากใช้ พรก. ฉุกเฉิน คือเราไม่ใช้ยุทธศาสตร์แบบทหารในการบริหารจัดการภัยพิบัติ เพราะว่ามันไปผิดสิทธิมนุษยชน และนำไปสู่เผด็จการของผู้นำในการจัดการภัยพิบัติ เราไม่เอาระบบแบบนี้ เพราะฉะนั้น ระบบบัญชาการกลางมันอยู่บนพื้นฐานของข้อมูล แล้วก็แชร์ทรัพยากร ฉะนั้นหลักคิดระบบบัญชาการเหตุฉุกเฉินมันคือ เราไม่อยากให้อำนาจทหารมาปกครองเรื่องพวกนี้ เราก็เลยต้องสร้างระบบขึ้นมาที่มันไม่ใช่ พรก. ฉุกเฉิน  "แล้วในระบบบัญชาการเหตุฉุกเฉินมันก็ต้องมีหน่วยงานเข้ามา มันก็คล้ายๆ กับช่วงโควิด โควิดก็ใช้ระบบบัญชาการเหตุฉุกเฉิน คุณให้อำนาจผู้นำตัดสินใจคนเดียวไม่ได้ มันต้องเป็นการให้อำนาจแต่ละฝ่ายเป็นคนตัดสินใจ เรื่องโลจิสติกส์คุณต้องให้ทหาร หรือว่าพวกที่เดินทางทางน้ำตัดสินใจ เรื่องการแพทย์มันต้องให้หมอตัดสินใจ คือเราไม่เอา พรก. ฉุกเฉิน มันเลยต้องมีกรมป้องกันสาธารณะขึ้นมา มันคือการจัดการภัยพิบัตืโดยพลเรือน โดยรัฐบาลแล้วก็ฝั่งพลเรือน  “เราถกเถึยงในวงวิชาการอยู่แล้วว่าการจัดการภัยพิบัติมันเป็นประชาธิปไตยหรือเปล่า ถ้าเราให้อำนาจรัฐ แต่จริงๆ เป็นประชาธิปไตยตรงที่ว่ามันต้องตอบสนองช่วยเหลือประชาชน ความต้องการของประชาชน การที่เรามีข้อมูลในการจัดบริหารจัดการได้ แต่ข้อมูลมันต้องไปถึงท้องถิ่น มันต้องมีการวิเคราะห์ข้อมูลในระดับท้องถิ่นจริงๆ  "คือมันพูดยากเพราะมันมีนักวิชาการพูดว่าการบริหารจัดการภัยพิบัติต้องอย่าให้นักการเมืองมายุ่ง คือถ้าประชาธิปไตยเราเลือกนักการเมืองที่มันเก่งๆ มาเป็นผู้บริหาร ที่เข้าใจเรื่องวิทยาศาสตร์ มันก็จะดี ถ้ามันไปในทิศทางนั้นมันก็ดี เราต้องยอมรับความจริงเลยว่า ระบบที่เป็นอยู่ ทั้งการเมือง ทั้งระบบราชการที่มันแข็งตัวมาก ยังไงก็รับมือภัยพิบัติไม่ได้ เมื่อถามถึงผลงานของรัฐบาลอนุทิน ดร. นาอีม ตอบว่า "ถ้าประเมินก็คือไม่ผ่านอยู่แล้ว … มันไม่ใช่เพราะว่ารัฐบาลอนุทินหรือว่าใคร มันผิดพลาดทั้งระบบ” เมื่อรัฐล้มเหลวในการบริหารจัดการภัยพิบัติ (disaster) สถานการณ์ในช่วงที่ผ่านมาจึงยกระดับเป็นขั้นหายนะ (catastrophe) กล่าวคือ "คนตายพุ่งสูงไปเรื่อยๆ สภาพสังคม คนร้องขอช่วยเหลือ มันไม่มีการบริหารจัดการที่มันเชื่อถือได้"   หลังวิกฤติคลี่คลายลง รัฐบาลได้ทำการประชุมถอดบทเรียนโดย ศาสตราจารย์ ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี ได้รับมอบหมายให้กำกับดูแลการจัดทำแผนป้องกันและบรรเทาอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ มีแผนที่จะสร้างวงแหวน-คลองระบายน้ำ หากมองในแง่ของการบริหารจัดการซึ่งขาดไปอย่างมาก การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานก็อาจช่วยได้ แต่อาจไม่ใช่ใจกลางของปัญหา ในประเด็นนี้ ดร. นาอีม ให้ความเห็นว่าต่อให้มีการถอดบทเรียน แผนที่วางไว้ก็อาจเลือนหายไปจากความไร้เสถียรภาพทางการเมือง  จาก 'ถอดบทเรียน' สู่การเปลี่ยนแปลงจริง เมื่อขอให้ ดร. นาอีม เปรียบเทียบความเป็นจริงของประเทศไทยกับโมเดลต่างประเทศที่ถูกหยิบยกขึ้นมา และขอให้แสดงความเห็นเกี่ยวกับการถอดบทเรียนของภาคส่วนต่างๆ ผู้เชี่ยวชาญท่านนี้ตอบกลับอย่างทันควันว่า  "ไม่ต้องพูดหรอก มันทำไม่ได้หรอกประเทศไทย มันบริหารจัดการไม่ได้" “เราบริหารโดยใช้การเมืองนำ อำนาจ ใช้การมีอิทธิพล การแย่งชิงงบประมาณ แล้วก็มีการคอรัปชั่น เราอยู่ในระบบการเมืองแบบนี้ ซึ่งระบบการเมืองโตขึ้นไม่ใช่เพราะใช้ข้อมูลหรือคนเก่งได้ชึ้นมา …  แสดงว่าระบบการเมืองของเรา มันผลิตผู้บริหารที่ไม่เก่ง” “ถ้าเขาไม่เก่ง แต่เขามีทีมเก่ง มันก็คงไปได้ คือผู้บริหารก็ไม่เก่ง ทีมก็ไม่เก่ง ไม่ได้เข้าใจระบบการบริหารจัดการน้ำ ทั้งๆ ที่เรามีนักวิชาการมากมายที่พูดถึงเรื่องนี้” "อีกเรื่องคือประเทศไทยชอบยึดตัวบุคคล คือต้องเป็นโมเดลแบบหมูป่า ต้องเป็นแบบทักษิณ ต้องเป็นแบบชัชชาติ คือคุณไปยึดตัวบุคคล … สิ่งที่ต้องทำ ไม่ใช่ให้มีทวิดา [หมายถึง รศ.ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าราชการ กทม. ผู้เชี่ยวชาญด้านบริการจัดการภัยพิบัติ และมีบทบาทสำคัญในการรับมือปัญหาตึกถล่มจากเหตุแผ่นดินไหว เมื่อ มี.ค. ที่ผ่านมา]  อีกสิบคน นึกออกไหม ต้องทำระบบให้มันดี จนใครก็เข้ามาบริหารจัดการได้  “อย่าเขียนแต่แผน โดยที่ไม่ได้ประเมินความเป็นจริง พวกแผนไม่ต้องไปเขียนเพิ่ม มันมีอยู่แล้ว องค์ความรู้มันมีอยู่แล้ว เมื่อวานประชุมกับ สมช. ประชุมกับผู้ทรงฯ คือมันไม่ใช่เรื่องกฎหมาย ไม่ใช่เรื่องนโยบาย มันเป็นเรื่องของจะทำยังไงให้ระบบหรือกลไกที่มันมีอยู่ฟังก์ชั่น แล้วถ้ามันไม่ถูกฟังก์ชั่น มันก็จะเป็นแบบนี้ เอามาใช้จริงๆ มันจะไม่เกิด “คือพอคุณนำแนวคิดเข้ามา คุณต้องมีระบบในการบริหารจัดการตรงนี้ แล้วก็ต้องมีแนวทางของท้องถิ่น แต่คุณก็ไม่ควรปล่อยให้ท้องถิ่นคิดเองทำเองหมด ก็ต้องสนับสนุนเขาว่า อะไรคือมาตรฐานในการขับเคลื่อนตรงนี้ คือกฎหมายมันก็จะพูดกว้างๆ แผนชาติก็จะพูดกว้างๆ แต่มันไม่มีใครเอาจริงเอาจังในการเอาแผนชาติมาแปลเป็นแผนท้องถิ่น แล้วพอมันไม่เจอภัยพิบัติ เราก็เอาภัยพิบัติมาเป็นเรื่องท้ายๆ "ต้องยอมรับความจริง แล้วก็ไม่ต้องถอดบทเรียนแล้ว คนมันพูดมาเยอะแล้ว ... แล้วประเทศไทยมีนักวิชาการเรื่องน้ำเยอะมาก เรามีผู้รู้เยอะ แต่เราไม่ได้เอาความรู้ไปปฏิบัติแค่นั้นแหละ เพราะความรู้ไปปฏิบัติมันไปแตะโครงสร้างงบประมาณของการจัดการน้ำ ที่อยู่แค่บางกระทรวง แล้วมันก็ไม่ได้อัพเกรดทั้งระบบ แล้วก็ประมาณของไทยมันอยู่ที่การก่อสร้าง สร้างถนน สร้างเขื่อน ข้อมูลมันเป็นแบบนี้ สร้างถนน สร้างเขื่อนไปเรื่อยๆ ไม่ได้มีระบบการบริหารจัดการ ไม่ได้มีการบริหารจัดการ การวางแผน  "เราไม่ถอดบทเรียนแล้ว เราต้องถามว่ากลไกภาครัฐจะเปลี่ยนแปลงยังไง โดยที่มันต้องเปลี่ยนแปลงในระดับงบประมาณ คือไม่ต้องผลิตความรู้ใหม่แล้ว ไม่ต้องเอาโมเดลใหม่แล้ว แต่ต้องไปดูว่า ภาครัฐต้องเปลี่ยนแปลงยังไง จะเอาความรู้ไปเปลี่ยนแปลงภาครัฐยังไง มันต้องประยุกต์ใช้แล้วในปัจจุบัน เราไม่ต้องการความรู้ใหม่ ไม่ต้องมาถอดบทเรียน  "นักวิชาการต้องพูดความจริง ต้องชนโครงสร้าง ต้องกล้าพูดว่า ถ้าคุณยังสร้างเขื่อนไปเรื่อยๆ แบบนี้ ประเทศไทยจัดการไม่ได้ [มันเป็น]แนวคิดแบบเดิม คุณต้องมองทั้งระบบ คุณต้องมองการบริหารจัดการทั้งระบบจริงๆ แล้วก็ท้องถิ่นต้องมีศักยภาพจริงๆ ในการรับรู้สถานการณ์ให้ได้ ถ้าท้องถิ่นสามารถ รับรู้สถานการณ์ได้ ปรับตัว ไหวตัวกัน เราอาจจะสูญเสียน้อยกว่านี้ * รายงานพิเศษ * สังคม * คุณภาพชีวิต * สิ่งแวดล้อม * ภัยพิบัติ * น้ำท่วม * น้ำท่วมภาคใต้
dlvr.it
December 9, 2025 at 11:57 AM
'สหัสวัต' ตั้งข้อสังเกตแก้กติกาเลือกตั้งบอร์ด สกัดทีมประกันสังคมก้าวหน้า
'สหัสวัต' ตั้งข้อสังเกตแก้กติกาเลือกตั้งบอร์ด สกัดทีมประกันสังคมก้าวหน้า
'สหัสวัต' ตั้งข้อสังเกตแก้กติกาเลือกตั้งบอร์ด สกัดทีมประกันสังคมก้าวหน้า ภาพปก: ที่มา: เพจเฟซบุ๊ก สำนักประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร XmasUser Tue, 2025-12-09 - 18:20 'สหัสวัต' และทีมประกันสังคมก้าวหน้า แถลงตั้งข้อสังเกต มีความพยายามอย่างเป็นระบบในการเปลี่ยนสูตรการเลือกตั้งบอร์ด สปส. หวังสกัดสมาชิกทีมประกันสังคมก้าวหน้า  ภาพจาก เพจเฟซบุ๊ก สำนักประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร 9 ธ.ค. 2568 เพจเฟซบุ๊ก มติชนออนไลน์ ถ่ายทอดสดออนไลน์วันนี้ (9 ธ.ค.) เมื่อเวลา 14.00 น. ที่อาคารรัฐสภา สหัสวัต คุ้มคง สส.พรรคประชาชน พร้อมด้วยสมาชิกทีมประกันสังคมก้าวหน้า แถลงข่าวต่อสื่อมวลชน จากต่อกรณีสืบเนื่องวันนี้ที่ประชุมคณะกรรมการประกันสังคม (บอร์ดประกันสังคม) มีวาระสำคัญคือการแก้ไขระเบียบการเลือกตั้งคณะกรรมการประกันสังคมฝ่ายผู้ประกันตน และฝ่ายนายจ้าง โดยสหัสวัต ตั้งข้อสังเกตว่า การแก้ไขระเบียบรอบนี้เป็นความพยายามเอาทีมประกันสังคมก้าวหน้าออกจากบอร์ดประกันสังคม เพราะว่ากลัวมีคนมาแฉการใช้งบประมาณ และแผนการทำงานของสำนักงานประกันสังคม  อนุกรรมการฯ ที่ไม่มีตัวแทนจากฝ่ายนายจ้าง-ผู้ประกันตน ชลิต รัษฐปานะ สมาชิกคณะกรรมการประกันสังคมฝ่ายผู้ประกันตน และสมาชิกทีมประกันสังคมก้าวหน้า เผยว่า การแถลงข่าววันนี้ สืบเนื่องจากที่ประชุมบอร์ดประกันสังคมเมื่อเช้าวันนี้ได้มีการบรรจุวาระ "รายงานความคืบหน้าการปรับปรุงแก้ไขระเบียบกระทรวงแรงงานว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการเลือกตั้งผู้แทนฝ่ายนายจ้างและผู้แทนฝ่ายผู้ประกันตนเป็นกรรมการในคณะกรรมการประกันสังคม พ.ศ. 2564" มาอยู่ในวาระ .แจ้งเพื่อทราบ. และได้มีการแนบเอกสารประกอบการประชุม "ร่างระเบียบหลักเกณฑ์และวิธีการเลือกตั้งฯ" มาให้ โดยระเบียบเดิมเมื่อปี 2566 ซึ่งเป็นการเลือกตั้งบอร์ดประกันสังคมครั้งแรกของผู้ประกันตน ให้สิทธิผู้ประกันตนเลือกหมายเลขผู้สมัครรับเลือกตั้งบอร์ดประกันสังคม ฝ่ายผู้ประกันตน จำนวน 7 หมายเลข แต่ที่ประชุมฯ มีข้อเสนอระเบียบเลือกตั้งหลายรูปแบบ และ 1 ในนั้นคือให้สิทธิผู้ประกันตน เลือกบอร์ดประกันสังคมเหลือเพียง 1 หมายเลขเท่านั้น ในการแก้ไขระเบียบการเลือกตั้งบอร์ดประกันสังคมใหม่ ชลิต อธิบายว่า ก่อนหน้านี้คณะกรรมการประกันสังคม ได้จัดตั้ง "คณะอนุกรรมการปรับปรุงแก้ไขระเบียบกระทรวงแรงงานว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการเลือกตั้งผู้แทนฝ่ายนายจ้างและผู้แทนฝ่ายผู้ประกันตนเป็นกรรมการในคณะกรรมการประกันสังคม พ.ศ. 2564" ขึ้นมา ซึ่งในอนุกรรมการฯ มีเงื่อนไขไม่ให้มีสมาชิกคณะกรรมการประกันสังคมทั้งฝ่ายนายจ้างและฝ่ายผู้ประกันตนเข้าร่วม แต่สมาชิกอนุกรรมการฯ จะมาจากทั้งปลัดกรุงเทพมหานคร กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน แต่ส่วนใหญ่จะเป็นเจ้าหน้าที่สำนักงานประกันสังคม ชลิต เผยว่า แม้ว่าทางทีมประกันสังคมก้าวหน้าจะพยายามคัดค้านแล้วก็ตาม แต่เนื่องด้วยเสียงของทีมมีเพียง 6 จาก 21 เสียง ทำให้ไม่สามารถคัดค้าน และสุดท้ายก็มีการดำเนินการตั้งคณะอนุกรรมการฯ ขึ้นมา โดยคณะกรรมการฯ อ้างว่า ผลสรุปจากคณะอนุกรรมการฯ จะเป็นเพียงข้อเสนอเท่านั้นยังไม่ใช่การแก้ไขระเบียบ และจะให้คณะกรรมการประกันสังคมชุดใหญ่มาตัดสินใจอีกครั้งหนึ่ง ชลิต กล่าวต่อว่า ครั้งแรกที่ทีมประกันสังคมก้าวหน้าเห็นระเบียบเลือกตั้งบอร์ดประกันสังคม คือคืนวันที่ 4 ธ.ค. 2568 และด้านล่างของระเบียบฯ มีการระบุวันเลือกตั้งบอร์ดประกันสังคม ชุดที่ 15 ลากยาวไปถึงเดือน ก.ค. 2569 เพื่อปูทางไปสู่การแก้ไขระเบียบการเลือกตั้งฯ  เขากล่าวว่า บอร์ดฯ ยังไม่เคยเห็นระเบียบการเลือกตั้งมาก่อนเลย และการประชุมวันนี้ ที่ประชุมบอร์ดประกันสังคมเผยว่า หลังจากทำประชาพิจารณ์แล้วจะส่งข้อเสนอถึง ตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พิจารณารับรองระเบียบเลือกตั้งประกันสังคม ซึ่งเป็นความพยายามดำเนินการโดยไม่ผ่านตัวแทนบอร์ดประกันสังคมที่มาจากการเลือกตั้ง  ชลิต ระบุด้วยว่า เขาได้รับแจ้งในที่ประชุมด้วยว่า บอร์ดประกันสังคมมีหน้าที่แค่ให้ข้อสังเกตหรือให้คำปรึกษากับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเท่านั้น ไม่สามารถปรับปรุง หรือแก้ไขระเบียบการเลือกตั้งได้ "เราเลยตั้งคำถามจำนวนมากว่าบอร์ดประกันสังคมมีหน้าที่อะไร คือคณะอนุกรรมการฯ ที่มาจากกลุ่มก้อนการเมืองเก่าสามารถยื่นเรื่องถึงรัฐมนตรีโดยตรงได้เลย โดยข้ามหน้าข้ามตาคนที่มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นเรื่องที่เราไม่ยอม" ชลิต กล่าว  ชลิต อธิบายว่า ผลการประชุมเมื่อเช้าได้ข้อสรุปว่า จากเดิมจะมีการทำประชาพิจารณ์ระเบียบเลือกตั้งบอร์ดประกันสังคมใหม่ในวันที่ 10 ธ.ค.นี้ จะมีการเลื่อนออกไปก่อน และจะมีการหารือเรื่องระเบียบเลือกตั้งบอร์ดประกันสังคมอีกครั้ง ทีมประกันสังคมก้าวหน้าตั้งข้อสังเกตมีการแก้ไขระเบียบเลือกตั้งอย่างเป็นระบบ อ้างอิงจากภาพของทีมประกันสังคมก้าวหน้า พวกเขาตั้งข้อสังเกตว่า คณะอนุกรรมการระเบียบเลือกตั้งประกันสังคม คณะกรรมการประกันสังคม ใช้ความเห็น 2 ช่องทาง คือ  * คณะอนุกรรมาธิการด้านการประกันสังคม คณะกรรมาธิการการแรงงาน วุฒิสภา * ประชาพิจารณ์ออนไซต์และออนไลน์ว่าด้วยปัญหาและอุปสรรคระเบียบการเลือกตั้งบอร์ดประกันสังคมเมื่อปี 2566 ภาพแผงผังจากทีมประกันสังคมก้าวหน้า สมาชิกอนุกรรมาธิการด้านประกันสังคม สว. มีที่มาจากกลุ่มแรงงานที่แพ้เลือกตั้ง ทีมประกันสังคมก้าวหน้า ตั้งข้อสังเกตว่า ข้อเสนอของคณะอนุกรรมาธิการด้านการประกันสังคม ให้แก้ไขระเบียบการเลือกตั้งบอร์ดประกันสังคม ชุดที่ 15 คือผู้ประกันตนมีสิทธิเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้งตัวแทนคณะกรรมการในคณะกรรมการประกันสังคม ฝ่ายผู้ประกัน ได้เพียง 1 หมายเลข มีการระบุไว้ในเอกสารแนบในการประชุมบอร์ดประกันสังคมวันนี้ (9 ธ.