สายตามองตรงไปที่คำสั้น ๆ แต่ได้ใจความกลางกระดาษ หลังชั่งใจอยู่สักพักเขาก็สลัดความรู้สึกไม่ดีทั้งหมดที่มีทิ้งไปแล้วตัดสินใจที่จะ【ตามหาเจ้าของกระดาษ】เพื่อนำไปคืน—
สายตามองตรงไปที่คำสั้น ๆ แต่ได้ใจความกลางกระดาษ หลังชั่งใจอยู่สักพักเขาก็สลัดความรู้สึกไม่ดีทั้งหมดที่มีทิ้งไปแล้วตัดสินใจที่จะ【ตามหาเจ้าของกระดาษ】เพื่อนำไปคืน—
เขากระพริบตาปริบ ตาเหลือบมองชื่อที่ถูกลงนามไว้ที่มุมกระดาษ ชั่งใจว่าจะทำอย่างไรกับมันดี
หากจะเอาไปทิ้งก็คงดูใจร้ายแปลก ๆ แต่จะเอากลับบ้านไปด้วยก็คล้ายจะเป็นการลักขโมย แต่จะให้เอาไปคืนโดยตรง—นึกได้ถึงตรงนี้ ไทเซย์กลับลังเลขึ้นมา
+
เขากระพริบตาปริบ ตาเหลือบมองชื่อที่ถูกลงนามไว้ที่มุมกระดาษ ชั่งใจว่าจะทำอย่างไรกับมันดี
หากจะเอาไปทิ้งก็คงดูใจร้ายแปลก ๆ แต่จะเอากลับบ้านไปด้วยก็คล้ายจะเป็นการลักขโมย แต่จะให้เอาไปคืนโดยตรง—นึกได้ถึงตรงนี้ ไทเซย์กลับลังเลขึ้นมา
+
เจ้าของจดหมายฉบับนี้อาจจะตามหาคุณไม่เจอ หรือไม่คิดตามหา คุณถึงไม่เห็นหัวคนที่ชื่อโคโบะ ริวอิจิ โผล่มาทวงจดหมายคืนเลย
[ตัวอักษรสีแดง]
เจ้าของจดหมายฉบับนี้จะตามมาขอกระดาษจากคุณคืนตอนท้ายวัน (ถ้าคุณเปิดโอกาสให้เขารู้)
[พื้นหลังสีดำ]
ไม่มีใครโผล่มาขอจดหมายฉบับนี้คืน แต่คุณจะรู้สึกเหมือนถูกจ้องมองจากทางไหนก็ไม่รู้ไปตลอดทั้งวัน
เจ้าของจดหมายฉบับนี้อาจจะตามหาคุณไม่เจอ หรือไม่คิดตามหา คุณถึงไม่เห็นหัวคนที่ชื่อโคโบะ ริวอิจิ โผล่มาทวงจดหมายคืนเลย
[ตัวอักษรสีแดง]
เจ้าของจดหมายฉบับนี้จะตามมาขอกระดาษจากคุณคืนตอนท้ายวัน (ถ้าคุณเปิดโอกาสให้เขารู้)
[พื้นหลังสีดำ]
ไม่มีใครโผล่มาขอจดหมายฉบับนี้คืน แต่คุณจะรู้สึกเหมือนถูกจ้องมองจากทางไหนก็ไม่รู้ไปตลอดทั้งวัน
อะไรกัน เพิ่งจะเปิดเทอมวันแรกแท้ ๆ หรือชีวิตของเขาจะต้อง…?
อะไรกัน เพิ่งจะเปิดเทอมวันแรกแท้ ๆ หรือชีวิตของเขาจะต้อง…?
อา ผมเห็นแล้ว
ดวงตากลมใสไร้ชีวิตชีวาดวงนั้น ดวงตาสีเดียวกันกับท้องฟ้าในวันนี้ ดวงตาที่ผมเฝ้ามองมาโดยตลอด มันหันกลับมาสบประสานเข้ากับผมแล้ว
ร่างกายอ่อนแอของผมพลันรู้สึกแข็งแรงขึ้นมาอย่างน่าประหลาด ผมยกยิ้ม เอ่ยถามแล้วเรียกชื่อเธอออกไปทั้งอย่างนั้น
“ว่าไหม รี่จัง?”
อา ผมเห็นแล้ว
ดวงตากลมใสไร้ชีวิตชีวาดวงนั้น ดวงตาสีเดียวกันกับท้องฟ้าในวันนี้ ดวงตาที่ผมเฝ้ามองมาโดยตลอด มันหันกลับมาสบประสานเข้ากับผมแล้ว
ร่างกายอ่อนแอของผมพลันรู้สึกแข็งแรงขึ้นมาอย่างน่าประหลาด ผมยกยิ้ม เอ่ยถามแล้วเรียกชื่อเธอออกไปทั้งอย่างนั้น
“ว่าไหม รี่จัง?”
เธอยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน—ท่ามกลางฝูงชนที่ผมเดินออกมา
ผมก้าวกลับเข้าไป
ต่อให้รู้อยู่แก่ใจว่าเสียงรอบข้างจะดังกลบทุกพยางค์ที่ผมกล่าว แต่ผมกลับไม่ลังเลที่จะพูดออกไป
+
เธอยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน—ท่ามกลางฝูงชนที่ผมเดินออกมา
ผมก้าวกลับเข้าไป
ต่อให้รู้อยู่แก่ใจว่าเสียงรอบข้างจะดังกลบทุกพยางค์ที่ผมกล่าว แต่ผมกลับไม่ลังเลที่จะพูดออกไป
+
หริ่ง หริ่ง หริ่ง หริ่ง หริ่ง หริ่ง หริ่ง หริ่ง
หริ่ง หริ่ง หริ่ง หริ่ง หริ่ง หริ่ง หริ่ง หริ่ง
หริ่ง หริ่ง หริ่ง หริ่ง หริ่ง หริ่ง หริ่ง หริ่ง
หริ่ง หริ่ง หริ่ง หริ่ง หริ่ง หริ่ง หริ่ง หริ่ง
หริ่ง หริ่ง หริ่ง หริ่ง หริ่ง หริ่ง หริ่ง หริ่ง
“เสียงของจั๊กจั่นที่กำลังกรีดร้อง”
(end route.)
หริ่ง หริ่ง หริ่ง หริ่ง หริ่ง หริ่ง หริ่ง หริ่ง
หริ่ง หริ่ง หริ่ง หริ่ง หริ่ง หริ่ง หริ่ง หริ่ง
หริ่ง หริ่ง หริ่ง หริ่ง หริ่ง หริ่ง หริ่ง หริ่ง
หริ่ง หริ่ง หริ่ง หริ่ง หริ่ง หริ่ง หริ่ง หริ่ง
หริ่ง หริ่ง หริ่ง หริ่ง หริ่ง หริ่ง หริ่ง หริ่ง
“เสียงของจั๊กจั่นที่กำลังกรีดร้อง”
(end route.)