Pfp : สเลดติดคอ
( Very slow to reply )
Doc https://docs.google.com/document/d/1Io56hmQ_XJGvBRbP0t1jnWX54Fq0dN9vzOooaHn91nQ/edit?usp=drivesdk
เสียงส้นรองเท้าของเขากระทบพื้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอ แต่ทุกก้าวกลับรู้สึกเบากว่าปกติเล็กน้อย ราวกับสติของเขายังติดค้างอยู่ที่ริมฝีปากที่ยังคงชาอยู่ไม่หาย
เสียงส้นรองเท้าของเขากระทบพื้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอ แต่ทุกก้าวกลับรู้สึกเบากว่าปกติเล็กน้อย ราวกับสติของเขายังติดค้างอยู่ที่ริมฝีปากที่ยังคงชาอยู่ไม่หาย
อีกฝ่ายดูเหมือนจะได้ของครบแล้วเลยเดินนำออกไปก่อน เสียงกระดิ่งเหนือประตูดังเบา ๆ ตามด้วยลมเย็นเข้าปะทะใบหน้าอีกครั้ง ยืนรอกระทั่งคนข้างในร้านคิดเงินเสร็จและออกมา จึงค่อยพูดต่อเพราะตัดสินใจได้แล้ว
“น่าเสียดายที่คริสต์มาสปีนี้ฉันก็ต้องกลับ แม้อยากอยู่ที่นี่มากกว่า”
“นี่เป็นโอกาสสุดท้ายแล้ว ฉันมีเรื่องที่ต้องตัดสินใจและต้องพูดกับแม่ให้ได้”
“ไว้จะเก็บภาพบรรยากาศที่โลกมักเกิ้ลมาฝาก”
อีกฝ่ายดูเหมือนจะได้ของครบแล้วเลยเดินนำออกไปก่อน เสียงกระดิ่งเหนือประตูดังเบา ๆ ตามด้วยลมเย็นเข้าปะทะใบหน้าอีกครั้ง ยืนรอกระทั่งคนข้างในร้านคิดเงินเสร็จและออกมา จึงค่อยพูดต่อเพราะตัดสินใจได้แล้ว
“น่าเสียดายที่คริสต์มาสปีนี้ฉันก็ต้องกลับ แม้อยากอยู่ที่นี่มากกว่า”
“นี่เป็นโอกาสสุดท้ายแล้ว ฉันมีเรื่องที่ต้องตัดสินใจและต้องพูดกับแม่ให้ได้”
“ไว้จะเก็บภาพบรรยากาศที่โลกมักเกิ้ลมาฝาก”
กระแอมเบา ๆ ครั้งหนึ่ง ดึงหน้ากลับคืนสู่ความนิ่งที่คุ้นเคย
ในความคิดของเซบาสเตียน หากมีใครสักคนที่รักและคิดถึงส่งจดหมายมาหาคงอยากเห็นหน้ามากกว่าเมื่อเทียบกับตัวอักษรบนกระดาษ
“ฉันไม่ได้หมายถึงให้นายกลับบ้านสักหน่อย”
“รูปถ่ายน่ะ”
จึงได้ถามออกไปแบบนั้น และเอ่ยต่อ
“ชมรมหนังสือพิมพ์น่าจะมีกล้องให้เรายืม”
“คิดว่าไง?”
กระแอมเบา ๆ ครั้งหนึ่ง ดึงหน้ากลับคืนสู่ความนิ่งที่คุ้นเคย
ในความคิดของเซบาสเตียน หากมีใครสักคนที่รักและคิดถึงส่งจดหมายมาหาคงอยากเห็นหน้ามากกว่าเมื่อเทียบกับตัวอักษรบนกระดาษ
“ฉันไม่ได้หมายถึงให้นายกลับบ้านสักหน่อย”
“รูปถ่ายน่ะ”
จึงได้ถามออกไปแบบนั้น และเอ่ยต่อ
“ชมรมหนังสือพิมพ์น่าจะมีกล้องให้เรายืม”
“คิดว่าไง?”