ค.) นอกจากนี้ สมาชิกในคณะอนุกรรมาธิการฯ คือคนกลุ่มเดียวกับที่เคยพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งคณะกรรมการบอร์ดประกันสังคม ชุดที่ 14 เมื่อปี 2566 ซึ่งครั้งนั้นทีมประกันสังคมก้าวหน้าได้รับชัยชนะอย่างถล่มทลาย  การทำประชาพิจารณ์ที่ไม่โปร่งใส-ไม่ทั่วถึง ต่อมา ธนพงษ์ เชื้อเมืองพาน จากทีมประกันสังคมก้าวหน้า และสมาชิกคณะกรรมการประกันสังคม ฝ่ายผู้ประกันตน ระบุว่า สำนักงานประกันสังคมเคยจัดประชาพิจารณ์รับฟังความเห็นว่าด้วยปัญหาการเลือกตั้งคณะกรรมการประกันสังคมฝ่ายนายจ้างและฝ่ายผู้ประกันตน เมื่อปี 2566 ทั้งในรูปแบบออนไลน์ และออนไซต์ ธนพงษ์ ได้ตั้งข้อสังเกตการรับฟังความเห็นดังกล่าวนั้นมีปัญหาหลักคือความโปร่งใส และไม่ครอบคลุมจำนวนผู้ประกันตนทั้ง 24 ล้านคน  ธนพงษ์ ระบุว่า การรับฟังแบบออนไซต์ที่จัดโดยสำนักงานประกันสังคม มีผู้เข้าร่วมจำนวนราว 100 คน และมีข้อสังเกตว่าผู้แสดงความคิดเห็นส่วนใหญ่มาจากสภาองค์การลูกจ้างแรงงานแห่งประเทศไทย ซึ่งแพ้การเลือกตั้งบอร์ดประกันสังคม ฝ่ายผู้ประกันตน ในปี 2566  นอกจากนี้ ในการรับฟังประชาพิจารณ์ทางช่องทางออนไลน์ แรกเริ่มมีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นเพียง 86 คนเท่านั้น แต่ภายหลังในรายงานการประชุมระบุจำนวนผู้มาแสดงความคิดเห็นพุ่งขึ้นมาเป็น 2,400 กว่าคน ซึ่งทางเราไม่ทราบว่าตัวเลขมาจากไหน และในที่ประชุมครั้งนั้น ฝั่งนายจ้างและลูกจ้างมีข้อสงสัยมากมาย ยกตัวอย่าง ตัวแทนทั้ง 2 ฝ่ายไม่ทราบเลยว่ามีการทำประชาพิจารณ์ตั้งแต่วันไหนถึงวันไหน และจำนวนผู้เข้าร่วมแสดงความเห็น 2,400 กว่าคนถือเป็นจำนวนที่น้อยเกินไปเมื่อเทียบกับจำนวนสมาชิกผู้ประกันตนทั้งหมด จึงไม่น่าจะเอาเป็นความเห็นที่สามารถแก้ไขระเบียบได้ ธนพงษ์ กล่าวต่อว่า ก่อนหน้านี้เมื่อ 25 พ.ย. ในการประชุมบอร์ดฯ มีวาระแจ้งเพื่อทราบว่าจะมีการทำประชาพิจารณ์ระเบียบเลือกตั้งบอร์ดประกันสังคมใหม่ ซึ่งจะเริ่มวันแรกวันที่ 8 ธ.ค. โดยไม่ผ่านที่ประชุมบอร์ดประกันสังคม แต่ภายหลังมีการถกเถียงในที่ประชุมฯ และขอมติว่าขอให้ผ่านบอร์ดฯ ก่อนได้หรือไม่ เมื่อประธานอนุกรรมการระเบียบการเลือกตั้งเห็นด้วยว่าควรผ่านบอร์ดก่อน จึงเป็นที่มาของการประชุมวันที่ 9 ธ.ค. และทางบอร์ดมีความเห็นว่ายังไม่มีเหตุผลเพียงพอในการเปลี่ยนระเบียบการเลือกตั้งบอร์ดประกันสังคม  เสนอใช้ระเบียบเดิม ธนพร วิจันทร์ สมาชิกเครือข่ายแรงงานเพื่อสิทธิประชาชน และสมาชิกทีมประกันสังคมก้าวหน้า ยืนยันข้อเรียกร้องว่า หลังจากที่บอร์ดประกันสังคม ชุดที่ 14 จะหมดวาระในเดือน ก.พ. 2569 สปส.ต้องมีการจัดเลือกตั้งใหม่ภายใน 60 วัน และยืนยันว่าควรใช้ระเบียบเดิมในการเลือกตั้งบอร์ดฯ ครั้งหน้า เพราะไม่งั้นแล้วจะสูญเสียโอกาสการเลือกตั้งภายใน 60 วัน  'สหัสวัต' ตั้งข้อสังเกตกลุ่มอำนาจเก่าพยายามล้มทีมประกันสังคมก้าวหน้า สหัสวัต ตั้งข้อสังเกตว่า การแก้ไขระเบียบการเลือกตั้งคณะกรรมการประกันสังคมที่เกิดขึ้น เป็นความพยายามอย่างเป็นระบบ เพื่อล้มทีมประกันสังคมก้าวหน้า โดยคนที่เคยแพ้การเลือกตั้งครั้งที่แล้ว เนื่องจากในคณะอนุกรรมาธิการด้านการประกันสังคม กมธ.การแรงงาน สว. ซึ่งเป็นผู้เสนอระเบียบวิธีเลือกตั้งใหม่ ก็เป็นคนกลุ่มเดียวกับคนที่แพ้การเลือกตั้งเมื่อปี 2566 พอรวมหัวกันแก้ไขระเบียบ อนุกรรมการระเบียบเลือกตั้งฯ ก็พยายามผลักดันเรื่องนี้โดยไม่ผ่านบอร์ดใหญ่ประกันสังคม ซึ่งเรื่องนี้เป็นปัญหาเรื่องข้อกฎหมายด้วย นอกจากนี้ ระบบประชาพิจารณ์ก็มีปัญหา เพราะว่าเป็นการรับฟังความเห็นจากกลุ่มคนที่เสียผลประโยชน์จากการเลือกตั้ง และการทำประชาพิจารณ์แบบออนไลน์มีคนเข้ามาแสดงความเห็นเพียง 2,400 คน ถือว่าไม่ครอบคลุมผู้ประกันตนทั้งหมดซึ่งมีถึง 20 ล้านกว่าคน "เราจะเห็นชัดเจนว่ามันมีคนบางกลุ่มที่ทำงานอย่างเป็นระบบ รวมหัวกันเพื่อแก้ระเบียบเลือกตั้ง เป็นการกีดกันเพื่อเอาทีมประกันสังคมออกไป และตั้งใจจะเอาประกันสังคมกลับไปสู่ยุคมืดอีกครั้งหนึ่ง" สหัสวัต กล่าว  สหัสวัต ฝากสังคมจับตาเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด และฝากถึง ตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ว่าอย่าตกเป็นเครื่องมือให้กับกลุ่มคนที่หากินในประกันสังคม และต้องตรวจสอบเรื่องนี้ พร้อมยืนยันหลักการของประชาธิปไตยว่าตัวแทนของบอร์ดฯ ไม่ว่าจะฝ่ายนายจ้าง-ลูกจา้ง ต้องมาจากการเลือกตั้งที่โปร่งใส และสะท้อนเสียงของผู้ประกันตนจริงๆ ไม่ใช่เป็นกระบวนการที่เอื้อให้เกิดการจัดตั้ง  ทั้งนี้ หากมีการทำประชาพิจารณ์การปรับปรุงแก้ไขระเบียบเลือกตั้งบอร์ดประกันสังคม และเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานแล้ว หาก รมว.แรงงาน อนุมัติ ก็จะนำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีให้รับทราบ และจากนั้นถึงจะมีการจัดการเลือกตั้งบอร์ดประกันสังคม ซึ่งล่าสุดยังไม่มีกำหนดเวลาที่แน่ชัดว่าจะได้จัดเมื่อไร * ข่าว * แรงงาน * สิทธิมนุษยชน * เลือกตั้งบอร์ดประกันสังคม * สหัสวัต คุ้มคง * ทีมประกันสังคมก้าวหน้า * กระทรวงแรงงาน * สำนักงานประกันสังคม
dlvr.it
December 9, 2025 at 11:57 AM
'เพื่อไทย' หวั่นสูตร 20 หยิบ 1 เกิดเสียงข้างมาก-ฮั้ว
'เพื่อไทย' หวั่นสูตร 20 หยิบ 1 เกิดเสียงข้างมาก-ฮั้ว
'เพื่อไทย' หวั่นสูตร 20 หยิบ 1 เกิดเสียงข้างมาก-ฮั้ว auser15 Tue, 2025-12-09 - 18:25 'เพื่อไทย' แปรญัตติที่มา กมธ. ร่าง รธน. เสนอให้มี สสร. จากประชาชนขั้นต้น หวั่นสูตร 20 หยิบ 1 เกิดเสียงข้างมาก-ฮั้ว ชี้นำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เป็นดั่งใจ 9 ธันวาคม 2568 สำนักข่าวไทย รายงานว่า นายชูศักดิ์ ศิรินิล รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะคณะกรรมาธิการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม กล่าวถึงแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่า ในชั้นกรรมาธิการ มีการประชุมหลายครั้ง และท้ายที่สุดมีข้อสรุปในหลายเรื่อง ซึ่งในวันพรุ่งนี้ (10 ธ.ค.) จะเริ่มพิจารณารายมาตรา โดยในชั้นกรรมาธิการเสียงส่วนใหญ่ เป็นการตัดสินใจเลือกองค์กรที่ทำหน้าที่ในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยใช้ระบบให้มีกรรมาธิการ 2 คณะ คือ กรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ และกรรมาธิการรับฟังความเห็นของประชาชน ทั้ง 2 คณะ ประกอบด้วย คณะละ 35 คน โดยใช้สูตร 20 จับ 1 ความหมาย คือ ถ้า สว. และ สส. รวมตัวกันได้ 20 คน สามารถเลือกรรมาธิการได้ 1 คน ถ้าพรรคการเมืองใดมี 120 คน สามารถเลือกกรรมาธิการได้ 6 คน เป็นต้น ซึ่งการใช้สูตรเช่นนี้ จะตัดเรื่องการมีส่วนร่วมของประชาชนออก ซึ่งก็มีการวิพากษ์วิจารณ์ในกรรมาธิการ ว่า อาจทำให้เสียงข้างมากของรัฐสภา สามารถเลือกกรรมาธิการที่จะมายกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ และรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ อาจเป็นไปตามความต้องการของรัฐสภาเสียงส่วนใหญ่ ใครคุมเสียงรัฐสภาส่วนใหญ่ได้ ก็จะชี้นำให้รัฐธรรมนูญนั้นเป็นดั่งที่ต้องการได้ ซึ่งในส่วนกรรมาธิการพรรคเพื่อไทยได้สงวนคำแปรญัตติในประเด็นสำคัญ คือ คิดว่าการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จะมีผลดีต่อประชาชน และประชาธิปไตยนั้น ควรให้ประชาชนคนไทยมีส่วนร่วมให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพราะระบบสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ หรือ สสร. เป็นสภาที่จะพิจารณากฎหมาย และกลั่นกรองกฎหมายก่อนนำเสนอรัฐสภาได้ เราจึงเสนอ สสร. ที่คิดไว้ในวาระ 1 คือ มาจากการเลือกตั้งจากประชาชน 300 คน และให้สภาเลือกเหลือ 100 คน และจากการแต่งตั้งจากผู้ทรงคุณวุฒิ 51 คน เป็น สสร. 151 คน เชื่อว่า การใช้วิธีนี้ไม่ขัดต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เพราะประชาชนไม่ได้ร่างรัฐธรรมนูญโดยตรง แต่ให้รัฐสภากลั่นกรอง ข้อที่สอง เมื่อกรรมาธิการเลือกโดยใช้กรรมาธิการ 2 คณะ ใช้สูตร 20 จับ 1 คิดว่า สูตรนี้จะนำไปสู่การมีกรรมาธิการที่เลือกข้าง หรือ เป็นไปตามรัฐสภาเสียงข้างมาก จึงสงวนคำแปรญัตติว่า 2 กรรมาธิการนี้ ให้ใช้สูตร 28 หยิบ 1 คือ ให้กรรมาธิการที่รัฐสภาเลือก 25 คน และกรรมาธิการที่รัฐสภาแต่งตั้ง 10 คน เพื่อไปถ่วงดุลในการทำหน้าที่กรรมาธิการ โดย 10 คนนี้มาจากผู้ทรงคุณวุฒิ กลุ่มวิชาชีพ มาเป็นกรรมาธิการในการรับฟังความเห็น เพื่อให้เกิดความหลากหลาย ไม่ใช่การเลือกข้างใดข้างหนึ่งเป็นการเฉพาะ หรือ การบล็อก โดยในวัน 10 - 11 ธันวาคมนี้ รัฐสภาคงต้องมาเลือกกันว่า จะใช้สูตรใดในการทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ นายชูศักดิ์ ยังกล่าวว่า ในวันที่ 10 และ 11 ธันวาคมนี้ จะเป็นการพิจารณาวาระที่ 2 รายมาตรา หลังจากนั้นจะกำหนดนัดวันพิจารณาวาระ 3 ซึ่งต้องรอไว้ 15 วัน โดยวาระ 3 จะต้องได้รับเสียงกึ่งหนึ่งของรัฐสภา และในนั้นต้องมีเสียงของวุฒิสภาเห็นชอบไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 รัฐธรรมนูญนี้ถึงจะผ่านวาระ 3 จึงเป็นความไม่มั่นใจ และไม่แน่ใจ ว่า ท้ายที่สุดผลวาระ 3 จะเป็นอย่างไร ก็ต้องดูกันไป “แต่เพื่อความมั่นใจ ว่า เรามีความจริงใจที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จึงขอเสนอไปยังรัฐบาล ว่า ขอให้คณะรัฐมนตรี มีมติไว้เลย ว่า ในการตั้งคำถามประชามติ คำถามที่ 1 ว่า เห็นสมควรให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ ถ้าทำเช่นนี้ได้ก็จะเป็นหลักประกัน ว่า ไม่ว่าร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมจะผ่านการพิจารณาวาระ 3 หรือไม่ แต่ถ้ามีมติ ครม. ไว้แล้ว ว่า ให้ทำประชามติตั้งคำถามต่อประชาชนก็จะไม่เสียของ“นายชูศักดิ์ ระบุ ขณะที่นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว สส.น่านพรรคเพื่อไทย ในฐานะคณะกรรมาธิการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม กล่าวว่า มีประเด็นข้อห่วงใยที่จะพิจารณาในวันที่ 10 - 11 ธันวาคมนี้ กรรมาธิการได้พิจารณาร่วมกันในที่ประชุมของพรรคเพื่อไทย ถึงทิศทางในการลงมติ เพื่อป้องกัน หรือ เสนอสิ่งที่เราคิดว่าดีที่สุด โดยมีข้อห่วงใย 2 เรื่องหลัก คือ เรื่องที่มาของกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ 35 คน ในร่างของกรรมาธิการเสียงข้างมาก และกระบวนการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่จะเกิดขึ้น ซึ่ง 2 ข้อห่วงใยนี้ทางกรรมาธิการของพรรคเพื่อไทย สงวนความเห็นเอาไว้ เพื่อป้องกันการจัดตั้ง และการฮั้วให้ได้มาซึ่งกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ หากรัฐสภาสามารถครองเสียงข้างมากได้ วิธีการได้มาซึ่งการร่างรัฐธรรมนูญตามที่ได้กำหนดไว้ในร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมที่จะเข้าสู่ที่ประชุม มีแนวโน้มจะได้สัดส่วนของกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญเป็นของเสียงข้างมากโดยเด็ดขาด นายแพทย์ชลน่าน กล่าวต่อว่า การทำหน้าที่ของกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญชุดนี้ 35 คน ทำหน้าที่การยกร่างและการพิจารณาร่างโดยละเอียดไปด้วย ก่อนที่จะส่งร่างไปให้รัฐสภาได้พิจารณา ว่า จะเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ เราจึงให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ ว่า จะทำอย่างไรที่จะป้องกันการจัดตั้ง และป้องกันการฮั้วในขั้นของรัฐสภาให้ได้มากที่สุด ข้อสงวนของพรรคเพื่อไทยหากเป็นไปตามที่เราเสนอ จะสามารถลดการครอบงำความเป็นกรรมาธิการเสียงข้างมากของซีกใดซีกหนึ่ง หรือสีใดสีหนึ่งได้ ส่วนวิธีการพิจารณามั่นใจว่าสภาร่างรัฐธรรมนูญจะเป็นกระบวนการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญที่ดีที่สุด ดีกว่ากรรมาธิการ 35 คน ที่ทำหน้าที่ทั้งพิจารณาร่าง และยกร่าง เราตั้งวิธีพิจารณา หรือ กลไกร่างรัฐธรรมนูญให้มีกรรมาธิการอย่างน้อย 3 คณะ คือ สภาร่าง ,คณะกรรมาธิการยกร่าง และคณะกรรมธิการรับฟังความเห็น ทั้งนี้พรรคเพื่อไทย ยืนยันที่จะลงมติให้ความเห็นตามกรรมาธิการของพรรคเพื่อไทยที่นำข้อสงวนเสนอความเห็นต่อที่ประชุมร่วมรัฐสภาในแต่ละมาตรา เมื่อถามว่าคำถามประชามติ ครม. มีมติได้เลยไม่ต้องรอให้ผ่านวาระ 2 วาระ 3 ใช่หรือไม่ นายชูศักดิ์ กล่าวว่า ตามกฏหมายประชามติ ครม. สามารถมีมติได้ โดยใช้คำว่า เมื่อคณะรัฐมนตรีเห็นสมควร ให้ถามมติพี่น้องประชาชนก็สามารถทำได้ ด้านนายจุลพันธ์ กล่าวเสริมว่า ไม่ได้ขัดหรือแย้งกับกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เดินหน้าอยู่ ในกรณีผ่านวาระสามแล้ว ที่ประชุมสภามีมติเห็นชอบคณะรัฐมนตรีสามารถส่งคำถามที่สอง คือ เรื่องกระบวนการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญ ให้ คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. เป็นคำถามที่ 2 ประกอบกันได้ เพื่อสร้างหลักประกันให้กับประชาชนคนไทยว่าหลังการเลือกตั้งอย่างน้อยกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องเดินหน้า โดยคำถามที่ 1 ควรส่งไปให้ประชาชนได้เลือกในการทำประชามติ เมื่อถามว่าในกรรมาธิการได้หารือเรื่องนี้หรือไม่ และกรรมาธิการสัดส่วนรัฐบาลได้ตอบรับหรือมีเงื่อนไขเรื่องนี้อย่างไร นายชูศักดิ์กล่าวว่า ไม่ได้หารือกันในประเด็นนี้ แต่ที่ตนตั้งข้อสังเกตครั้งนี้ เพราะไม่แน่ใจว่าท้ายที่สุดจะผ่านวาระ 3 ได้หรือไม่ ถ้าผ่านได้ก็ดี เพราะวาระ 1 และ 2 สามารถทำร่วมกันได้ แต่ถ้าไม่ผ่านจะเป็นปัญหา เลยคิดว่า ดีที่สุด คือ ให้ ครม. มีมติให้ตั้งคำถามที่ 1 ให้ประชาชนลงประชามติเลย จะเป็นหลักประกัน ส่วนท่าทีรัฐบาลเป็นอย่างไรบ้างนั้น เพราะพรรคเพื่อไทยเคยเรียกร้องประเด็นนี้มาก่อน นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ตนเคยพูดประเด็นนี้ไปแล้ว แต่ยังไม่ได้รับสัญญาณตอบรับจากทางกรรมการซีกรัฐบาล หรือคณะรัฐมนตรี " วันนี้สถานการณ์แก้ไขรัฐธรรมนูญเดินหน้าไปมากกว่าเก่า กระบวนการกำลังจะลงมติวาระ 2 และ 3 แต่สัญญาณเกี่ยวกับเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ยิ่งใกล้ก็ยิ่งมีความหนักใจต่อสัญญาณที่เราได้รับมา ว่าโอกาสในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ทำให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้นนี้จริงหรือไม่ จากรัฐบาลปัจจุบันเราไม่มีความมั่นใจ วันนี้จึงมาตอกย้ำในข้อเรียกร้องเดิม เพื่ออย่างน้อยให้การทำประชามติคำถามแรกเป็นหลักประกันให้คนไทยได้" นายจุลพันธ์กล่าว เมื่อถามว่ามีโอกาสยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลก่อนถึงวาระ 3 หรือ รอให้วาระ 3 จบไปก่อน นายจุลพันธ์ กล่าวว่า กำลังพิจารณาอยู่ แต่ต้องยอมรับข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งว่าตอนนี้ปัจจัยทางการเมือง มีความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาทั้งเหตุการณ์น้ำท่วม ซึ่งทางรัฐบาลต้องยอมรับว่า ไม่ประสบความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน พื้นที่สงขลาเองยังหนักมากขยะเต็มเมือง ทางอยุธยาแช่น้ำมา 4 เดือนปัญหาเหล่านี้ได้ถูกบรรจุเข้าไปในการพิจารณาเรื่องการตรวจสอบรัฐบาล ของพรรคเพื่อไทยแล้ว รวมถึง ในเหตุการณ์ปะทะชายแดนไทยกัมพูชา ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ต้องเก็บมาพิจารณา แต่ก็ยังไม่ได้มีการสรุป ด้านนายแพทย์ ชลน่าน กล่าวเสริมว่า เรื่องของการตัดสินใจ การยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจตามรัฐธรรมนูญมาตรา 151 ตัวร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมก็เป็นองค์ประกอบหนึ่งที่สำคัญมาก เพราะฉะนั้นในวันที่ 10 - 11 ธันวาคม เราจะรู้ว่าทิศทางรัฐธรรมนูญทั้งหมดจะออกมาอย่างไร เป็นไปตามที่เราเสนอไว้ในกรรมาธิการเสียงข้างน้อยหรือไม่ หรือเป็นไปตามกรรมาธิการเสียงข้างมากที่เขามีมติไว้แล้ว ซึ่งตรงนั้นจะเป็นตัวบอกว่าเราจะตัดสินใจอย่างไร เพื่อประกอบการพิจารณา เพราะสิ่งที่เราเห็นตัวรัฐธรรมนูญ หากเป็นไปตามเสียงข้างมากเรามองในอนาคตได้เลยว่ารัฐธรรมนูญที่เกิดขึ้นใหม่ จะเป็นรัฐธรรมนูญที่โน้มเอียงไปสู่สีใดสีหนึ่งเป็นการเฉพาะตามเสียงข้างมากในสภาถ้าเป็นไปตามแนวนั้นจริง สิ่งที่เราต้องมาพิจารณาในมาตรา 151 ต้องมีเหตุและผลรองรับต่อไป เมื่อถามย้ำว่าปัจจัยสำคัญในการพิจารณาว่าจะยื่นอภิปรายรัฐบาล คือ เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และเรื่องสถานการณ์การเมืองใช่หรือไม่ นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ทุกปัจจัยต้องเก็บมาคิดประกอบกันหมด ไม่ใช่เรื่องใดเรื่องหนึ่งเท่านั้น และไม่ได้มีคำตอบว่าจะยื่นหลังปีใหม่หรือไม่ * ข่าว * การเมือง * การแก้ไขรัฐธรรมนูญ * พรรคเพื่อไทย
dlvr.it
December 9, 2025 at 11:30 AM
'อนุทิน' ระบุหวังแก้ รธน.พ่วงคำถามประชามติเสร็จช่วง ม.ค. 69 ก่อนยุบสภาตามไทม์ไลน์
'อนุทิน' ระบุหวังแก้ รธน.พ่วงคำถามประชามติเสร็จช่วง ม.ค. 69 ก่อนยุบสภาตามไทม์ไลน์
'อนุทิน' ระบุหวังแก้ รธน.พ่วงคำถามประชามติเสร็จช่วง ม.ค. 69 ก่อนยุบสภาตามไทม์ไลน์ auser15 Tue, 2025-12-09 - 18:11 'อนุทิน' ระบุหวังแก้รัฐธรรมนูญพ่วงคำถามประชามติเสร็จช่วงมกราคม 2569 ก่อนยุบสภาตามไทม์ไลน์ ย้ำแม้จะมีสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ก็จะไม่อยู่เลยไทม์ไลน์ 31 มกราคม 2569 9 ธันวาคม 2568 NBT Connext รายงานว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เปิดเผยผลการประชุมพรรคร่วมรัฐบาล ว่า วันนี้ได้ประชุมเกี่ยวกับท่าทีของพรรคร่วม ที่เกี่ยวกับการพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระสอง ซึ่งท่าทีของพรรคร่วมรัฐบาลจะสนับสนุนรัฐธรรมนูญให้เป็นไปตามเอ็มโอเอ ส่วนที่มี สส.ถามในที่ประชุมหรือไม่ ว่า นายกรัฐมนตรีจะยุบสภาช่วงเวลาไหน นายอนุทิน กล่าวว่า ตนได้บอกให้เตรียมพร้อม แต่จริงๆ วันนี้ไม่ต้องมาคุยเรื่องการยุบสภากันแล้ว เพราะใกล้เดือนมกราคมก็ไปทุกที ถ้าถามช่วงเดือนกันยายนหรือตุลาคมก็อาจจะมีผลอะไรบ้าง ซึ่งตนคิดว่าเตรียมพร้อมเรื่องการเลือกตั้งไว้ดีที่สุด นายกรัฐมนตรีเคยพูดว่าวันที่ 12 ธันวาคม ให้คาดเข็มขัดนิรภัยเอาไว้ แสดงว่าตอนนี้ไม่ต้องคาดแล้วใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนก็มีหลักของตน มีหลักเกณฑ์ในการยุบสภา เพราะเป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรี และเป็นการตัดสินใจของตนแต่เพียงผู้เดียว ปัจจัยที่จะยุบสภาคือการที่พรรคเพื่อไทยจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจด้วยใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ก็มีหลายๆ อย่างประกอบกัน ส่วนปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาเป็นปัจจัยหนึ่งที่จะทำให้ยุบสภาด้วยใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เรื่องปกป้องอธิปไตยของชาติรัฐบาลให้ความร่วมมือ ให้การสนับสนุน และเชื่อมั่นในกองทัพไทย ตนไม่เอาเรื่องความขัดแย้งของประเทศมาเกี่ยวข้องกับเรื่องการเมือง และเกี่ยวกับสภาผู้แทนราษฎร ทั้งนี้ สามารถบอกไทม์ไลน์การแก้ไขรัฐธรรมนูญหลังจากนี้ได้หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ก็อยากเห็นรัฐธรรมนูญได้รับการแก้ไข ถ้าทุกพรรคเห็นว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยที่ทำโดยสมาชิกรัฐสภาที่มาจากประชาชน ถ้าอยากเห็นรัฐธรรมนูญมีความศักดิ์สิทธิ์ และเกิดขึ้นจากปวงชนชาวไทยฉบับสมบูรณ์ ก็อยากให้ทุกคนให้ความสำคัญเรื่องนี้ด้วย ถ้ามีพรรคใดพรรคหนึ่งหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งที่เห็นว่าเล่นเกมการเมือง และชิงไหวชิงพริบทางการเมืองสำคัญกว่าการมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ หรือเรื่องของส่วนรวม ผมคงไม่ปล่อยให้เกิดโอกาสเช่นนั้น ส่วนการโหวตรัฐธรรมนูญวาระสาม จะเกิดขึ้นในปีนี้หรือต้นเดือนมกราคม 2569 นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนทำตามกติกา ถ้าสัปดาห์นี้โหวตวาระสองเสร็จก็พักไว้ 15 วัน จึงจะโหวตวาระสาม ทั้งนี้ ด้วยเงื่อนเวลาขณะนี้ก็จบเดือนมกราคมอยู่แล้ว แต่สำหรับตน ต้นเดือน กลางเดือน หรือปลายเดือนไม่มีความหมาย รวมถึงยังมีขั้นตอนการทำคำถามประชามติเกี่ยวกับการแก้รัฐธรรมนูญด้วย ตนจึงบอกว่าเป็นความร่วมมือของสส. และ สว. ซึ่งพรรคภูมิใจไทยมีความพร้อมอยู่แล้ว เพราะเราลงเอ็มโอเอเป็นลายลักษณ์อักษรกับพรรคประชาชน และเราก็หวังว่าพรรคประชาชนจะเห็นความสำคัญของเรื่องนี้ มาถึงจุดนี้แล้วไม่อยากให้ปล่อย มิฉะนั้นพี่น้องประชาชนก็จะไม่ได้รัฐธรรมนูญที่สามารถบอกได้ว่าเป็นรัฐธรรมนูญของพวกเขา นอกจากเอ็มโอที่ทำไว้ เรื่องนี้ก็เป็นนโยบายรัฐบาลที่แถลงไว้ต่อรัฐสภาด้วย แต่ถ้าเขาไม่อยากให้อยู่ครบ และไม่อยากให้เกิดรัฐธรรมนูญใหม่ ก็ต้องไปโทษกับคนที่คิดเช่นนั้น และพรรคประชาชนก็ต้องไปคำตอบจากฝ่ายที่ไม่ต้องการให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เมื่อถามว่าแม้จะมีสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ก็จะไม่อยู่เลยไทม์ไลน์ 31 มกราคม 2569 ใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า แน่นอน กองทัพมีแสนยานุภาพ และมีความเข้มแข็งอยู่แล้ว เมื่อถามว่ามีกระแสข่าวว่าจะยุบสภาวันที่ 16 มกราคม 2569 นายกรัฐมนตรี หัวเราะ ก่อนตอบว่า วันครูไม่ใช่เหรอ * ข่าว * การเมือง * การแก้ไขรัฐธรรมนูญ * ประชามติ
dlvr.it
December 9, 2025 at 11:16 AM
เผยคลิป F-16 ทิ้งระเบิดทำลายคลังอาวุธ จ.อุดรมีชัย กัมพูชา
เผยคลิป F-16 ทิ้งระเบิดทำลายคลังอาวุธ จ.อุดรมีชัย กัมพูชา
เผยคลิป F-16 ทิ้งระเบิดทำลายคลังอาวุธ จ.อุดรมีชัย กัมพูชา auser15 Tue, 2025-12-09 - 17:36 เผยคลิป F-16 ทิ้งระเบิดทำลายคลังอาวุธ จ.อุดรมีชัย กัมพูชา - กองกำลังบูรพา ปฏิบัติการใช้ปืนใหญ่รถถัง ยิงทำลายบ่อนกาสิโนในฝั่งกัมพูชา ตรงข้ามจุดผ่อนปรนทางการค้าบ้านตาพระยา อ.ตาพระยา จ.สระแก้ว โดยระบุว่าคาสิโนแห่งนี้กัมพูชาใช้เป็นที่ตั้งยิงอาวุธวิธีโค้ง ป้อมปืนกล และสะสมอาวุธ เพื่อใช้โจมตีใส่ฝ่ายไทย 9 ธันวาคม 2568 เพจ Army Military Force โพสต์วิดีโอคลิป เครื่องบินรบ F-16 ของกองทัพอากาศไทย เปิดปฏิบัติการโจมตีทางอากาศ ทิ้งระเบิดนำวิถีด้วยเลเซอร์ แบบ GBU-12 Paveway II ต่อเป้าหมายคลังเก็บจรวด BM-21 และอาวุธหนักของกองทัพกัมพูชา จนเกิดการระเบิดดังต่อเนื่องอย่างรุนแรง กลางกรุงสำโรง จังหวัดอุดรมีชัย นอกจาก ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 1 ได้รับรายงานจาก กกล.บูรพา โดยหน่วยเฉพาะกิจที่ 11 ปฏิบัติการใช้ปืนใหญ่รถถัง ยิงทำลายบ่อนกาสิโนในฝั่งกัมพูชา ซึ่งอยู่ติดแนวชายแดน ใช้เป็นที่ตั้งยิงอาวุธวิธีโค้ง, ป้อมปืนกลและสะสมอาวุธ เพื่อใช้โจมตีใส่ฝ่ายไทย ในพื้นที่ตรงข้ามจุดผ่อนปรนทางการค้าบ้านตาพระยา อ.ตาพระยา จ.สระแก้ว * ข่าว * การเมือง * ความมั่นคง * กรณีพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา
dlvr.it
December 9, 2025 at 10:41 AM
ก.วัฒนธรรมกัมพูชา ประณามไทยโจมตีปราสาทตาควาย
ก.วัฒนธรรมกัมพูชา ประณามไทยโจมตีปราสาทตาควาย
ก.วัฒนธรรมกัมพูชา ประณามไทยโจมตีปราสาทตาควาย auser15 Tue, 2025-12-09 - 16:47 กระทรวงวัฒนธรรมกัมพูชาประณามไทยโจมตีปราสาทตาควาย ทำลายแหล่งมรดกทางวัฒนธรรม เรียกร้องนานาชาติ UNESCO และประชาคมอาเซียน ร่วมกันประณามการกระทำนี้ - ด้านกองทัพภาคที่ 2 ของไทยระบุทหารกัมพูชาใช้ปราสาทตาควายเป็นที่ทำการทางทหาร 9 ธันวาคม 2568 เว็บไซต์ Agence Kampuchea Presse รายงานว่า กระทรวงวัฒนธรรมและวิจิตรศิลป์กัมพูชาออกแถลงการณ์ประณามอย่างรุนแรงต่อการโจมตีทางทหารของไทยต่อดินแดนกัมพูชา ซึ่งได้ทำลายโครงสร้างพื้นฐานของพลเรือน รวมถึงแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมอันศักดิ์สิทธิ์อย่าง 'ปราสาทตาควาย' [วัดตาเกรเบย (Ta Krabey Temple)] กระทรวงฯ เน้นย้ำว่า การกระทำที่น่าตำหนินี้สะท้อนให้เห็นถึงการขาดคุณธรรมอย่างลึกซึ้ง และเป็นการเพิกเฉยต่อวัฒนธรรม อารยธรรม และมรดกอันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมรดกร่วมกันของมนุษยชาติ นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม ปราสาทพระวิหาร ก็ได้รับความเสียหายเช่นกัน โดยสิ่งอำนวยความสะดวกในการอนุรักษ์ภายใต้โครงการร่วมกัมพูชา–อินเดียถูกทำลายทั้งหมด กระทรวงวัฒนธรรมฯ เรียกร้องให้หน่วยงานระดับชาติและนานาชาติทั้งหมด โดยเฉพาะ UNESCO และประชาคมอาเซียน ร่วมกันประณามการกระทำเหล่านี้ และเรียกร้องให้กองทัพไทยยุติการทำลายทั้งหมดโดยทันที พร้อมยืนยันว่าจะใช้กลไกทั้งหมดที่มีอยู่ เพื่อให้ประเทศไทยต้องรับผิดชอบภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศต่อการกระทำที่ผิดศีลธรรมนี้ และเพื่อให้การกระทำอันเป็นภัยเหล่านี้ถูกบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติอย่างเป็นทางการ กองทัพภาคที่ 2 ของไทยระบุทหารกัมพูชามีใช้ปราสาทตาควายเป็นที่ทำการทางทหาร ด้าน รายงานข่าวจากกองทัพภาคที่ 2 เปิดเผยว่า ฝ่ายกัมพูชายังคงใช้อาวุธหนัก BM-21 และปืนใหญ่ ยิงเข้ามายังฝั่งไทยอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ทหารกัมพูชามีการใช้ปราสาทตาควายที่เป็นโบราณสถานเป็นฐานที่ตั้งและที่ทำการทางทหาร ซึ่งกัมพูชาไม่เคยที่จะให้ความสำคัญในเรื่องของโบราณสถาน ถือเป็นการละเมิดอนุสัญญากรุงเฮกว่าด้วยการคุ้มครองทรัพย์สินทางวัฒนธรรมในกรณีพิพาททางอาวุธ ค.ศ. 1954 (Hague Convention 1954) ซึ่งทางฝ่ายกัมพูชา ยังคงกระทำมาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเมื่อเวลา 10.30 น. ทหารไทยได้ยิงฐานปฏิบัติการทางทหารกัมพูชาที่อยู่บริเวณปราสาทตาควาย หลังจากที่ทหารไทยถูกโจมตีด้วยอาวุธทางทหารของกัมพูชาบนปราสาทตาควายอย่างหนัก * ข่าว * การเมือง * ความมั่นคง * กรณีพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา * ปราสาทตาควาย
dlvr.it
December 9, 2025 at 9:55 AM
กสม.กัมพูชาแจ้งทูตฝรั่งเศส กรณีนักข่าว France 24 รายงาน “ไทยโจมตีเพื่อป้องกันตัวเอง”
กสม.กัมพูชาแจ้งทูตฝรั่งเศส กรณีนักข่าว France 24 รายงาน “ไทยโจมตีเพื่อป้องกันตัวเอง”