พอหันกลับมา ก็สบเข้ากับดวงตาสีฟ้าใสคู่ตรงหน้าพอดิบพอดี
“เหมือนว่าเราจะสูงเท่ากันนะ”
เขาว่า พลางกวาดสายตาเทียบระดับไหล่ แล้วจึงเหลือบขึ้นไปมองอีกฝ่ายแบบประจันหน้า
“อะไร อยากแข่งจ้องตากับฉันรึไง?”
พอหันกลับมา ก็สบเข้ากับดวงตาสีฟ้าใสคู่ตรงหน้าพอดิบพอดี
“เหมือนว่าเราจะสูงเท่ากันนะ”
เขาว่า พลางกวาดสายตาเทียบระดับไหล่ แล้วจึงเหลือบขึ้นไปมองอีกฝ่ายแบบประจันหน้า
“อะไร อยากแข่งจ้องตากับฉันรึไง?”
“ไม่คิดว่าเขาจะอยากเจอหน้านายในวันคริสต์มาสบ้างเหรอ?”
“ไม่คิดว่าเขาจะอยากเจอหน้านายในวันคริสต์มาสบ้างเหรอ?”
แต่กลายเป็นว่าทำให้พอเข้าใจอยู่ไม่น้อย เด็กที่เกรงใจจะใช้เงินหากไม่จำเป็น และผู้ปกครองก็ทำงานหนัก เมื่อตัดของฟุ่มเฟือยก็เหลือแค่ของจำเป็นไม่กี่อย่างที่พอจะนึกออก
“ของที่ไม่แพง ไม่ก็มีคุณค่าทางจิตใจ” เอ่ยสรุปเสียงเรียบ
“นายไม่ได้กลับบ้านฉลองเทศกาลตั้ง 6 ปี แม่คงจะคิดถึงนายบ้างแหละ”
|
แต่กลายเป็นว่าทำให้พอเข้าใจอยู่ไม่น้อย เด็กที่เกรงใจจะใช้เงินหากไม่จำเป็น และผู้ปกครองก็ทำงานหนัก เมื่อตัดของฟุ่มเฟือยก็เหลือแค่ของจำเป็นไม่กี่อย่างที่พอจะนึกออก
“ของที่ไม่แพง ไม่ก็มีคุณค่าทางจิตใจ” เอ่ยสรุปเสียงเรียบ
“นายไม่ได้กลับบ้านฉลองเทศกาลตั้ง 6 ปี แม่คงจะคิดถึงนายบ้างแหละ”
|
…
หันหน้าหนีอีกครั้ง คราวนี้ซ่อนสีหน้าและปากที่เม้มเข้าหากันไม่ให้ยกขึ้นตามใจตัวเอง เห็นได้ชัดว่าพยายามกลั้นยิ้ม แต่สุดท้ายก็ทนระบายยิ้มเล็ก ๆ ออกมาไม่ไหว
โดนเส้นเข้าอย่างจัง แล้วพร็อพประกอบฉาก(?)นั่นมันอะไร
“ถามจริงเถอะ นาธาเนียล บรูคส์ นายทนทำหน้านิ่ง ๆ ตอนโพสแบบนั้นได้ยังไงกัน”
เมื่อคิดทวนไอเดียที่เสนอมาจึงเอียงคอพิจารณา
…
หันหน้าหนีอีกครั้ง คราวนี้ซ่อนสีหน้าและปากที่เม้มเข้าหากันไม่ให้ยกขึ้นตามใจตัวเอง เห็นได้ชัดว่าพยายามกลั้นยิ้ม แต่สุดท้ายก็ทนระบายยิ้มเล็ก ๆ ออกมาไม่ไหว
โดนเส้นเข้าอย่างจัง แล้วพร็อพประกอบฉาก(?)นั่นมันอะไร
“ถามจริงเถอะ นาธาเนียล บรูคส์ นายทนทำหน้านิ่ง ๆ ตอนโพสแบบนั้นได้ยังไงกัน”
เมื่อคิดทวนไอเดียที่เสนอมาจึงเอียงคอพิจารณา
“ฉันก็อยากลองอยู่ที่ฮอกวอตส์สักปีอยู่เหมือนกัน เบื่อที่บ้านจะแย่”
พูดให้ชัดเจนกว่านั้นคือเบื่อสายตาและคำถามเดิม ๆ จะเหล่าญาติ ๆ ขณะร่วมโต๊ะอาหาร ซ้ำยังถูกเปรียบเทียบกับลูกพี่ลูกน้องเป็นประจำทุกปี
“นายเคยตัวเล็กขนาดนั้นเลย?”