กสม.กัมพูชาแจ้งทูตฝรั่งเศส กรณีนักข่าว France 24 รายงาน “ไทยโจมตีเพื่อป้องกันตัวเอง” auser15 Tue, 2025-12-09 - 16:30 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนกัมพูชา (CHRC) ส่งจดหมายถึงเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศสประจำราชอาณาจักรกัมพูชา เกี่ยวกับพฤติกรรมของ 'แมตต์ ฮันต์' นักข่าวอิสระที่ทำงานให้กับสถานีโทรทัศน์ France 24 ประจำประเทศไทย รายงานว่า “ไทยโจมตีเพื่อป้องกันตัวเอง” ระบุมูลดังกล่าวไม่เพียงแต่ให้ข้อมูลที่ผิดพลาดแก่สาธารณชนระหว่างประเทศเท่านั้น แต่ยังเสี่ยงต่อการเพิ่มความตึงเครียดในสถานการณ์ที่ตึงเครียดอยู่แล้วอีกด้วย 9 ธันวาคม 2568 PPTV รายงานว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนกัมพูชา (CHRC) ได้ส่งจดหมายถึง โอลิวิเยร์ ริชาร์ด เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศสประจำราชอาณาจักรกัมพูชา เกี่ยวกับพฤติกรรมของ “แมตต์ ฮันต์” นักข่าวอิสระที่ทำงานให้กับสถานีโทรทัศน์ France 24 ของฝรั่งเศส ประจำประเทศไทย CHRC ระบุว่า คำร้องเรียนดังกล่าวเกี่ยวข้องกับการรายงานข่าวที่ลำเอียงและข้อคิดเห็นที่ขัดแย้งของฮันต์เกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างกัมพูชาและไทยเมื่อวันที่ 8 ธ.ค. 68 CHRC ชี้ว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทความที่ใช้ชื่อเรื่องว่า “ประเทศไทยเปิดฉากโจมตีทางอากาศเพื่อป้องกันตนเองหลังการปะทะตามแนวชายแดนที่ทำให้ทหารไทยเสียชีวิต” CHRC แสดงความกังวลอย่างยิ่งต่อรายงานดังกล่าว เนื่องจากรายงานดังกล่าวนำเสนอเรื่องราวที่มุ่งหมายเพื่อผลประโยชน์ของตนเองโดยการบิดเบือน ไม่ได้สะท้อนสถานการณ์ที่แท้จริงบริเวณชายแดนกัมพูชา-ไทย และไม่เป็นไปตามมาตรฐานการรายงานข่าวที่นักข่าวต้องยึดถือ ซึ่งเป็นพื้นฐานของความถูกต้อง ความเป็นกลาง และความเป็นธรรม CHRC บอกว่า การไม่วิพากษ์วิจารณ์การโจมตีทางอากาศและรายงานว่าเป็น “การป้องกันตนเอง” ทำให้รายงานนี้อาศัยข้ออ้างที่ไร้เหตุผล มองข้ามหลักฐานที่ตรวจสอบได้ ซึ่งรวมถึงหลายกรณีที่กองทัพไทยได้ริเริ่มการสู้รบอย่างชัดเจนภายในดินแดนกัมพูชา ส่งผลให้พลเรือนเสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก ครอบครัวจำนวนมากต้องพลัดถิ่น และทรัพย์สินส่วนบุคคลและโครงสร้างพื้นฐานของพลเรือนถูกทำลายอย่างกว้างขวาง CHRC เน้นย้ำว่า การบิดเบือนข้อมูลดังกล่าวไม่เพียงแต่ให้ข้อมูลที่ผิดพลาดแก่สาธารณชนระหว่างประเทศเท่านั้น แต่ยังเสี่ยงต่อการเพิ่มความตึงเครียดในสถานการณ์ที่ตึงเครียดอยู่แล้วอีกด้วย CHRC บอกว่า การรายงานที่ไม่ถูกต้องซึ่งมุ่งเป้าไปที่การสร้างความบิดเบือนและใช้เป็นกลยุทธ์ในการดำเนินการในสถานการณ์ความขัดแย้ง อาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่อความปลอดภัยและศักดิ์ศรีของพลเรือนที่ได้รับผลกระทบ และบั่นทอนหลักการของการสื่อสารมวลชนอย่างมีความรับผิดชอบ ซึ่งเป็นสิ่งที่คาดหวังจากองค์กรสื่อระหว่างประเทศที่มีชื่อเสียง ยิ่งไปกว่านั้น การให้ข้อมูลที่คลาดเคลื่อนเช่นนี้ยังบั่นทอนสิทธิของสาธารณชนในการเข้าถึงข้อมูลที่เป็นจริง เป็นกลาง และเชื่อถือได้ ซึ่งเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานที่ได้รับการยอมรับตามมาตรฐานสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ สิทธิในการเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญยิ่งต่อการสร้างความโปร่งใส ความรับผิดชอบ และการคุ้มครองประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้ง CHRC ระบุเพิ่มเติมว่า France 24 เป็นสำนักข่าวต่างประเทศรายใหญ่ของสาธารณรัฐฝรั่งเศส และการรายงานข่าวของ France 24 อาจถูกมองไปทั่วโลกว่าสะท้อนหรืออย่างน้อยก็มีอิทธิพลต่อสถานะของรัฐบาลฝรั่งเศส ด้วยเหตุนี้ การรับรองการรายงานข่าวที่มีแหล่งข้อมูลครบถ้วน การวิเคราะห์ที่เป็นกลาง และการตรวจสอบหลักฐานจึงเป็นสิ่งสำคัญ และควรดำเนินการตามมาตรฐานสูงสุดของความเป็นมืออาชีพด้านวารสารศาสตร์ เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและการเข้าถึงข้อมูล กัมพูชาจึงรายงานข้อมูลที่ตรวจสอบแล้วและรายงานความคืบหน้าอย่างเป็นทางการทั้งภาษาอังกฤษ เกี่ยวกับข้อพิพาทชายแดนระหว่างกัมพูชาและไทยอยู่เสมอ CHRC ขอความกรุณาให้นักข่าว France 24 ดำเนินการศึกษาอย่างละเอียดถี่ถ้วน รวมถึงข้อมูลจากฝ่ายกัมพูชา เพื่อหลีกเลี่ยงการรายงานข่าวด้านเดียวที่อาจนำไปสู่ความตึงเครียดที่เพิ่มมากขึ้น และให้ยึดมั่นในหลักการของการสื่อสารมวลชนอย่างมีความรับผิดชอบและจริยธรรมวิชาชีพ มากกว่าการรายงานข่าวที่สร้างความเข้าใจผิดและมีแรงจูงใจทางการเมือง ด้วยความกังวลอย่างจริงจังเหล่านี้ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนกัมพูชาจึงขอความกรุณาให้เอกอัครราชทูตพิจารณาติดต่อ France 24 และกองบรรณาธิการเพื่อ 1) ตรวจสอบและแก้ไขเนื้อหาที่สร้างความเข้าใจผิดและไม่มีมูลความจริงของข้อมูลดังกล่าวข้างต้นโดยทันที 2) เพื่อให้แน่ใจว่าการรายงานข่าวเกี่ยวกับความตึงเครียดบริเวณชายแดนกัมพูชา-ไทยในอนาคตเป็นไปตามมาตรฐานการสื่อสารมวลชนระหว่างประเทศ รวมถึงการให้ความสำคัญกับผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนจากปฏิบัติการทางทหารอย่างใกล้ชิดผ่านการตรวจสอบความร่วมมือ แทนที่จะยึดตามข้อกล่าวอ้างและการประเมินที่ปักธงไว้แล้ว * ข่าว * ต่างประเทศ * กัมพูชา * กรณีพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา
dlvr.it
December 9, 2025 at 9:33 AM
กัมพูชาประณามกองทัพไทยโจมตีต่อเนื่อง พลเรือนเสียชีวิต 7 ราย บาดเจ็บ 20 ราย
กัมพูชาประณามกองทัพไทยโจมตีต่อเนื่อง พลเรือนเสียชีวิต 7 ราย บาดเจ็บ 20 ราย
กัมพูชาประณามกองทัพไทยโจมตีต่อเนื่อง พลเรือนเสียชีวิต 7 ราย บาดเจ็บ 20 ราย auser15 Tue, 2025-12-09 - 16:05 สื่อ The Phnom Penh Post รายงาน กระทรวงกลาโหมกัมพูชาประณามกองทัพไทยโจมตีต่อเนื่อง พลเรือนเสียชีวิต 7 ราย บาดเจ็บ 20 ราย ภาพจาก: The Phnom Penh Post 9 ธันวาคม 2568 เว็บไซต์ The Phnom Penh Post รายงานว่า กระทรวงกลาโหมกัมพูชา รายงานเบื้องต้นว่า กองทัพไทยยังคงโจมตีดินแดนกัมพูชาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงมีรายงานการใช้ควันพิษ โดยการยิงปืนใหญ่และโจมตีทางอากาศของทหารไทยทำให้มี พลเรือนชาวกัมพูชาเสียชีวิตอย่างน้อย 7 ราย และบาดเจ็บ 20 ราย เมื่อเวลา 06:00 น. ของเช้าวันที่ 9 ธ.ค. โฆษกกระทรวงฯ ระบุว่าตั้งแต่คืนวันจันทร์ถึงเช้าวันนี้ (9 ธ.ค.) กองทัพไทยได้ระดมยิงอย่างหนักบริเวณหมู่บ้านช็อกเจยและเปรยจาน บินโดรนสอดแนม และขยายปฏิบัติการเข้าไปในหลายพื้นที่ของจังหวัดบันเตียเมียนเจยและพระตะบอง โดยใช้ยุทโธปกรณ์หนัก กระทรวงฯ ประณามการโจมตีดังกล่าวว่า "ไร้มนุษยธรรมและโหดเหี้ยม" โดยเน้นย้ำว่าฝ่ายไทยได้ละเมิดข้อตกลงหยุดยิงและปฏิญญาร่วมว่าด้วยข้อตกลงสันติภาพกัมพูชา–ไทยที่ลงนามเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม อย่างชัดเจน นอกจากนี้ ยังมีการรายงานว่า ฝ่ายไทยได้เล็งเป้าหมายไปที่พลเรือนโดยยิงเข้าไปในหมู่บ้านพลเรือน และในบางแห่งยิงลึกเข้าไปในดินแดนกัมพูชาถึง 28 กิโลเมตร กระทรวงกลาโหมกัมพูชายืนยันว่า กองทัพกัมพูชาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องใช้สิทธิในการป้องกันตนเอง เพื่อปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของประเทศจาก "การรุกรานที่ป่าเถื่อนและโหดร้าย" ของกองทัพไทย * ข่าว * การเมือง * ต่างประเทศ * ความมั่นคง * กัมพูชา * กรณีพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา
dlvr.it
December 9, 2025 at 9:10 AM
นานาชาติเรียกร้อง 'ไทย-กัมพูชา' หยุดยิง เตือนพลเมืองเลี่ยงชายแดน
นานาชาติเรียกร้อง 'ไทย-กัมพูชา' หยุดยิง เตือนพลเมืองเลี่ยงชายแดน
นานาชาติเรียกร้อง 'ไทย-กัมพูชา' หยุดยิง เตือนพลเมืองเลี่ยงชายแดน auser15 Tue, 2025-12-09 - 15:42 สื่อ Thai PBS รายงาน หลายชาติแสดงความกังวลเหตุการณ์สู้รบชายแดนไทย-กัมพูชา เรียกร้องให้ทั้ง 2 ประเทศอดทนอดกลั้นและทำตามข้อตกลงหยุดยิง พร้อมเตือนพลเมืองในไทยและกัมพูชาหลีกเลี่ยงพื้นที่ชายแดน 9 ธันวาคม 2568 Thai PBS รายงานว่า สถานการณ์สู้รบระหว่างไทยและกัมพูชาระลอกล่าสุด ซึ่งเริ่มปรากฏภาพความเสียหายในพื้นที่ชายแดนและความสูญเสียต่อกำลังพล สร้างความกังวลให้กับนานาชาติที่ออกมาเรียกร้องให้ทั้ง 2 ประเทศใช้ความอดทนอดกลั้นและปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงที่ได้ลงนามร่วมกัน ขณะเดียวกันสถานเอกอัครราชทูตของประเทศต่างๆ ในไทย เตือนพลเมืองให้เลี่ยงพื้นที่ชายแดนติดกับกัมพูชาในช่วงนี้ รัฐบาลออสเตรเลีย ออกแถลงการณ์แสดงความกังวลอย่างยิ่งต่อสถานการณ์ตึงเครียดที่ทวีความรุนแรงตามแนวชายแดนกัมพูชา-ไทย ซึ่งมีรายงานการสูญเสียชีวิตทั้งพลเรือนและทหาร พร้อมเรียกร้องให้ทั้ง 2 ฝ่ายปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงและปฏิบัติตามพันธกรณีภายใต้ปฏิญญาร่วมกัวลาลัมเปอร์ ที่ได้รับการสนับสนุนจากประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาและนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน และขอให้ใช้ความอดกลั้นอย่างที่สุด ดำเนินมาตรการเร่งด่วนเพื่อลดความรุนแรงของสถานการณ์ รวมถึงแสวงหาวิธีแก้ไขปัญหาข้อพิพาทชายแดนอย่างสันติและยั่งยืน ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น เผยแพร่แถลงการณ์มีเนื้อหาระบุว่า รัฐบาลญี่ปุ่นกังวลอย่างยิ่งต่อสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างกัมพูชาและไทยที่กำลังทวีความรุนแรงขึ้นอีกครั้ง พร้อมทั้งระบุว่ารัฐบาลญี่ปุ่นกำลังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ญี่ปุ่นยังย้ำข้อเรียกร้องให้ทั้ง 2 ฝ่ายปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิง ใช้ความอดทนอดกลั้นอย่างที่สุดและแสวงหาทางออกอย่างสันติผ่านการเจรจา โดยญี่ปุ่นจะยังคงพยายามอย่างต่อเนื่อง ประสานงานกับประเทศที่เกี่ยวข้องรวมถึงสหรัฐอเมริกาและมาเลเซีย เพื่อส่งเสริมการลดระดับความตึงเครียดของสถานการณ์ เช่นเดียวกับนายอันโตนิโอ กูเตร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ แถลงผ่านโฆษก แสดงความกังวลต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเช่นกัน พร้อมทั้งเรียกร้องเรียกร้องให้ทั้ง 2 ฝ่ายใช้ความอดทนอดกลั้น หลีกเลี่ยงการยกระดับสถานการณ์และย้ำข้อเรียกร้องให้กลับไปยึดมั่นในข้อตกลงหยุดยิง ส่วนสหภาพยุโรป เรียกร้องให้ไทยและกัมพูชาใช้ความอดกลั้นอย่างที่สุด พร้อมแสดงความพร้อมที่จะสนับสนุนมาตรการที่ทั้ง 2 ฝ่ายตกลงร่วมกัน โดยมีเป้าหมายเพื่อลดระดับความรุนแรง ซึ่งรวมถึงการเก็บกู้ทุ่นระเบิด หลายชาติเตือนพลเมืองเลี่ยงชายแดนไทย-กัมพูชา สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาในไทย เตือนพลเมืองให้หลีกเลี่ยงการเดินทางทั้งหมดภายในรัศมี 50 กิโลเมตรจากชายแดนไทย-กัมพูชา เนื่องจากสถานการณ์การปะทะที่กำลังดำเนินอยู่ พร้อมทั้งขอให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ไทย เช่นเดียวกับสถานทูตสหรัฐฯ ในกัมพูชา ออกคำแนะนำให้ชาวอเมริกันหลีกเลี่ยงพื้นที่เสี่ยงและเตือนถึงการยกระดับความรุนแรงทางทหารครั้งใหญ่ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ก่อนหน้านี้ สถานเอกอัครราชทูตอิสราเอล โพสต์เตือนเกี่ยวกับสถานการณ์ในพื้นที่ จ.ศรีสะเกษ พร้อมขอให้พลเมืองหลีกเลี่ยงการเข้าไปในพื้นที่เช่นกัน ขณะที่สถานเอกอัครราชทูตฟิลิปปินส์ โพสต์เตือนพลเมืองใน จ.อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สระแก้ว บุรีรัมย์ จันทบุรีและตราด ให้เฝ้าระวังสถานการณ์และปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น เพื่อความปลอดภัย ส่วนสถานเอกอัครราชทูตไทยในกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ เตือนให้ชาวไทยในเกาหลีเพิ่มความระมัดระวังในการเดินทางไปพื้นที่ที่มีชุมชนกัมพูชาจำนวนมาก โดยเฉพาะในช่วงเวลากลางคืน กรณีมีเหตุฉุกเฉินหรือพบเหตุการณ์ที่อาจเป็นอันตราย ขอให้รีบติดต่อหน่วยงานตำรวจเกาหลี หมายเลข 112 หรือสามารถติดต่อสถานเอกอัครราชทูตไทยในกรุงโซล เพื่อขอคำแนะนำหรือความช่วยเหลือได้ที่โทรศัพท์ฉุกเฉินของสถานเอกอัครราชทูตฯ 010-6747-0095 และ 010-3099-2955 * ข่าว * การเมือง * ต่างประเทศ * ความมั่นคง * กรณีพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา
dlvr.it
December 9, 2025 at 8:48 AM
กกท. แจ้งความเอาผิดคนโปรโมทเว็บพนัน ช่วงกีฬาซีเกมส์
กกท. แจ้งความเอาผิดคนโปรโมทเว็บพนัน ช่วงกีฬาซีเกมส์
กกท. แจ้งความเอาผิดคนโปรโมทเว็บพนัน ช่วงกีฬาซีเกมส์ auser15 Tue, 2025-12-09 - 15:17 กกท.เผยแจ้งความ สน.หัวหมากแล้ว หลังพบกลุ่มคนชูป้ายโฆษณาเว็บพนันระหว่างถ่ายทอดสดฟุตบอลชาย ลาว-เวียดนาม ซีเกมส์ครั้งที่ 33 ที่ราชมังฯ เมื่อ 3 ธ.ค. ดำเนินคดีทั้ง พ.ร.บ.การพนัน และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ รวมถึงเจ้าของเว็บ 9 ธันวาคม 2568 กองประชาสัมพันธ์ กกท. แจ้งข่าวว่า จากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2568 ที่ผ่านมา ได้มีการพบเห็น กลุ่มสุภาพสตรีเข้าชมเกมส์การแข่งขันฟุตบอลชาย ในการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 และได้ชูป้ายหรือผ้าพันคอโปรโมทเว็บพนัน ผ่านการถ่ายทอดสด ช่วงระหว่างเกมส์การแข่งขันฟุตบอลชาย คู่ทีมชาติลาว พบกับ ทีมชาติเวียดนาม ณ ราชมังคลากีฬาสถาน นั้น  ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) เปิดเผยว่า เรื่องดังกล่าว ขณะนี้การกีฬาแห่งประเทศไทย มิได้นิ่งนอนใจแต่อย่างใด และได้ทำการดำเนินคดีตามกฎหมายเกี่ยวกับการพนัน และการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์กับกลุ่มสุภาพสตรีกลุ่มนั้น รวมทั้งเจ้าของเว็บพนันด้วย เนื่องจากพฤติกรรม และการกระทำดังกล่าว เป็นการช่วยประกาศโฆษณาหรือชักชวนโดยทางตรงหรือทางอ้อมให้ผู้อื่นเข้าเล่นหรือเข้าพนัน ในการเล่นซึ่งมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานหรือรับอนุญาตเป็นการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 มาตรา 12 และ ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 มาตรา 14 ถือว่าเป็นการนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่ น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน ทั้งนี้ การกีฬาแห่งประเทศไทย ได้ดำเนินการขอร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน  สถานีตำรวจนครบาลหัวหมาก เรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2568 ที่ผ่านมา เพื่อติดตามจับกุมตัวผู้กระทำความผิด มาดำเนินคดีตามกฎหมายให้ถึงที่สุด * ข่าว * สังคม * คุณภาพชีวิต * กีฬา * การกีฬาแห่งประเทศไทย * กกท. * เว็บพนัน * ซีเกมส์
dlvr.it
December 9, 2025 at 8:26 AM
พปชร. แจงภาพ 'พล.อ.ประวิตร' ร่วมงานแต่งที่กัมพูชา ประสานงานตามภารกิจ ไม่สนิทส่วนตัว
พปชร. แจงภาพ 'พล.อ.ประวิตร' ร่วมงานแต่งที่กัมพูชา ประสานงานตามภารกิจ ไม่สนิทส่วนตัว
พปชร. แจงภาพ 'พล.อ.ประวิตร' ร่วมงานแต่งที่กัมพูชา ประสานงานตามภารกิจ ไม่สนิทส่วนตัว auser15 Tue, 2025-12-09 - 15:03 โฆษก พปชร. แจงภาพ 'พล.อ.ประวิตร' ร่วมงานแต่งที่กัมพูชา เป็นภาพเก่าช่วงปี 2559 หรือ 2560 เดินทางไปปฏิบัติภารกิจในประเทศกัมพูชาเพื่อเข้าร่วมการประชุมระดับประเทศ ยันเป็นการประสานงานตามภารกิจ ไม่สนิทส่วนตัว - ชี้การนำภาพเก่าที่เกิดขึ้นตามบริบททางการทูตและการประสานงานในอดีตมาเชื่อมโยงหรือเผยแพร่ในปัจจุบันอาจทำให้เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน 9 ธันวาคม 2568 สำนักข่าวไทย รายงานว่า พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย โฆษกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ชี้แจงกรณีมีการเผยแพร่ภาพถ่าย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค พปชร. พร้อมด้วย พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา อดีต ผบ.ตร. ขณะเข้าร่วมงานมงคลสมรสที่ประเทศกัมพูชา โดยภาพดังกล่าวเป็นภาพเก่าที่ถูกถ่ายขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ. 2559 หรือ 2560 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ผ่านไปแล้วเกือบสิบปี โดยในขณะนั้น คณะของ พล.อ.ประวิตร ได้เดินทางไปปฏิบัติภารกิจในประเทศกัมพูชา เพื่อเข้าร่วมการประชุมระดับประเทศ ระดับรัฐมนตรี และระดับภูมิภาคหลายครั้ง เนื่องจากความร่วมมือระหว่างสองประเทศมีความต่อเนื่องในช่วงเวลานั้น โฆษกพรรคฯ ระบุว่า ในระหว่างการเดินทางดังกล่าว คณะได้รับเชิญให้ไปร่วมงานแต่งงานของบุตรสาว นายลียงพัด (หรือนายพัด สุดลาภา) ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นนักธุรกิจและทำหน้าที่เป็น ผู้ประสานงานคนสนิทของ นายฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ในขณะนั้น โดยเป็นการเข้าร่วมในฐานะ "แขกผู้ใหญ่จากต่างประเทศ" ที่ได้รับคำเชิญตามธรรมเนียมการปฏิบัติ พร้อมยืนยันว่า พล.อ.ประวิตร ไม่ได้มีความรู้จักหรือสนิทสนมเป็นการส่วนตัว กับ นายลียงพัด แต่อย่างใด และบทบาทของนายลียงพัดก็เป็นเพียงผู้ประสานงานในการประชุมระหว่างประเทศเท่านั้น การนำภาพเก่าที่เกิดขึ้นตามบริบททางการทูตและการประสานงานในอดีตมาเชื่อมโยงหรือเผยแพร่ในปัจจุบันอาจทำให้เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน นอกจากนี้ ในช่วง พ.ศ. 2564 ทางรัฐบาลพลังประชารัฐได้มีการจับกุมแก๊งคอลเซนเตอร์รายใหญ่ และ การจับกุมบัญชีม้า เพื่อเป็นการตัดช่องทางและเส้นทางการเงินประเทศ โดยได้ออกกฏหมายที่สำคัญ คือ พรก. มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 ทำให้เจ้าหน้าที่รัฐและผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือสามารถระงับหมายเลขที่ต้องสงสัยได้ และกำหนดให้ผู้ให้บริการต่างๆ มีส่วนร่วมรับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้นมากขึ้น เพื่อลดผลกระทบที่เกิดขึ้นกับประชาชนให้มากที่สุด * ข่าว * การเมือง * พรรคพลังประชารัฐ * ประวิตร วงษ์สุวรรณ
dlvr.it
December 9, 2025 at 8:07 AM
เลื่อนสอบ TGAT และ TPAT ชายแดนไทย-กัมพูชา
เลื่อนสอบ TGAT และ TPAT ชายแดนไทย-กัมพูชา
เลื่อนสอบ TGAT และ TPAT ชายแดนไทย-กัมพูชา auser15 Tue, 2025-12-09 - 14:00 อว. เห็นชอบ เลื่อนการสอบ TGAT และ TPAT ในพื้นที่ 7 จังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา 9 ธันวาคม 2568 สำนักข่าวไทย รายงานว่า นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และ นวัตกรรม (อว.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา กระทรวง อว. ได้หารือกับ ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) ในพิจารณาการเลื่อนการสอบ TGAT/TPAT2-5 ที่ตามกำหนดเดิมจะมีขึ้นในระหว่างวันที่ 13 -15 ธันวาคมนี้ ในพื้นที่ที่มีสถานการณ์คาดตึงเครียดชายแดนไทย-กัมพูชา เช่นเดียวกับพื้นที่ที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ที่ได้ประกาศไปแล้วหรือไม่ โดยที่ประชุมได้เห็นชอบร่วมกันในการเลื่อนการทดสอบดังกล่าวในพื้นที่ 7 จังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชาออกไปก่อน ได้แก่ จังหวัดตราด จันทบุรี สระแก้ว บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี เพื่อความปลอดภัยในสวัสดิภาพของนักเรียน และบุคลากรที่เกี่ยวข้อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และ นวัตกรรม (อว.) กล่าวต่อไปว่า สำหรับกำหนดการใหม่ของการสอบ TGAT และ TPAT ในพื้นที่ 7 จังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ขณะนี้ทาง ทปอ.อยู่ระหว่างการพิจารณา ซึ่งคาดจะทราบความชัดเจนในช่วงเย็นวันนี้ ทั้งนี้ในพื้นที่อื่นๆ นอกเหนือจากพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา และ พื้นประสบอุทกภัยภาคใต้ จะยังคงมีการสอบ TGAT และ TPAT ในวันที่ 13-15 ธันวาคมนี้ตามปกติ * ข่าว * การเมือง * การศึกษา * ความมั่นคง * TGAT * TPAT * กรณีพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา
dlvr.it
December 9, 2025 at 7:04 AM
กลาโหมชี้แจง 5 ประเด็นต้องตอบโต้กัมพูชา
กลาโหมชี้แจง 5 ประเด็นต้องตอบโต้กัมพูชา
กลาโหมชี้แจง 5 ประเด็นต้องตอบโต้กัมพูชา auser15 Tue, 2025-12-09 - 13:36 โฆษกกระทรวงกลาโหม ชี้แจง 5 ประเด็นหลักสำคัญที่ทำให้ไทยต้องตอบโต้กัมพูชา ยืนยันฝ่ายไทยยึดหลักกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ มุ่งหาสันติภาพและทำให้ประเทศชาติมีความปลอดภัยมั่นคง - ทบ.ชี้อุปสรรคสนามทุ่นระเบิด เหตุควบคุมพื้นที่ปราสาทคนาไม่ได้เบ็ดเสร็จ เหตุกัมพูชาใช้สนามทุ่นระเบิดขัดขวาง ส่วน "บ้านหนองหญ้าแก้ว" จ.สระแก้ว สามารถยึดและควบคุมพื้นที่เรียบร้อยแล้ว - สรุปตัวเลขทหาร เสียชีวิตเหตุปะทะไทย-กัมพูชา ในช่วงวันที่ 8 - 9 ธ.ค.68 รวมทหารเสียชีวิต 3 นาย 9 ธันวาคม 2568 พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม นำทีมโฆษกเหล่าทัพร่วมแถลงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า จากกรณีเหตุปะทะเมื่อวานนี้ (8 ธ.ค.) ฝ่ายกัมพูชา มีการโจมตีอย่างต่อเนื่อง ทั้งอาวุธที่มีอำนาจทำลายล้างสูง และมีการใช้ BM 21 เข้ามาโจมตียังพื้นที่พลเรือน ส่งผลให้ต้องอพยพประชาชนไปยังศูนย์พักพิง ขณะที่ฝ่ายกัมพูชามีลักษณะการเคลื่อนย้ายอาวุธยิงระยะไกล เข้ามาในพื้นที่ของไทย ทั้งนี้กระทรวงการต่างประเทศ ได้แถลงการณ์ให้กับคณะทูต ตลอดจนองค์กรระหว่างประเทศจำนวน 73 ประเทศ ไปแล้วโดยเน้นย้ำในเรื่อง 5 ประเด็นสำคัญซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้ไทยไม่สามารถอดทนอดกลั้นจากสถานการณ์ดังกล่าวได้คือ 1 สถานการณ์นี้แสดงให้เห็นว่า การกระทำแบบเดิมของกัมพูชา รุกรานไทย รวมถึงการยั่วยุในรูปแบบต่างๆ การลอบวางทุ่นระเบิดของกัมพูชา ถึงแม้ว่ากัมพูชาจะพยายามสร้างภาพเรียกร้องสันติภาพ แต่กลับเป็นฝ่ายยั่วยุต่างๆ ก่อนเสมอ 2.ไทยมุ่งมั่นปกป้องอธิปไตย และ บูรณภาพดินแดน เพราะฉะนั้นจึงจำเป็นต้องดำเนินการทางทหารจนถึงที่สุดเพื่อปกป้องอธิปไตย และบูรณภาพแห่งดินแดน 3.ประชาชนคนไทยหมดความอดทน อดกลั้น ต่อการดำเนินการของกัมพูชาที่ไม่ได้คำนึงถึงศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิของประเทศไทย รวมถึงการที่คนไทยต้องเผชิญกับภัยคุกคามกับความปลอดภัยครั้งแล้วครั้งเล่า ดังนั้นรัฐบาลไทยจึงต้องใช้ให้ความสำคัญสูงสุดในการปกป้องอธิปไตยและประชาชนทั้งชีวิตและทรัพย์สินจนกว่าอธิปไตยและบูรณภาพดินแดนของไทยจะไม่ถูกคุกคาม 4. ท่าทีของไทยรวมถึงการปฏิบัติการทางทหารจะดำเนินไปจนกว่า กัมพูชาต้องเปลี่ยนแปลงจุดยืนเช่นการกลับเข้ามาสู่ทางเดินสันติภาพที่แท้จริง 5. กัมพูชาเป็นฝ่ายละเมิดข้อตกลงต่างๆ รวมถึงข้อตกลงหยุดยิง และ ถ้อยแถลงร่วมที่ได้มีการลงนาม ที่ กรุงกัวลาลัมเปอร์ประเทศมาเลเซีย ที่ผ่านมาด้วย ซึ่งทั้ง 5 ประเด็นสำคัญที่ทำให้ไทยหมดความอดทนอดกลั้น ทำให้จำเป็นต้องตอบโต้การยิงของฝ่ายกัมพูชา ทั้งนี้ยืนยันว่า ฝ่ายไทยดำเนินการต่างๆ ตามหลักมนุษยธรรม โดยยึดหลักกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ที่มีเป้าหมายเพื่อจำกัดความรุนแรงของการปะทะโดยเน้นการคุ้มครอง พลเรือนผู้บาดเจ็บ แยกแยะเป้าหมาย ความเป็นสัดส่วนและความจำเป็นทางทหาร ต่างจากอาวุธที่ทางฝ่ายกัมพูชาใช้โดยสิ้นเชิง ที่ได้ส่งผลเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินของพลเรือนผู้บริสุทธิ์ การปฏิบัติการทางฝ่ายไทย เป็นการปฏิบัติที่เน้นในเรื่องของการโจมตีเป้าหมายทางทหารเพื่อลิดรอนขีดความสามารถทางทหารของกัมพูชาเท่านั้น ขณะที่การใช้อาวุธของกัมพูชายังคงเป็นลักษณะในการมุ่ง ไปยังเป้าหมายของพลเรือนผู้บริสุทธิ์ และสถานที่พลเรือน สถานพยาบาลต่างๆ ซึ่งเป็นการมุ่งหวังให้เกิดความโกลาหลและตื่นตระหนกของประชาชนผู้บริสุทธิ์ พร้อมเน้นย้ำว่า ไทยต้องการสันติภาพ แต่สันติภาพนั้นจะต้องมาพร้อมกับความปลอดภัยและความมั่นคงของประชาชนเป็นสำคัญ ทบ.ชี้อุปสรรคสนามทุ่นระเบิด เหตุควบคุมพื้นที่ปราสาทคนาไม่ได้เบ็ดเสร็จ พ.อ.ริชฌา สุขสุวานนท์ รองโฆษกกองทัพบก แถลงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า ตั้งแต่วันที่ 8 ธ.ค.ที่ผ่านมา การปะทะขยายวงครอบคลุมในพื้นที่อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และสระแก้ว ซึ่งกัมพูชาใช้อาวุธทุกประเภทเข้าโจมตีฝ่ายไทย ทั้งอาวุธกล อาวุธยิงสนับสนุน ปืนใหญ่ จรวดหลายลำกล้อง โดรนทิ้งระเบิด กองทัพบกใช้แผนเผชิญเหตุ โดยมีความมุ่งหมายป้องกันตัวเอง ควบคู่การผลักดันพื้นที่ที่ถูกรุกล้ำอธิปไตย และที่สำคัญต้องทำลายศักยภาพการโจมตีของทหารกัมพูชา เพื่อไม่ให้สามารถกลับมาเป็นภัยคุกคามต่อประเทศไทยได้อีก ผลการปฏิบัติที่สำคัญที่ผ่านมา ในพื้นที่ของกองทัพภาคที่ 2 วันนี้ได้ทำลายตึกกาสิโนร้าง ซึ่งเป็นเครือข่ายสแกมเมอร์ ที่พบว่าใช้เป็นที่ตั้งทางทหาร จุดปล่อยโดรน รวมถึงอาวุธสนับสนุนต่าง ๆ ในพื้นที่ช่องอานม้า อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี รวมถึงได้ตัดกำลังทำลายเสาสัญญาณแอนตี้โดรนในพื้นที่ อ.กันทรลักษณ์ จ.ศรีสะเกษ นอกจากนี้ ยังได้ผลักดันทหารกัมพูชาที่ปราสาทคนา อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ ปัจจุบันยังไม่สามารถเข้าควบคุมพื้นที่ได้อย่างเบ็ดเสร็จ เนื่องจากพบว่าฝ่ายกัมพูชาใช้สนามทุ่นระเบิดจำนวนมากในบริเวณดังกล่าว ส่วนพื้นที่ปราสาทตาควาย ได้ทำลายกระเช้าที่ใช้ในการส่งเสบียง บริเวณเนิน 350 เป็นที่สำเร็จ ขณะนี้ยังมีความพยายามเข้ากระทำต่อพื้นที่ต่อไป สรุปตัวเลขทหาร เสียชีวิตเหตุปะทะไทย-กัมพูชา ในช่วงวันที่ 8-9 ธ.ค.68 รวมทหารเสียชีวิต 3 นาย วันนี้ (9 ธ.ค.2568) กองทัพบก รายงานสถานการณ์เหตุปะทะชายแดนไทย - กัมพูชา ช่วงวันที่ 8 - 9 ธ.ค.นี้  ทหารเสียชีวิตจากเหตุปะทะไทย-กัมพูชา วันที่ 8 ธ.ค. 68 (เสียชีวิต 1 นาย) 1.จ.ส.อ.ศตวรรษ สุจริต สังกัด กองร้อยทหารม้าลาดตระเวนที่ 6 ถูกสะเก็ดระเบิด พื้นที่ฐานป้องไพร ช่องบก วันที่ 9 ธ.ค. 68 (เสียชีวิต 2 นาย) 1.พลทหาร วายุ ขวัญเสือ สังกัด กองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่31 รักษาพระองค์ ถูกสะเก็ดระเบิดอาวุธวิถีโค้ง พื้นที่ฐานปฏิบัติการ 225 จ.สุรินทร์, 2. ส.อ.ชวกร เดชขุนทด สังกัด กองพันทหารม้าที่ 11 กรมทหารม้าที่ 4 รักษาพระองค์ ได้รับบาดเจ็บจากเครื่องยิงลูกระเบิด พื้นที่พระวิหาร ที่มาเรียบเรียงจาก Thai PBS [1] [2] [3]   * ข่าว * การเมือง * ความมั่นคง * กรณีพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา
dlvr.it
December 9, 2025 at 6:41 AM
นัดประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญ 10-11 ธ.ค. พิจารณาร่างแกไขเพิ่มเติม รธน.วาระ 2
นัดประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญ 10-11 ธ.ค. พิจารณาร่างแกไขเพิ่มเติม รธน.วาระ 2
นัดประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญ 10-11 ธ.ค. พิจารณาร่างแกไขเพิ่มเติม รธน.วาระ 2 auser15 Tue, 2025-12-09 - 13:19 ประธานรัฐสภานัดประชุมวิสามัญ 10-11 ธันวาคมนี้ เพื่อพิจารณาร่างแกไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในวาระ 2 หากผ่านได้ ต้องเว้น 15 วัน เพื่อลงมติในวาระที่ 3 9 ธันวาคม 2568 NBT Connext รายงานว่า นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา กล่าวถึงการเปิดประชุมรัฐสภา สมัยวิสามัญ ในวันที่ 10 -11 ธันวาคมนี้ เพื่อพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่…) พ.ศ. ... ว่า ได้มีการหารือกันแล้ว จึงไม่ได้เรียกประชุมวิป 3 ฝ่าย ได้แก่ วิปรัฐบาล วิปฝ่ายค้าน และวิปวุฒิสภา เพราะเป็นการพิจารณาในวาระ 2 เป็นไปตามที่คณะกรรมาธิการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ กับสมาชิกรัฐสภา ที่สงวนความเห็นและสงวนคำแปรญัตติ ดังนั้น เวลาอภิปรายไม่จำกัด โดยเริ่มพิจารณาตั้งแต่เวลา 09.00 น. ส่วนจะเลิกกี่โมง ขึ้นอยู่กับสมาชิกอภิปรายช้าหรือเร็ว และอยู่ที่กรรมาธิการจะใช้เวลาชี้แจงเพียงใด พร้อมเชื่อว่า การพิจารณาในวาระที่ 2 จะไม่มีปัญหา และเมื่อแล้วเสร็จในวาระที่ 2 ต้องเว้นไว้ 15 วัน เพื่อจะลงมติในวาระที่ 3 ซึ่งวาระที่ 3 ก็ไม่น่าจะมีปัญหา ซึ่งลงมติโดยเปิดเผย ด้วยวิธีการขานชื่อสมาชิกรัฐสภา เรียงลำดับอักษร * ข่าว * การเมือง * การแก้ไขรัฐธรรมนูญ