เขาก้มมองลงไปยังระดับที่อีกฝ่ายวางมือวัดความสูงในวัยเด็ก ก่อนจะเลื่อนสายตาขึ้นมายังร่างสูงตรงหน้าที่กะได้ประมาณ 6 ฟุต
“กินอะไรเข้าล่ะนั่น”
“ฉันก็อยากลองอยู่ที่ฮอกวอตส์สักปีอยู่เหมือนกัน เบื่อที่บ้านจะแย่”
พูดให้ชัดเจนกว่านั้นคือเบื่อสายตาและคำถามเดิม ๆ จะเหล่าญาติ ๆ ขณะร่วมโต๊ะอาหาร ซ้ำยังถูกเปรียบเทียบกับลูกพี่ลูกน้องเป็นประจำทุกปี
“นายเคยตัวเล็กขนาดนั้นเลย?”
เขาก้มมองลงไปยังระดับที่อีกฝ่ายวางมือวัดความสูงในวัยเด็ก ก่อนจะเลื่อนสายตาขึ้นมายังร่างสูงตรงหน้าที่กะได้ประมาณ 6 ฟุต
“กินอะไรเข้าล่ะนั่น”
ไม่รู้หรอก เพราะเซบาสเตียนกลับบ้านทุกปิดเทอม
“ลองคิดกลับกัน”
“นายมีของที่อยากได้จากแม่บ้างไหม ?”
คำถามฟังดูง่าย แต่ตั้งใจโยงถึงทั้งความสัมพันธ์ในครอบครัวและความชอบส่วนตัวไปพร้อมกัน
ไม่รู้หรอก เพราะเซบาสเตียนกลับบ้านทุกปิดเทอม
“ลองคิดกลับกัน”
“นายมีของที่อยากได้จากแม่บ้างไหม ?”
คำถามฟังดูง่าย แต่ตั้งใจโยงถึงทั้งความสัมพันธ์ในครอบครัวและความชอบส่วนตัวไปพร้อมกัน
จนกระทั่งอีกคนยกสิ่งที่เขาไม่อยากได้ยินขึ้นมา จึงเบือนหน้าออกไป เพียงพอจะซ่อนสีหน้าในมุมที่ทำให้เดาอารมณ์ได้ไม่ถนัด
“ใช่ เก่งยิ่งกว่าฉันอีก”
ตอบสั้น ๆ ตามนิสัย
“พูดยังไงดี ชื่อพี่มันสะกิดแผลใจฉัน”
“แค่นั้นเลย”
ถึงแม้เรื่องนี้จะอยู่ในระดับที่ไม่ถือสาแล้วหากอีกฝ่ายพูดขึ้นมา ทว่าสีหน้ากลับไม่ได้บอกเลยว่ามีแค่นั้น เสี้ยวความหงุดหงิดผุดขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะพยายามเก็บอาการ ดึงกลับเข้าหัวข้อของขวัญ
จนกระทั่งอีกคนยกสิ่งที่เขาไม่อยากได้ยินขึ้นมา จึงเบือนหน้าออกไป เพียงพอจะซ่อนสีหน้าในมุมที่ทำให้เดาอารมณ์ได้ไม่ถนัด
“ใช่ เก่งยิ่งกว่าฉันอีก”
ตอบสั้น ๆ ตามนิสัย
“พูดยังไงดี ชื่อพี่มันสะกิดแผลใจฉัน”
“แค่นั้นเลย”
ถึงแม้เรื่องนี้จะอยู่ในระดับที่ไม่ถือสาแล้วหากอีกฝ่ายพูดขึ้นมา ทว่าสีหน้ากลับไม่ได้บอกเลยว่ามีแค่นั้น เสี้ยวความหงุดหงิดผุดขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะพยายามเก็บอาการ ดึงกลับเข้าหัวข้อของขวัญ
เปรียบน้องสาวของนาธาเนียลกับพี่ชายของเขา ต่างกันราวฟ้ากับเหว
“ให้แม่สินะ งั้นของที่ดูเด็กไปหน่อยก็ตัดทิ้งได้เลย”