dlvr.it
December 9, 2025 at 6:23 AM
'สม รังสี' ออกแถลงการณ์ เรียกร้องทหาร-ประชาชนขับไล่ 'ตระกูลฮุน'
'สม รังสี' ออกแถลงการณ์ เรียกร้องทหาร-ประชาชนขับไล่ 'ตระกูลฮุน'
'สม รังสี' ออกแถลงการณ์ เรียกร้องทหาร-ประชาชนขับไล่ 'ตระกูลฮุน' auser15 Tue, 2025-12-09 - 12:40 'สม รังสี' อดีตผู้นำฝ่ายค้านของกัมพูชา โพสต์แถลงการณ์บนโซเชียลมีเดีย ในนาม “รัฐบาลกัมพูชา 23 ตุลาคม” เรียกร้องทหารและประชาชนลุกขึ้นขับไล่ 'ตระกูลฮุน' ออกจากแผ่นดินกัมพูชา ระบุตระกูลฮุนใช้ทหารและพลเรือน เป็น “โล่มนุษย์” ทำให้กองทัพไทยเข้าโจมตีดินแดนของกัมพูชาได้อย่างอิสระ 9 ธัยวาคม 2568 Thai PBS รายงานว่า 'สม รังสี' อดีตผู้นำฝ่ายค้านของกัมพูชา โพสต์แถลงการณ์บนโซเชียลมีเดีย ในนาม “รัฐบาลกัมพูชา 23 ตุลาคม” เรียกร้องทหารและประชาชนลุกขึ้นขับไล่ 'ตระกูลฮุน' ออกจากแผ่นดินกัมพูชา ข้อความจากแถลงการณ์ระบุว่า มีเหตุผลสำคัญ 2 ประการสำคัญที่ชัดเจนจนไม่อาจยอมรับการบริหารประเทศของตระกูลฮุนได้ ข้อที่ 1 การใช้ทหารและพลเรือน เป็น “โล่มนุษย์” ทำให้กองทัพไทยเข้าโจมตีดินแดนของกัมพูชาได้อย่างอิสระ ในขณะที่ผู้นำสั่งให้ทหารแนวหน้าไม่ปกป้องตนเองหรือดินแดนกัมพูชา มีการตั้งคำถามต่อคำสั่งของผู้นำตระกูลฮุนว่า จงใจให้ทหารและพลเรือน “บาดเจ็บ เสียชีวิตอย่างไม่เป็นธรรม” และการสูญเสียดินแดน ข้อที่ 2 การปกป้องเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ตระกูลฮุนกำลังปกป้องเครือข่ายอาชญกรรมข้ามชาติ การกระทำดังกล่าวผลักดันให้กัมพูชาต้องเผชิญกับ “วิกฤติในทุกภาคส่วน” ทั้งในด้านเศรษฐกิจ การสูญเสียโอกาสในการทำงาน ความเสียหายร้ายแรงที่เกิดขึ้นกับการดำรงชีวิตของประชาชน การหลอกลวง ภัยสแกมเมอร์ หนี้สิน การแพร่กระจายของยาเสพติด ความไม่มั่นคงและไม่ยุติธรรมทางสังคม เมื่อผู้นำปกป้องอาชญากร ถือว่าเป็นการศัตรูให้กับประชาชน แถลงการณ์เรียกร้องให้ทหารกัมพูชา กองกำลัง และประชาชนทั่วประเทศสามัคคีกัน ยุติการปกครองประเทศของตระกูลฮุน ร่วมมือกับประชาคมต่างประเทศ ทำลายเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติที่กำลังทำลายประชาชนชาวกัมพูชา * ข่าว * ต่างประเทศ * กรณีพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา * สม รังสี
dlvr.it
December 9, 2025 at 5:43 AM
'ฮุนมาเนต' โพสต์โซเชียล หวังไทยใช้หนทางสันติและชอบด้วยกฎหมาย
'ฮุนมาเนต' โพสต์โซเชียล หวังไทยใช้หนทางสันติและชอบด้วยกฎหมาย
'ฮุนมาเนต' โพสต์โซเชียล หวังไทยใช้หนทางสันติและชอบด้วยกฎหมาย auser15 Tue, 2025-12-09 - 11:49 'ฮุนมาเนต' โพสต์โซเชียล ชี้หากประเทศไทยรักสันติภาพและหวงแหนผืนแผ่นดิน ควรใช้หนทางสันติและชอบด้วยกฎหมาย กำหนดอธิปไตยของแต่ละประเทศ เว็บไซต์ 3Plus รายงานว่า เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2568 เวลา 21.40 น. ฮุนมาเนต นายกรัฐมนตรีของกัมพูชา โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า  คำประกาศใช้กำลังของ “กองทัพภาคที่ 1” ของไทย ขัดหลักสันติวิธีแก้ปัญหาชายแดน ผู้นำไทยประกาศมาโดยตลอดผ่านสื่อมวลชนและเวทีนานาชาติว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่รักสันติภาพและเคารพกฎหมายระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ได้เกิดความตื่นตระหนกและความประหลาดใจอย่างยิ่ง เมื่อมีรายงานข่าวเผยแพร่เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2568 ระบุว่า กองทัพภาคที่ 1 ของไทย ประกาศจะใช้กำลัง เพื่อทวงคืนสิ่งที่เรียกว่าอธิปไตยของไทย รวมถึงการยิงอาวุธปืนใหญ่และการเคลื่อนกำลังทหารเข้าไปในหมู่บ้านเปรยจัน หมู่บ้านโจกเจยและพื้นที่อื่น ๆ หลายแห่งตามแนวชายแดนในจังหวัดบันเตียเมียนเจยของกัมพูชา หากประเทศไทยรักสันติภาพและหวงแหนผืนแผ่นดิน เช่นเดียวกับกัมพูชา รัฐบาลและกองทัพไทยควรยึดถือการแก้ไขปัญหาชายแดนด้วยสันติวิธี โดยใช้กลไกที่ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงร่วมกัน และกำลังดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน นอกจากนี้ หากประเทศไทยเคารพกฎหมายระหว่างประเทศอย่างแท้จริง ก็ไม่ควรใช้กำลังทหารโจมตีหมู่บ้านของประชาชนพลเรือน ภายใต้ข้ออ้างในการทวงคืนอธิปไตยของตน กัมพูชาย้ำว่า ได้ยึดมั่นหลักการเคารพอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของประเทศเพื่อนบ้านมาโดยตลอด แต่ก็จะไม่ยอมให้ประเทศใดละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของกัมพูชาเช่นกัน ซึ่งเป็นจุดยืนเดียวกับที่ผู้นำไทยเคยประกาศไว้ ด้วยเหตุนี้ ทั้งสองประเทศจึงได้จัดตั้งคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมกัมพูชา–ไทย (JBC) ซึ่งดำเนินงานมากว่า 20 ปี โดยอาศัยเอกสารทางกฎหมายที่สืบทอดมาจากสมัยอาณานิคมฝรั่งเศส โดยเฉพาะบันทึกทางการ (Procès Verbaux) ของคณะกรรมาธิการกำหนดเขตแดนระหว่างอินโดจีน–สยาม ปี 1908–1909 และคณะกรรมาธิการปักปันเขตแดนระหว่างอินโดจีน–สยาม ปี 1919–1920 เมื่อเร็วๆ นี้ สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของ JBC ทั้งฝ่ายกัมพูชาและฝ่ายไทย ได้ตกลงส่งคณะสำรวจร่วมลงพื้นที่ เพื่อดำเนินการวัดแนวเขตและปักหลักเขตแดนชั่วคราว ในช่วงเสาหลักเขตแดนหมายเลข 42–47 ในจังหวัดบันเตียเมียนเจย และหมายเลข 52–59 ในจังหวัดบัตดัมบัง การดำเนินงานดังกล่าวเป็นไปอย่างราบรื่น ด้วยความร่วมมือที่ดีระหว่างคณะทำงานด้านเทคนิคของทั้งสองประเทศ โดยผลการดำเนินงานพบว่า การวัดแนวเขตและปักหลักเขตแดนชั่วคราวในช่วงเสาหลักหมายเลข 52–59 จังหวัดบัตดัมบัง ใกล้จะแล้วเสร็จเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ช่วงเสาหลักหมายเลข 42–47 ก็มีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง เป็นไปตามหลักวิชาการ และสอดคล้องกับสนธิสัญญา อนุสัญญา ข้อตกลงต่าง ๆ รวมถึงเอกสารทางกฎหมายในอดีตที่ทั้งสองฝ่ายยอมรับร่วมกัน ดังนั้น การที่กองทัพภาคที่ 1 ของไทยประกาศจะใช้กำลังทหารในการแก้ไขปัญหาชายแดนกัมพูชา-ไทย บริเวณพื้นที่จังหวัดบันเตียเมียนเจยของกัมพูชา และจังหวัดสระแก้วของไทย รวมถึงช่วงเสาหลักเขตแดนหมายเลข 42–47 จึงถูกมองว่า ขัดแย้งกับเจตนารมณ์ของการแก้ไขปัญหาชายแดนด้วยสันติวิธี ผ่านกระบวนการวัดแนวเขตและปักปันเขตแดนตามกฎหมายระหว่างประเทศ ฝ่ายกัมพูชาแสดงความหวังว่า ฝ่ายไทยซึ่งประกาศตนมาโดยตลอด ว่าเป็นประเทศที่รักสันติภาพและเคารพกฎหมายระหว่างประเทศ จะยังคงใช้หนทางสันติและชอบด้วยกฎหมายในการดำเนินการวัดแนวเขตและปักปันเขตแดน เพื่อกำหนดอธิปไตยของแต่ละประเทศอย่างชัดเจน นี่เป็นวิธีที่ง่าย โปร่งใส และยุติธรรมที่สุด ทั้งยังย้ำว่า กัมพูชาไม่มีเจตนาจะละเมิดอธิปไตยโดยชอบด้วยกฎหมายของประเทศเพื่อนบ้าน และไม่ว่าผลการวัดแนวเขตจะออกมาเป็นเช่นไร กัมพูชาพร้อมเคารพผลดังกล่าว พร้อมคาดหวังให้ประเทศไทยมีความจริงใจในการยอมรับผลเช่นเดียวกัน * ข่าว * การเมือง * ความมั่นคง * ฮุนมาเนต * กรณีพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา
dlvr.it
December 9, 2025 at 4:53 AM
เผยปิดโรงเรียนแล้ว 990 แห่ง จากเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา
เผยปิดโรงเรียนแล้ว 990 แห่ง จากเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา
เผยปิดโรงเรียนแล้ว 990 แห่ง จากเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา auser15 Tue, 2025-12-09 - 11:32 เผยปิดโรงเรียนแล้ว 990 แห่ง จากเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ส่วนโรงเรียนที่ไม่ได้รับผลกระทบพร้อมเป็นศูนย์พักพิง ระบุ "สพฐ." เตรียมถุงการเรียนรู้แจกตามศูนย์อพยพ ไม่ให้กระทบการเรียนการสอน 9 ธันวาคม 2568 Thai PBS รายงานว่า  ที่ทำเนียบรัฐบาล นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมว.ศึกษาธิการ กล่าวถึงแผนสั่งปิดโรงเรียนพื้นที่ชายแดนกรณีเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า ขณะนี้รอไฟเขียวจากทางพื้นที่ หากปลอดภัยจึงจะเปิด ซึ่งวานนี้ (8 ธ.ค.) สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) รายงานว่าปิดโรงเรียนไปแล้ว 600 กว่าแห่ง ล่าสุดวันนี้ปิดโรงเรียนเพิ่มเป็น 990 แห่งแล้ว ขณะที่ในส่วนของโรงเรียนที่อยู่ในพื้นที่ปลอดภัย ทาง สพฐ.ได้จัดไว้เป็นศูนย์พักพิงเพื่อรองรับประชาชนด้วย และจนถึงขณะนี้ยังไม่มีรายงานว่ามีโรงเรียนได้รับความเสียหาย เมื่อถามว่า ทางโรงเรียนต้องประเมินสถานการณ์ด้วยหรือไม่ว่า จะปิดกี่วัน นางนฤมล กล่าวว่า ต้องฟังความเห็นของฝ่ายความมั่นคงในพื้นที่ด้วย ซึ่งมีการประชุมกันอยู่ตลอดกับผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ และทางอาชีวะเองก็เข้าไปช่วย ซึ่งเดิมส่งทีมอาชีวะไปช่วยทางภาคใต้ แต่ขณะนี้เหตุการณ์เริ่มดีขึ้นแล้ว จึงขนทีมไปทางจังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อตั้งครัวอาชีวะคอยดูแลประชาชนที่อยู่ในศูนย์อพยพ นางนฤมล ยังกล่าวถึงแผนการเรียน การสอนในช่วงที่โรงเรียนปิดว่า มีแผนชดเชยอยู่แล้วทั้งการสอนที่เป็นใบงานแบบฝึกหัด (on hand) กับการเรียนการสอนแบบทั่วไป (on site) แต่ถ้าทำไม่ได้ก็จะเปลี่ยนเป็นเรียนระบบออนไลน์ ซึ่งการเรียนระบบออนไลน์จะเป็นลักษณะเรียนรวมหรือไม่นั้น แต่ละโรงเรียนมีแพลตฟอร์มที่เตรียมไว้อยู่แล้ว อีกทั้ง สพฐ.ได้เตรียมจัดถุงการเรียนรู้เอาไปให้เด็กๆในศูนย์พักพิงเพื่อไม่ให้ตกหล่นเรื่องของการเรียนด้วย นางนฤมล กล่าวว่า นอกจากนี้ นายกฯ ได้สั่งการตั้งแต่เดือนที่ผ่านมา ว่า​ ให้ สพฐ.เตรียมความพร้อมไว้ ซึ่งขณะนี้ก็ได้ทำตามแผนแล้ว * ข่าว * การศึกษา * ความมั่นคง * กรณีพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา
dlvr.it
December 9, 2025 at 4:40 AM
'ธรรมนัส' ยืนยันพิธีเปิดซีเกมส์ 2025 มีความพร้อม 100% ย้ำรัฐบาลทำดีที่สุด
'ธรรมนัส' ยืนยันพิธีเปิดซีเกมส์ 2025 มีความพร้อม 100% ย้ำรัฐบาลทำดีที่สุด
'ธรรมนัส' ยืนยันพิธีเปิดซีเกมส์ 2025 มีความพร้อม 100% ย้ำรัฐบาลทำดีที่สุด auser15 Tue, 2025-12-09 - 11:02 "ธรรมนัส" ยืนยันพิธีเปิดซีเกมส์ 2025 มีความพร้อม 100% ย้ำรัฐบาลทำดีที่สุด ยอมรับนายกฯห่วงความปลอดภัยนักกีฬากัมพูชา กำชับเพิ่มมาตรการดูแลเข้ม บอกมุ่งแก้ปัญหาบ้านเมือง ขอฝ่ายการเมืองอย่าซ้ำเติมคนทำงาน 9 ธันวาคม 2568 สำนักข่าวไทย รายงานว่า ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) กล่าวถึงการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ ว่า ขอบคุณคำติชมในเรื่องการจัดมหกรรมซีเกมส์ ที่จะมีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการในวันนี้ พร้อมยืนยันว่ามีความพร้อม 100% ขณะที่การดูแลนักกีฬากัมพูชาที่เข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้ นั้น ร.อ.ธรรมนัส ยอมรับว่า นายกรัฐมนตรีมีความกังวลในเรื่องนี้จึงได้สั่งการให้ตนเองเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มข้น ซึ่งเรื่องปัญหาชายแดนระหว่างไทย-กัมพูชาถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อน แต่มีคณะกรรมการระหว่างประเทศในด้านกีฬาอยู่แล้ว ฉะนั้นหากเราไปกระทำการอะไรก็จะส่งผลกระทบต่อวงการกีฬาด้วย ขณะเดียวกันก็มีฝ่ายรักษาความปลอดภัยคอยดูแลอยู่ ส่วนจะต้องเตือนกองเชียร์ไทยอย่าทำอะไรเกินกว่าเหตุหรือไม่ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า ในสนามกีฬาแทบจะไม่มีกองเชียร์จากฝ่ายกัมพูชาอยู่ สำหรับพิธีเปิดในวันนี้ (9 ธ.ค.) สามารถสยบดราม่าได้ใช่หรือไม่ ร.อ.ธรรมนัส ระบุว่า ในพิธีเปิดวันนี้ในฐานะที่ตนเองเป็นประธาน กกท. จะพยายามเอาองคาพยพทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมาคมกีฬาทุกประเภทมาประชุมบูรณาการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน โดยนายกสมาคมและกรรมการสามารถแก้ปัญหาได้ด้วยตนเอง ซึ่งตนเองได้แต่งตั้งให้ พล.ต.อ.ประจวบ วงศ์สุข ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา มากำกับดูแลในเรื่องการกีฬาโดยเฉพาะ พร้อมตั้งวอร์รูมแก้ปัญหาในทุกเรื่อง และในฐานะที่เป็นเจ้าภาพจะทำให้ดีที่สุด แต่ขอให้ดูผลการเปิดมหกรรมในวันนี้ว่าจะออกมาเป็นอย่างไร แต่มั่นใจว่ารัฐบาลและตนเองทำดีที่สุดแล้ว ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ติดตามและกำชับเรื่องนี้มาโดยตลอด * ข่าว * การเมือง * ซีเกมส์ * ธรรมนัส พรหมเผ่า
dlvr.it
December 9, 2025 at 4:04 AM
กสม.ออกสารวันสิทธิมนุษยชนสากล ชี้ทุจริตคอร์รัปชันกระทบสิทธิคนเปราะบาง
กสม.ออกสารวันสิทธิมนุษยชนสากล ชี้ทุจริตคอร์รัปชันกระทบสิทธิคนเปราะบาง
กสม.ออกสารวันสิทธิมนุษยชนสากล ชี้ทุจริตคอร์รัปชันกระทบสิทธิคนเปราะบาง auser15 Tue, 2025-12-09 - 10:52 ประธาน กสม.ออกสารเนื่องในวันสิทธิมนุษยชนสากล 10 ธ.ค. เชื่อมโยงปัญหาทุจริตคอร์รัปชันกับการละเมิดสิทธิมนุษยชน ชี้กลุ่มเปราะบางอย่างชาติพันธุ์ คนพิการ แรงงานอพยพ มักตกเป็นเหยื่อ ถูกเรียกสินบนเข้าถึงบริการรัฐ วอนรัฐบาลปราบอย่างจริงจัง 9 ธันวาคม 2568 สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเผยแพร่ สารประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (นางสาวพรประไพ  กาญจนรินทร์) เนื่องในวันสิทธิมนุษยชนสากล 10 ธันวาคม ประจำปี 2568 โดยมีรายละเอียดดังนี้ สิทธิมนุษยชนเป็นเรื่องที่มีความสำคัญและมีผลต่อชีวิตประจำวันของทุกคน ในขณะเดียวกัน การทุจริตคอร์รัปชันที่มีอย่างกว้างขวางในปัจจุบัน ได้ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีพและสิทธิในด้านต่าง ๆ ของประชาชนโดยรวม สิทธิมนุษยชนกับการทุจริตจึงมีความเชื่อมโยงกันในทุกมิติ โดยเฉพาะในกลุ่มประชากรที่ไม่มีอำนาจต่อรองทางสังคม เช่น กลุ่มชาติพันธุ์ คนพิการ แรงงานอพยพ ผู้ลี้ภัย นักโทษ และคนยากจน ซึ่งมักถูกเอารัดเอาเปรียบ และเป็นเหยื่อขบวนการทุจริตคอร์รัปชันได้โดยง่าย เช่น ถูกเรียกรับสินบนเพื่อให้สามารถเข้าถึงบริการสาธารณสุข โอกาสทางการศึกษา หรือการมีงานทำ ยิ่งไปกว่านั้น การทุจริตโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐอาจกระทบต่อสิทธิในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม ความมั่งคงและความปลอดภัยในชีวิตของประชาชน ตลอดจนสิทธิทางเศรษฐกิจและสังคมอีกมากมาย การทุจริตคอร์รัปชันยังนำไปสู่การเลือกปฏิบัติ เช่น การเลือกปฏิบัติต่อนักโทษที่มีสถานะทางเศรษฐกิจหรือสังคมสูงกว่านักโทษรายอื่น การทุจริตซื้อขายตำแหน่งหน้าที่ซึ่งกระทบต่อระบบคุณธรรมและปิดกั้นผู้ที่มีความสามารถในการเข้าสู่ตำแหน่ง การทุจริตคอร์รัปชันที่มีและพบเห็นอยู่ในชีวิตประจำวันนี้จึงเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชน เนื่องในโอกาสวันสิทธิมนุษยชนสากล (International Human Rights Day) 10 ธันวาคม ภายใต้แนวคิด “Human Rights, Our Everyday Essentials” ของสหประชาชาติ ประจำปี 2568 และเนื่องในโอกาสวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล 9 ธันวาคม นี้ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ขอเน้นย้ำถึงความสำคัญของสิทธิมนุษยชนและการป้องกันและต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันที่ส่งผลกระทบต่อสิทธิมนุษยชนในชีวิตประจำวัน โดยขอให้ทุกภาคส่วนร่วมกันขับเคลื่อนส่งเสริมสิทธิมนุษยชน ไปพร้อม ๆ กับการต่อต้านและไม่ยอมรับการทุจริตคอร์รัปชัน และขอให้รัฐบาลปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันที่เกิดขึ้นอย่างจริงจัง โดยตรวจสอบและบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดเพื่อป้องกันผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนที่จะเกิดขึ้นกับประชาชนและสร้างความเสียหายต่อประเทศ * ข่าว * การเมือง * สังคม * สิทธิมนุษยชน * คุณภาพชีวิต * คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ * กสม. * วันสิทธิมนุษยชนสากล
dlvr.it
December 9, 2025 at 3:55 AM
อนุรักษ์แบบฟาสซิสต์และเศรษฐศาสตร์การเมืองแบบมาร์กซิสต์ - การเปลี่ยนผ่านจาก governance of nature สู่ governance with nature (1)
อนุรักษ์แบบฟาสซิสต์และเศรษฐศาสตร์การเมืองแบบมาร์กซิสต์ - การเปลี่ยนผ่านจาก governance of nature สู่ governance with nature (1)
อนุรักษ์แบบฟาสซิสต์และเศรษฐศาสตร์การเมืองแบบมาร์กซิสต์ - การเปลี่ยนผ่านจาก governance of nature สู่ governance with nature (1) ตาล วรรณกูล   sarayut Tue, 2025-12-09 - 10:29 “เมื่อรัฐอ้างว่า ‘ป่า’ เป็นอุดมคติแห่งความบริสุทธิ์ มันไม่ได้คุ้มครองชีวิต แต่มันคุมอำนาจ” ยุค Anthropocene ประกาศข้อเท็จจริงอย่างตรงไปตรงมาว่า มนุษย์กลายเป็นแรงกดระบบนิเวศที่ปรับรูปชั้นโลกได้ทั่วถึง (Crutzen, 2006) แต่ในเชิงการเมือง มันมีความหมายลึกกว่า ว่าเป็นการเปิดศึกใหม่ระหว่างอำนาจกับสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่มนุษย์ กล่าวคือ เมื่อมนุษย์สร้างผลกระทบจนเปลี่ยนสภาพโลก รัฐและทุนก็รีบแต่งชุดใหม่เพื่อจัดการผลกระทบเหล่านั้นในนามการอนุรักษ์  ในบริบทของไทย การอนุรักษ์แบบรัฐไม่ใช่เพียงเครื่องมือปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพ แต่เป็นเครื่องมือสร้างและรักษาอภิสิทธิ์ในการกำหนดว่าใครมีสิทธิอยู่ในป่า ใครถูกขับออก และใครพูดแทนธรรมชาติได้ รัฐประกาศความบริสุทธิ์ของป่าให้เป็นสิ่งศักดิ์ศรีของชาติ และในสำนวนเดียวกันก็ผลักชุมชนชายขอบออกจากพื้นที่ชีวิตของตน นี่ไม่ใช่การอนุรักษ์ แต่เป็นการผลิตภูมิทัศน์แห่งอำนาจ  บทความในหัวข้อนี้จะถลกหน้ากากของการอนุรักษ์แบบรวมศูนย์อำนาจในไทย โดยส่องผ่านสองกรอบตัดขวางระหว่างมาร์กซิสต์ (การเมืองเศรษฐกิจของทรัพยากรและ metabolic rift) และฟาสซิสต์ eco-fascist logics (การบูชาความบริสุทธิ์และการทำความบริสุทธิ์ผ่านการขับไล่หรือกำจัด) เพื่อแสดงบทของ governance of nature ในไทยที่ได้ผสานทั้งสองแนวคิดจนผลิตความไม่ยุติธรรมเชิงระบบ ซึ่งมันอาจฟังดูเข้าใจยาก แต่ต้องลองค่อย ๆ อ่านไปทีละบรรทัด  Karl Marx มองธรรมชาติไม่ใช่เป็นสิ่งรอบตัวที่ต้องนับ แต่เป็นองค์ประกอบของการผลิต มนุษย์ขูดรีดทั้งแรงงานและทรัพยากรเพื่อสร้างมูลค่า (Foster, 1999) นักทฤษฎีร่วมสมัยยังได้ขยายความแนวคิดนี้ว่าเป็น metabolic rift หรือช่องว่างระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติที่เกิดจากการผลิตแบบทุนนิยมซึ่งไม่คืนสมดุลสู่ระบบนิเวศ (Foster, 2000)  ในไทย การประกาศเขตป่าอนุรักษ์ อุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และการแยกพื้นที่เพื่ออนุรักษ์มักสอดประสานกับการแปรรูปทางเศรษฐกิจแบบพื้นที่ที่ต้องปลอดคน ซึ่งถูกจัดให้เป็นแหล่งทำมูลค่าทางการเมืองและเศรษฐกิจ เช่น พื้นที่คาร์บอนเครดิต พื้นที่ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์หรือนันทนาการ และพื้นที่บริการนักลงทุนที่อ้างเหตุผลเชิงสิ่งแวดล้อม รากของมันคือการทำให้ธรรมชาติเป็นหน่วยวัดทางเศรษฐกิจที่แลกเปลี่ยนได้ (commodification) ไม่ต่างกับที่แรงงานเป็นส่วนขยายของเครื่องจักรในระบบผลิตในอุตสาหกรรม  ผลลัพธ์ก็คือป่าในเอกสารกับป่าในชีวิตจริงแตกต่างกัน ป่าในนโยบายคือสินทรัพย์ ที่รัฐจำกัดการเข้าถึงและแปลงเป็นแหล่งรายได้ผ่านการอนุญาตให้ทุนเข้าจัดการ ขณะเดียวกันชุมชนที่เคยอาศัยและจัดการทรัพยากรแบบร่วมอยู่ (commoning) กลับถูกผลักออกหรือเปลี่ยนสถานะเป็นผู้บุกรุก ทั้งที่ความสัมพันธ์แบบร่วมอยู่นั้นคือรูปแบบการจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน (Berkes, 2018; Ostrom, 1990) อุดมการณ์ฟาสซิสต์มักใช้สัญลักษณ์ความบริสุทธิ์ เพื่อรวบรวมอำนาจและชี้ว่ามีองค์ประกอบที่ต้องปัดออก (Eco, 1995) เมื่อแนวคิดนี้ย้ายเข้าสู่นโยบายสิ่งแวดล้อม มันแปลว่าป่าต้องไร้คนเพื่อให้มีความบริสุทธิ์ เช่นเดียวกับชุมชนที่ถูกทำให้เป็นตัวการปนเปื้อนของสภาพแวดล้อม  ในไทย เราเห็นรูปแบบนี้ชัดจากนโยบายด้านการจัดการพื้นที่อนุรักษ์ การใช้อำนาจทางกฎหมายเพื่อขับไล่ชาวบ้าน การตั้งเจ้าหน้าที่ติดอาวุธในพื้นที่อนุรักษ์ การรื้อถอนชุมชนเพื่อทวงคืนป่า ทั้งหมดเป็นการทำให้เกิดความบริสุทธิ์ผ่านการขจัดปัจเจกที่ถือว่าไม่พึงประสงค์ออกไป นี่เป็นการใช้ความมั่นคงแห่งรัฐและหน้ากากอนุรักษ์เพื่อบีบเจ้าของพื้นที่ดั้งเดิมออกจากชีวิตของตน  ฟาสซิสต์เชิงนิเวศ (eco-fascism) ยังพบรากในวาทกรรมภายใต้คำว่าชาติอีกว่า พื้นที่ต้องไม่ถูกแตะต้องเพื่อคงความยิ่งใหญ่ของชาติ ช้างจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของชาติที่ควรถูกคงไว้ในกรอบที่รัฐนิยาม ไม่ใช่สัตว์ที่มีสิทธิในพื้นที่ของตนเอง  น่าสังเกตว่าทั้งกรอบแนวคิดมาร์กซิสต์และกรอบแนวคิดฟาสซิสต์สามารถนำไปสู่การปกครองธรรมชาติแบบเดียวกันได้ หากรัฐผสมผสานทั้งสองเพื่อวัตถุประสงค์ของตน ใช้วาทกรรมประโยชน์ร่วมของประชาชน (populist redistribution rhetoric) เพื่ออ้างความชอบธรรมในการควบคุมทรัพยากร พร้อมกันนั้นก็ใช้ตรรกะความบริสุทธิ์ของธรรมชาติในการอ้างสิทธิเหนือพื้นที่ รัฐจึงได้ทั้งทุน (จากสินค้าธรรมชาติ) และความชอบธรรมทางวาทกรรมจากการอ้างชาติ ศีลธรรม และความมั่นคงของชาติ  ผลคือ governance of nature หรือการปกครองธรรมชาติในไทยกลายเป็นกลไกการรวมศูนย์อำนาจ การตัดสินใจขึ้นอยู่กับหน่วยงานรัฐส่วนกลาง ข้อมูลเชิงนิเวศถูกวัดและตีความผ่านเลขที่ผลิตโดยสถาบันที่รัฐยอมรับ ส่วนความรู้ชุมชนที่สัมพันธ์กับการอยู่ร่วม (multispecies knowledge) ถูกทำให้เป็นเพียงแหล่งข้อมูลประกอบ แทนที่จะเป็นหุ้นส่วนการตัดสินใจ (Jasanoff, 2004; Scott, 1998)  ช้างในบริบทไทยทำหน้าที่สองอย่างพร้อมกันคือ เป็นสัญลักษณ์ของชาติและเป็นวัตถุทางการเมือง สัญลักษณ์นำมาซึ่งงบประมาณและนโยบาย แต่เมื่อนำไปอยู่ในกรอบคิดของรัฐ มันถูกทำให้กลายเป็นเหตุผลทางการเมืองสำหรับการขยายอำนาจ เช่น งบสนันสนุนโครงการจัดการช้าง การประกาศเขตพิเศษ การจ้างที่ปรึกษา ทั้งหมดคือธุรกิจของการจัดการปัญหา มากกว่าการปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพจริงๆ  กรอบแนวคิดแบบมาร์กซิสต์ชี้ให้เห็นว่าช้างถูกทำให้กลายเป็นทุนสัญลักษณ์ (symbolic capital) ที่ให้ผลประโยชน์แก่กลุ่มต่าง ๆ ไม่ว่ารัฐ นักอนุรักษ์ NGOs เขียวขวาจัด และธุรกิจท่องเที่ยว ในขณะที่ชุมชนได้รับภาระอยู่เสมอ ในขณะเดียวกัน การที่รัฐนิยามว่า ช้างออกนอกป่าเป็นภัย ทำให้เกิดความชอบธรรมในการใช้ความรุนแรงทั้งทางกฎหมายและทางกายภาพ (Neumann, 2004)  กรอบสิทธิมนุษยชน (Human Rights-Based Approach) ชี้ว่าการจัดการทรัพยากรต้องเคารพสิทธิของผู้ที่อาศัยกับทรัพยากรนั้นเป็นปกติ สิทธิการดำรงชีพ ความมั่นคงทางอาหาร และวัฒนธรรม (UN human rights instruments) แต่ในไทย สิทธิเหล่านี้ถูกลดทอนโดยกฎหมายป่าไม้และกฎหมายอุทยาน ที่ให้รัฐมีอำนาจในการประกาศเขตและออกคำสั่งโดยไม่ต้องปรึกษาชุมชน หรือจะมีการหารือบ้างแต่ก็เป็นเพียงพิธีกรรมที่ไม่ได้บรรจุเสียงของชุมชนจริง ๆ ไว้ในองค์ประกอบบของการตัดสินใจ  การอ้างความรับผิดชอบของรัฐในการอนุรักษ์จึงกลายเป็นข้ออ้างให้รัฐเพิกถอนสิทธิชุมชน เป็นการเอาสิทธิทางนิเวศไปไว้ในมือสถาบันกลาง แทนที่จะปกป้องสิทธิของผู้ที่ร่วมอยู่กับธรรมชาติจริงๆ (Agrawal, 2005; Schlosberg, 2007)  ในเชิงเศรษฐศาสตร์การเมืองมีการก่อร่างระบบที่ผูกโยงงบประมาณกับการแก้ปัญหาช้างอย่าง งบวิจัย โครงการติดตาม โครงการสร้างรั้ว การซื้ออุปกรณ์ การจัดฝึกอบรมอาสาสมัคร การจ้างเจ้าหน้าที่ชั่วคราว ซึ่งทั้งหมดสร้างตลาดของการจัดการปัญหาที่ทวีความยั่งยืนยิ่งกว่าการแก้ปัญหา หากปัญหาหายไป งบประมาณก็หายไป ดังนั้นมีแรงจูงใจเชิงสถาบันอย่างมากที่จะทำให้ปัญหาต้องคงอยู่ ในหลายกรณี นโยบายและโครงการจึงเป็นการผลิตภาคต่อของอำนาจมากกว่าการแก้ไขปัญหาที่รากเหง้าของมัน  มาร์กซิสต์อ่านเกมนี้ว่านี่คือรูปแบบการสะสมทุนชนิดใหม่ สะสมทุนจากการจัดการปัญหา (accumulation by management) ซึ่งทำงานร่วมกับอุปกรณ์วาทกรรมแบบฟาสซิสต์ที่สร้างความชอบธรรมให้การกระทำเหล่านี้  ตัวอย่างที่เด่นชัดคือการย้ายช้างไปกักขังไว้ในคอกตามแนวคิดของนักอนุรักษ์ตะวันตกสมัยใหม่ การปฏิบัติเหล่านี้มักนำเสนอเป็นมาตรการฉุกเฉิน แต่เมื่อเทียบกับข้อมูลนิเวศวิทยาและภูมิปัญญาท้องถิ่น พบว่ามาตรการแบบนี้มักทำให้ปัญหารุนแรงขึ้น ช้างเครียด เสียสุขภาพ ปรับพฤติกรรมผิดเพี้ยน เมื่อไหร่ที่ปัญหาเช่นนี้ยังถูกแก้ที่ปลายเหตุ รัฐก็ยังรักษาอำนาจและงบประมาณไว้ได้ ในขณะเดียวกันชุมชนก็ยังต้องรับภาระเช่นเคย  การย้ายแบบ rehabilitation หรือการฟื้นฟูพฤติกรรมที่เป็นมิตรกับคนจะเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน เพราะมันเปลี่ยนกระบวนทัศน์จากการกักขังเป็นการสร้างความสัมพันธ์ใหม่ เช่นกรณีพลายงาถ่าง พลายบุญหลง แต่รัฐแบบ governance of nature กลัวรูปแบบนี้เพราะมันจะลดบทบาทผูกขาดอำนาจของรัฐลงทันที  การเปลี่ยนผ่านจากการปกครองธรรมชาติ หรือ governance of nature สู่ธรรมาภิบาลร่วมกับธรรมชาติ หรือ governance with nature ไม่ใช่แค่เปลี่ยนนโยบายเชิงเทคนิค แต่ต้องเป็นการต่อสู้ทางการเมือง คืนสิทธิชุมชน เปลี่ยนวิธีนับ วัดผล อ้างข้อมูลฝ่ายเดียว ให้ภูมิปัญญาท้องถิ่นเป็นหุ้นส่วนการตัดสินใจ ปรับระบบงบประมาณให้สนับสนุนการฟื้นฟูระบบนิเวศมากกว่าการจัดการปัญหา และลดการใช้อำนาจรัฐเป็นเครื่องมือหลัก  มาตราการที่เป็นรูปธรรมอาจรวมถึง การรับรองสิทธิการจัดการแบบ co-management councils หรือสภาความร่วมมือในการจัดการที่มีอำนาจผูกพัน การรวมความรู้ที่อิงจากหลักฐานเชิงประจักรที่หลากหลาย (multiple evidence base) ในการตัดสินใจ ระบบเยียวยาที่เป็นธรรม และการออกแบบพื้นที่รองรับตามหลัก ecological carrying capacity ให้สมดุลกับจำนวนประชากรช้างป่าที่มีอยู่  เมื่ออ่านผ่านเลนส์มาร์กซิสต์และฟาสซิสต์ จะเห็นชัดว่าการอนุรักษ์ในมือรัฐไทยมักเป็นการทำความบริสุทธิ์ (purification) โดยการขับไล่ ขจัด และทำให้พื้นที่เป็นรูปแบบที่รัฐต้องการ ในขณะที่ governance with nature เรียกร้องการร่วมสร้างความสัมพันธ์ คืนความเป็นหุ้นส่วนให้ชุมชน คืนสถานะสิทธิให้ธรรมชาติ และทำให้การจัดการเป็นการเมืองของการอยู่ร่วม ไม่ใช่การเมืองของการกำจัด  ปัญหาช้างป่าไม่ใช่ปัญหาช้าง แต่มันเป็นปัญหาของรัฐที่ยังยึดอำนาจเหนือธรรมชาติไว้ และไม่ยอมปล่อยให้ความสัมพันธ์ระหว่างคน ช้าง ป่าเป็นตัวกำหนดชะตา   * บทความ * การเมือง * สังคม * สิทธิมนุษยชน * สิ่งแวดล้อม * อนุรักษ์แบบฟาสซิสต์ * เศรษฐศาสตร์การเมืองแบบมาร์กซิสต์ * ช้างป่า * ตาล วรรณกูล