เขาไม่ได้ใกล้ชิดกับแม่ตัวเองเท่าพ่อ การเอ่ยถึงแม่ของใครสักคนจึงไม่ใช่สิ่งที่ทำให้รู้สึกประดักประเดิดเป็นพิเศษ
ยังยืนอยู่ตำแหน่งเดิม มือหนึ่งล้วงกระเป๋าเสื้อโค้ต อีกมือปล่อยตามสบาย เพียงหันหน้าตามคู่สนทนาที่เดินไปหยุดตรงตู้ลิ้นชักที่อยู่ถัดไป
เปรียบน้องสาวของนาธาเนียลกับพี่ชายของเขา ต่างกันราวฟ้ากับเหว
“ให้แม่สินะ งั้นของที่ดูเด็กไปหน่อยก็ตัดทิ้งได้เลย”
เขาไม่ได้ใกล้ชิดกับแม่ตัวเองเท่าพ่อ การเอ่ยถึงแม่ของใครสักคนจึงไม่ใช่สิ่งที่ทำให้รู้สึกประดักประเดิดเป็นพิเศษ
ยังยืนอยู่ตำแหน่งเดิม มือหนึ่งล้วงกระเป๋าเสื้อโค้ต อีกมือปล่อยตามสบาย เพียงหันหน้าตามคู่สนทนาที่เดินไปหยุดตรงตู้ลิ้นชักที่อยู่ถัดไป
"ให้น้องสาวเหรอ ?"
“เธอชอบอะไรล่ะ”
"ให้น้องสาวเหรอ ?"
“เธอชอบอะไรล่ะ”
เอ่ยพลางเลิกคิ้วใส่เล็กน้อย แล้วก็กลับมาทำหน้าเรียบเฉยหลังก้าวผ่านประตูร้านเข้ามา
"ไม่บ่อยนัก"
ตอบสั้น ๆ ขณะกวาดสายตามองไปรอบร้าน ปรกติแล้วไม่ใช่คนที่เลือกซื้อของขวัญบ่อย ส่วนใหญ่แล้วเป็นฝ่ายรับมากกว่าจะให้ และเวลาที่ให้ก็มักเกี่ยวข้องกับโอกาสพิเศษเท่านั้น
"ขึ้นอยู่กับว่าผู้รับเป็นใคร"
เอ่ยพลางเลิกคิ้วใส่เล็กน้อย แล้วก็กลับมาทำหน้าเรียบเฉยหลังก้าวผ่านประตูร้านเข้ามา
"ไม่บ่อยนัก"
ตอบสั้น ๆ ขณะกวาดสายตามองไปรอบร้าน ปรกติแล้วไม่ใช่คนที่เลือกซื้อของขวัญบ่อย ส่วนใหญ่แล้วเป็นฝ่ายรับมากกว่าจะให้ และเวลาที่ให้ก็มักเกี่ยวข้องกับโอกาสพิเศษเท่านั้น
"ขึ้นอยู่กับว่าผู้รับเป็นใคร"
“แต่เอาไว้หลังจากนายเลือกของเสร็จแล้วก็ได้ มันอยู่ตรงข้ามร้านฮันนี่ดุ๊กส์นี่เอง”
ท้ายประโยคเขายักไหล่เบาๆ บอกเป็นนัยว่าไม่ได้ลำบากใจที่ต้องขยับแผนที่วางไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ
“แต่เอาไว้หลังจากนายเลือกของเสร็จแล้วก็ได้ มันอยู่ตรงข้ามร้านฮันนี่ดุ๊กส์นี่เอง”
ท้ายประโยคเขายักไหล่เบาๆ บอกเป็นนัยว่าไม่ได้ลำบากใจที่ต้องขยับแผนที่วางไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ
“ฉันไม่ป่วยง่าย ๆ หรอก”
“แล้วฉันก็ไม่ได้ตอบตกลงเพราะแค่นายขอให้มาช่วยสักหน่อย”
ฟังเหมือนเถียง ทว่าใช้น้ำเสียงโทนกลาง ๆ ที่มักใช้เวลาไม่รู้จะอธิบายความจริงใจยังไง