dlvr.it
December 9, 2025 at 3:42 AM
สุรพศ ทวีศักดิ์: แค้นเพื่อไทยทำส้ม ‘เสียหลักการ’ และ ‘ตั้งธงผิด’
สุรพศ ทวีศักดิ์: แค้นเพื่อไทยทำส้ม ‘เสียหลักการ’ และ ‘ตั้งธงผิด’
สุรพศ ทวีศักดิ์: แค้นเพื่อไทยทำส้ม ‘เสียหลักการ’ และ ‘ตั้งธงผิด’ สุรพศ ทวีศักดิ์   sarayut Tue, 2025-12-09 - 10:24 พอมีข่าวเพื่อไทยจะยื่น "ซักฟอก" รัฐบาลอนุทิน พรรคส้ม "ตีกัน" ไว้ก่อนเลยว่า "อย่าซักฟอกเพื่อแก้แค้น" หรือเหตุผลพิศดารกว่านั้นคือ "เพื่อไทยคิดแต่จะทำลายคะแนนนิยมพรรคประชาชน ยื่นเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพราะอยากให้ยุบสภาเพื่อไปร่วมรัฐบาลกับภูมิใจไทย” แต่จริงๆ แล้วเราเห็น “พลังงานความแค้น” ของพรรคส้มที่มีต่อเพื่อไทยมาตลอดกว่า 2 ปี “ชัดเจน” มากกว่าหรือไม่ ไม่ว่าเรื่องค้านนโยบายแจกเงินหมื่น คาสิโนถูกกฎหมาย การอภิปรายไม่ไว้วางใจที่พุ่งเป้าหมายไปที่ “คดีชั้น 14” อย่างเป็นพิเศษ และอื่นๆ จริงๆ แล้วส้ม “แค้นเรื่องอะไรแน่” ไม่มีคำตอบแน่ชัด เพราะโหวตพิธา ลิ้มเจริญัตน์เป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อไทยก็โหวตให้แล้ว แต่ติดที่ สว.ของรัฐพันลึกไม่เอาด้วย ก็เหลือแต่ความน่าจะเป็นคือ "แค้นที่เพื่อไทยไม่รอ 10 เดือน เพื่อหนุนพรรคส้มให้ตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ" เท่านั้น ดังนั้น กระแสโจมตีเรื่องตั้งรัฐบาลข้ามขั้ว ตระบัดสัตย์ ทรยศหักหลัง ฯลฯ จึงเกิดขึ้นอย่างร้อนแรง และต่อเนื่องตลอดมา จนเป็นกระแสสูงสุดอีกครั้งตอนที่พรรคส้มประกาศ "ข้อเสนอ MOA" ทางสาธารณะ และกระแสดังกล่าวได้ถูกใช้ให้ "ความชอบธรรม" กับการโหวตอนุทิน ชาญวีรกูลเป็นนายกรัฐมนตรี ในฐานะ “ตัวเลือกที่ควบคุมได้มากกว่า”  (เพราะอย่างน้อยก็ไม่เคยตระบัดสัตย์ ทรยศหักหลังพรรคส้มมาก่อน) แต่ “นัยแฝง” ที่ไม่พูดออกมาตรงๆ นี่คือ “การแก้แค้นเพื่อไทย” หรือสั่งสอนที่เคยเล่นบท "เพื่อไทยการละคร" มาก่อนตอนโหวตพิธา โดยใช้วิธี "หนามยอกเอาหนามบ่ง" คือใช้วิธี "ส้มการละคร" ย้อนกลับบ้าง นั่นคือ ประกาศข้อเสนอ MOA ให้เพื่อไทยออกมาดิ้นพล่านไปงั้นเอง แต่ที่จริงดีลตกลงกับอนุทินไว้ก่อนแล้ว เพราะต้องการ "มือ" สว.สีน้ำเงินของอนุทินสนับสนุนการแก้รัฐธรรมนูญ หลักฐานสนับสนุนสมมติฐานนี้คือ หลังโหวตอนุทินแล้วบุคคลสำคัญใน “คณะก้าวหน้า” เช่น ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ, ปิยบุตร แสงกนกกุล, ช่อ พรรณิการ์ วินิช ต่างออกมาพูดตรงกันในเรื่อง "ความหวัง" ว่าโอกาสนี้คือโอกาสเดียวที่เชื่อว่าจะได้เสียง สว.ข้างมาก (สว.สีน้ำเงิน) สนับสนุนการแก้รัฐธรรมนูญมากที่สุด ดังนั้น เพราะแค้นเพื่อไทยหรือไม่ จึงทำให้ “เสียหลักการ” ที่เคยต่อต้าน "ใบอนุญาตที่ 2" ด้วยการยอมละเมิดหลักการที่ฝ่ายตนเคยยืนยันโดยการโหวต “คนของรัฐพันลึก” เป็นนายกฯ ซึ่งเป็นการเลือกเล่นในเกมของรัฐพันลึกที่ต้องการเปลี่ยนรัฐบาลจากเพื่อไทยเป็นภูมิใจไทย ด้วยการใช้กลไกอำนาจนอกและในระบบควบคู่กัน ส่วนการ “ตั้งธงผิด” คืออะไร ก็คือตั้งธงแก้รัฐธรรมนูญ หวังเป็นผลงานเรียกคะแนนนิยม เพื่อเป็น “รัฐบาลพรรคเดียว”  สมัยหน้าแล้วเข้าสู่การสร้าง “การประนีประนอมครั้งใหญ่” หรือ “Grand Compromise” โดยอาศัย สว.สีน้ำเงินของอนุทินแลกกับการโหวตให้เขาเป็นนายกฯ ที่ว่า "ผิด" ไม่ใช่ความต้องการแก้รัฐธรรมนูญผิด หรือความต้องการสร้างการประนีประนอมครั้งใหญ่ผิด แต่คือ “ธงที่ขึ้นกับการพึ่งพรรคน้ำเงินและ สว.น้ำเงิน” ต่างหากที่ "ผิด" ถามว่าผิดอย่างไร ให้เราลองสมมติว่าพรรคส้มตั้งธงใหม่ คือตั้ง “ธงทำลายอำนาจต่อรองทางการเมืองของพรรคน้ำเงินและ สว.น้ำเงิน”  ซึ่งพวกเขาโดนคดีทุจริตเลือก สว.อยู่แล้ว ด้วยการเปลี่ยนไปโหวตชัยเกษม นิติสิริ แล้วยุบสภาทันทีตามข้อเสนอของเพื่อไทย ด้วยกระแสนิยมขณะนั้น พรรคส้มมีโอกาสสูงมากที่จะได้เป็นรัฐบาลพรรคเดียวหลังเลือกตั้งใหม่ และด้วยพลังอำนาจของรัฐบาลพรรคเดียวบวกกับพลังศรัทธาของประชาชน และการเคลื่อนไหวเรียกร้องแก้รัฐธรรมนูญของภาคประชาชน การแก้รัฐธรรมนูญภายใต้รัฐบาลพรรคเดียวจะ “ง่ายกว่า” แก้ภายใต้อิทธิพลพรรคน้ำเงินและ สว.น้ำเงินในตอนนี้มาก เพราะถึงตอนนั้น พรรคน้ำเงินและ สว.น้ำเงินที่โดนคดี ก็ย่อมตกอยู่ในฐานะ “ตัวประกัน” ทางการเมืองแล้ว อย่างไรเสียก็ต้องยอมโหวตสนับสนุนการแก้รัฐธรรมนูญอยู่แล้ว เพราะไม่อาจต้าน “แรงกดดัน” ของรัฐบาลพรรคเดียวและภาคประชาชนได้อยู่แล้ว แต่พอโหวตอนุทินเป็นนายกฯ ก็เท่ากับไป “เพิ่มอำนาจต่อรองทางการเมือง” ของพรรคน้ำเงินและ สว.น้ำเงินให้พุ่งขึ้นถึง "จุดสูงสุด" ขนาดต้องคดีทุจริตเลือก สว.แล้วแท้ๆ ยังต่อรองจนเป็นรัฐบาลได้ และยังสามารถสร้างอำนาจต่อรองสูงในการแก้รัฐธรรมนูญได้อีกด้วย จนเสี่ยงว่า “รัฐธรรมนูญฉบับใหม่” อาจเป็น "รัฐธรรมนูญสีน้ำเงิน" และอำนาจต่อรองของ "สีน้ำเงิน" จะยิ่งสูงขึ้นในสมัยรัฐบาลหน้า ถ้าพรรคน้ำเงินได้ ส.ส.เพิ่มมากขึ้น ส่วนพรรคส้มที่กระแสนิยมพุ่งสูงสุดใน "ช่วงก่อนโหวตอนุทิน" ซึ่งมีโอกาสสูงมากที่จะได้เป็นรัฐบาลพรรคเดียว หากโหวตชัยเกษมแล้วยุบสภาทันทีแล้วเลือกตั้งใหม่ แต่หลังจากโหวตอนุทินจนถึงตอนนี้คะแนนนิยมน่าจะตกลงแล้ว โอกาสเป็นรัฐบาลพรรคเดียวก็น่าจะ “ห่างออกไป” อีกมาก การยอมเสียหลักการและความผิดพลาดในการตั้งธงผิดๆ ทั้งหมดนี้ น่าจะเกิดจาก “ความแค้นที่มีต่อเพื่อไทย” เป็นด้านหลักใช่หรือไม่ เพราะเรามองไม่เห็น “เหตุผลที่สมเหตุสมผลอย่างแท้จริง” ในการยอมเสียหลักการ และยอมเสี่ยงร่วมหัวจมท้ายในเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ “ภายใต้เงื่อนไข” ที่เพิ่มอำนาจต่อรองทางการเมืองของพรรคน้ำเงินและ สว.น้ำเงินที่โดนคดีทุจริตเลือก สว.ให้สูงขึ้นถึงจุดสูงสุดทั้งในสภาชุดนี้ และยังจะสูงอีกในสภาชุดหน้า น่าเสียดายที่พรรคส้มมองเห็นปัญหาของเพื่อไทยและพรรคอื่นๆ ที่เป็นพวก “ปฏฎิบัตินิยม” ซึ่ง “มุ่งผลลัพธ์โดยไม่เลือกวิธีการ” มาตลอด แต่แล้วพรรคส้มก็กลายเป็นพวกปฏิบัตินิยมเสียเอง! ความเป็นปฏิบัตินิยมของพรรคส้ม ทำให้เกิดคำถามสำคัญว่า “การเมืองแบบใหม่” ของพรรคส้ม ทำไมยังเดินตามปฏิบัตินิยมแบบฝ่ายตรงข้ามที่พวกตนโจมตีว่าเป็น “การเมืองแบบเก่า มาตรฐานต่ำ” ซึ่งความเป็นปฏิบัตินิยมแบบพรรคส้มเห็นได้ชัดมากในเรื่อง “สองมาตรฐาน” ในการตรวจสอบ “การใช้อภิสิทธิ์” กรณีคดี ชั้น 14 ของทักษิณ ชินวัตร ที่พรรคส้มตรวจสอบแบบ “กัดไม่ปล่อย” ทั้งโดยการอภิปรายในสภาและการตรวจสอบนอกสภา จนเป็นกระแสต่อเนื่องส่งพลัง “ความชอบธรรม” อย่างมีนัยสำคัญให้กับศาลของรัฐพันลึกยกเรื่องขึ้นไต่สวนเอง จนเอาทักษิณเข้าคุกในคดีที่ตั้งโดยคณะรัฐประหารในที่สุด ขณะที่ตรวจสอบการใช้อภิสิทธิ์กรณีคดีชั้น 14 ซึ่งเป็น “คดีจากคณะรัฐประหาร” พรรคส้มเน้นหลักการ “ผิดต้องว่าไปตามผิด” หรือ “ปล่อยให้คนผิดลอยนวลไม่ได้” เด็ดขาด แต่กับ “กรณีทุจริตเลือก สว.” เหมือนพรรคส้มจะใช้หลักการ “ผิดหรือไม่ปล่อยผ่านไปก่อน” ดังนั้น แทนที่พรรคส้มจะตั้ง “ธงทำลายอำนาจต่อรองทางการเมืองของพรรคน้ำเงิน และ สว.น้ำเงิน” ที่โดนคดีอยู่แล้ว กลับ “สมยอม” ให้พรรคน้ำเงินใช้ “สว.ฮั้ว” มาต่อรองอำนาจทางการเมืองจนได้เป็นรัฐบาลที่มีอำนาจดูแล “คดีของฝ่ายตนเอง” ได้ เพื่อแลกกับ MOA ของพรรคส้ม นี่คือ “สองมาตรฐาน” ในการตรวจสอบการใช้อภิสิทธิ์ทางการเมือง กับอภิสิทธิ์ชั้น 14 “ต้องเอาผิดให้ได้” แต่กับอภิสิทธิ์ของพรรคการเมืองที่โดนคดีทุจริตเลือก สว. และยังใช้ สว.ที่โดนคดีแบบเดียวกันมาใช้ต่อรองอำนาจทางการเมืองได้ ซึ่งเป็น “โคตรอภิสิทธิ์” ที่ทำลายหลักการ free and fair ของระบอบประชาธิปไตยอย่างชัดแจ้งมากกว่า แทนที่พรรคส้มจะตรวจอบแบบ “ต้องเอาผิดให้ได้” ในมาตรฐานเดียวกับอภิสิทธิ์ชั้น 14 กลับ “ให้ความร่วมมือ” ในการใช้โคตรอภิสิทธิ์ของพรรคน้ำเงินและ สว.น้ำเงิน จนทำให้อำนาจต่อรองทางการเมืองของพวกเขาพุ่งขึ้นถึงจุดสูงสุดดังกล่าวแล้ว  หลังโหวตอนุทินเป็นนายกฯ ที่สะท้อนภาพ “สองมาตรฐาน” ดังกล่าว พรรคส้มก็ประกาศสโลแกน “มีเราไม่มีเทา” ซึ่งกลายเป็นสโลแกนหาเสียงภายใต้แนวคิด “ไทยไม่เทา ไทยเท่ากัน ไทยทันโลก” น่าตั้งคำถามว่า “วงศาคณาญาติ” ของแนวคิดการเมืองไม่เทาใน “ประวัติศาสตร์การเมืองไทยระยะใกล้” คืออะไร แนวคิดการเมืองไม่เทาในประวัติศาสตร์การเมืองไทยระยะใกล้ ที่เห็นได้ชัดมาก น่าจะมีวงศาคณาญาติมาจากกลุ่มความคิดประเภท "ธรรม-อธรรม, เทพ-มาร, คนดี-คนชั่ว, สุจริตโปร่งใส-ทุจริตโกง ฯลฯ" ที่ใช้เป็น "วาทกรรมการเมือง" ของรัฐพันลึกมากว่าสองทศวรรษ ซึ่งเป็น "ส่วนขยาย" จากแนวคิดหลักของรัฐพันลึกที่สถาปนาการอุดมการณ์ปกครองโดยธรรมไว้สูงสุด ซึ่งถูกพูดให้เข้าใจง่ายขึ้นว่า "การป้องกันคนเลวไม่ให้มีอำนาจหรือเป็นผู้ปกครอง ยกคนดีขึ้นเป็นผู้ปกครอง" ดังที่เราทราบกันดี ตัวอย่างรูปธรรม เช่น เปรม ติณสูลานนท์ คือคนดีที่เป็น "เสาหลักทางจริยธรรม" ของประเทศ ชวน หลีกภัยคือตัวอย่างนักการเมืองซื่อสัตย์สุจริต จนมาถึงประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่บริหารประเทศมา 9 ปี ก็ไม่โกง แต่เป็นคนดีมาสร้างรัฐธรรมนูญปราบโกง หากพูดอย่างเจาะจง ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา การเมืองแบบธรรมะ คนดี สุจริต โปร่งใสถูกขับเน้นโดยประชาธิปัตย์, พธม., กปปส. และรัฐพันลึกที่ทำรัฐประหาร เพื่อต่อสู้กับ “การเมืองเทาๆ” ที่ถูกกล่าวหาว่าโกง โคตรโกง โกงทั้งโคตรของ "ระบอบทักษิณ" หรือการเมืองบ้านใหญ่ชินวัตรโดยตรง เพราะข้อเท็จจริงคือ ไม่ว่าการเมืองนอกสภาของ พธม., กปปส. การเมืองในสภาของประชาธิปัตย์ และ “การเมืองนอกระบบรัฐสภา” ของรัฐพันลึกที่ใช้วิธีรัฐประหารและกลไกองค์กร(ไม่)อิสระต่างๆ ก็ล้วนแต่เป็น “การเมืองไม่เทา” หรือ “การเมืองสุจริตโปร่งใส” ของคนดีมีคุณธรรมที่มีเป้าหมายเพื่อ “ทำลาย” การเมืองโกงของระบอบทักษิณ ด้วยการใช้อำนาจนอกระบบและในระบบรัฐสภาควบคู่กันมาตลอดสองทศวรรษ การเมืองไม่เทาแบบ “มีเราไม่มีเทา” หรือ “ไทยไม่เทา” ก็น่าจะอยู่ในวงศาคณาญาติเดียวกันกับกระแสการเมืองสุจริตไม่โกงที่ว่ามา (ไม่มากก็น้อย) เพราะ "มีเราไม่มีเทา" หรือ "ไทยไม่เทา" ก็ย่อมหวังคะแนนเสียงจาก "กลุ่มโหวตเตอร์" แบบ พธม., กปปส. หรือคนเคยเป็นหรือเคยมี "เชื้อความคิด" แบบ พธม., กปปส. มาก่อนด้วยอย่างมีนัยสำคัญ สรุป ประเทศนี้มีนักการเมืองโกงคนคนสำคัญๆ ที่ “ปราบได้จริง” คือ “ทักษิณ, ยิ่งลักษณ์” มีพรรคโกงพรรคเดียวที่ปราบได้จริงคือ “เพื่อไทย” วิธีปราบโกงก็ใช้ “วิธีพิศดาร” (ใช้กลไกอำนาจนอกและในระบบควบคู่กัน) กับบุคคลและพรรคนี้โดยเฉพาะ โดยมีพรรคการเมืองอื่นๆ ที่เหลือให้ความร่วมมือกับวิธีการพิศดารนี้ด้วยมาตลอด จนล่าสุดพรรคส้มก็ร่วมมือกับการใช้วิธีการพิศดารนี้ด้วย ในการเปลี่ยนรัฐบาลเพื่อไทยเป็นภูมิใจไทย จึงไม่แปลกที่ “การเมืองไม่เทา” ของพรรคส้มกับ “การเมืองสุจริต” ของประชาธิปัตย์ดูจะกลมกลืนไปด้วยกันได้ พูดอย่างตรงไปตรงมาคือ ทุกพรรคล้วนเป็น “ปฏิบัตินิยม” ที่มุ่งบรรลุเป้าหมายโดยไม่เลือกวิธีการ แต่พรรคที่ผิดที่สุด สมควรตายหมื่นๆ ครั้งคือเพื่อไทย ทั้งๆ ที่เพื่อไทยไม่เคยร่วมในเกมที่ใช้กลไกอำนาจในและนอกระบบล้มรัฐบาลพรรคอื่นๆ เลย มีแต่ถูกทำลายด้วยเกมนี้ที่มีพรรคอื่นๆ เข้าร่วม สุดท้ายแล้วเรามี “พรรคการเมืองไม่เทา” ที่เป็นพรรคฝ่ายประชาธิปไตยมากกว่า ก้าวหน้ามากกว่า เป็นความหวังในการเปลี่ยนประเทศให้เป็นประชาธิปไตยมากกว่า ซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่แสดงออกให้ประชาชนเชื่อถือได้ “อย่างเป็นที่ประจักษ์” ว่าไม่เป็นพวกปฎิบัตินิยมที่มุ่งผลลัพธ์โดยไม่เลือกวิธีการว่าจะผิดหรือถูก เป็นพรรคที่ก้าวข้าม “การให้ความร่วมมือกับรัฐพันลึกในการใช้อำนาจนอกระบบและในระบบ” ทำลายทักษิณและเพื่อไทยโดยเฉพาะมาตลอด และเป็นพรรคก้าวข้าม “สองมาตรฐาน” ในการตรวจสอบการใช้อภิสิทธิ์ทางการเมืองได้อย่างแท้จริง เรามี “พรรคการเมืองในอุดมคติ” แบบนี้ให้เลือกจริงๆ หรือ หรือแม้แต่เรามีพรรคการเมืองก้าวหน้าที่ “ก้าวข้าม” ความเกลียดชังและความแค้นต่อทักษิณและเพื่อไทยแล้วจริงๆ หรือ ถ้าไม่มีพรรคการเมืองในอุดมคติเช่นนั้นอยู่จริง เราจะเลือกอย่างไร นี่คือคำถามท้าทายสำหรับการเลือกตั้งครั้งหน้า!     * บทความ * การเมือง * สุรพศ ทวีศักดิ์ * พรรคเพื่อไทย * พรรคประชาชน
dlvr.it
December 9, 2025 at 3:42 AM
กวีประชาไท: เราต่างเป็นผู้ลี้ภัย
กวีประชาไท: เราต่างเป็นผู้ลี้ภัย
กวีประชาไท: เราต่างเป็นผู้ลี้ภัย อรรณพ วันศรี   sarayut Tue, 2025-12-09 - 10:04     เราหนีสงครามที่ไม่มีเสียงปืน มีแค่ธงชาติสองผืนถูกย้อมด้วยความโกรธ จนชายแดนสั่นเหมือนลมหายใจแห่งความเกลียดช้ง เราเดินผ่านเจ้าที่ สวดขอ “สันติภาพเร็วๆ” แต่ธูปกลับไหม้เป็นรูปกำแพงลวดหนาม เด็กถือเปลวไฟในกล่องนม ผู้ใหญ่ถือความกลัวในโทรศัพท์ ทั้งคู่อยู่ในศูนย์อพยพจากโลกที่ไม่เข้าใจ เราหอบแผนที่ที่เปลี่ยนรูปร่างทุกเช้า เส้นพรมแดนบิดเยี้ยวเหมือนรอยพับใจ บอกเราว่า ที่ไหนก็ไม่ใช่บ้านของเรา สุดท้ายเรามาถึงที่หมายเดียวกัน ดินแดนที่เขียนว่า “สันติภาพ” ด้วยปากกาเมจิก ลบง่ายแต่เราเลือกจะนอนพักตรงนั้นก่อน   * บทความ * การเมือง * วัฒนธรรม * กวีประชาไท * อรรณพ วันศรี
dlvr.it
December 9, 2025 at 3:42 AM