เดิมที เขาตั้งใจว่ามาถึงฮอกส์มี้ดแล้วจะแวะร้านหนังสือเป็นอันดับแรก นั่นเป็นแผนสำหรับการมาเพียงคนเดียว แต่วันนี้มันต่างออกไป
“ฉันไม่ป่วยง่าย ๆ หรอก”
“แล้วฉันก็ไม่ได้ตอบตกลงเพราะแค่นายขอให้มาช่วยสักหน่อย”
ฟังเหมือนเถียง ทว่าใช้น้ำเสียงโทนกลาง ๆ ที่มักใช้เวลาไม่รู้จะอธิบายความจริงใจยังไง
เดิมที เขาตั้งใจว่ามาถึงฮอกส์มี้ดแล้วจะแวะร้านหนังสือเป็นอันดับแรก นั่นเป็นแผนสำหรับการมาเพียงคนเดียว แต่วันนี้มันต่างออกไป
พลันนึกถึงคำพูดก่อนหน้านี้
เขาคงไม่ได้ใส่ใจจริง ๆ อย่างที่ถูกว่าไว้ จนถึงเมื่อกี้นี้
“แค่ร้านเครื่องเขียน ?”
“เอาสิ”
พลันนึกถึงคำพูดก่อนหน้านี้
เขาคงไม่ได้ใส่ใจจริง ๆ อย่างที่ถูกว่าไว้ จนถึงเมื่อกี้นี้
“แค่ร้านเครื่องเขียน ?”
“เอาสิ”
สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อจู่ ๆ มือถูกคว้าไป เขาคล้ายจะชักออกด้วยเล็กน้อยตามสัญชาตญาณของคนที่ไม่คุ้นให้ใครแตะตัวกระทันหัน ก้มมองมือของตัวเองที่ถูกประกบอยู่ ด้วยสีหน้าเรียบเฉยแต่แฝงแววประหลาดใจครู่หนึ่ง
“อะ อืม… คงงั้นมั้ง”
ไม่ได้ตอบอะไรจนกระทั่งอีกฝ่ายปล่อยมือ จึงค่อยดึงกลับเช่นกัน ก่อนใช้ฝ่ามือถูไล่ความเย็นเพิ่มเล็กน้อย
สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อจู่ ๆ มือถูกคว้าไป เขาคล้ายจะชักออกด้วยเล็กน้อยตามสัญชาตญาณของคนที่ไม่คุ้นให้ใครแตะตัวกระทันหัน ก้มมองมือของตัวเองที่ถูกประกบอยู่ ด้วยสีหน้าเรียบเฉยแต่แฝงแววประหลาดใจครู่หนึ่ง
“อะ อืม… คงงั้นมั้ง”
ไม่ได้ตอบอะไรจนกระทั่งอีกฝ่ายปล่อยมือ จึงค่อยดึงกลับเช่นกัน ก่อนใช้ฝ่ามือถูไล่ความเย็นเพิ่มเล็กน้อย
เลิกคิ้วอย่างไม่เชื่อ ก่อนที่ประโยคต่อมาจะถูกกลืนลงคอ
“…”
ไม่
ไม่ใช่แค่เถียงไม่ออก นาธาเนียลเดาถูกอย่างที่พูดจริง ๆ นั่นแหละ แต่จะให้ทำยังไงได้ ก็ตัวเขาไม่ชินกับการอยู่ท่ามกลางผู้คนนาน ๆ ตั้งแต่แรกแล้ว
เซบาสเตียนตอบด้วยสีหน้าว่างเปล่ากลับไป
“ฉันเป็นแบบนี้มาตั้งนานแล้วเถอะ”
“นี่ก็ปล่อยตัวตามสบายแล้ว”
เลิกคิ้วอย่างไม่เชื่อ ก่อนที่ประโยคต่อมาจะถูกกลืนลงคอ
“…”
ไม่
ไม่ใช่แค่เถียงไม่ออก นาธาเนียลเดาถูกอย่างที่พูดจริง ๆ นั่นแหละ แต่จะให้ทำยังไงได้ ก็ตัวเขาไม่ชินกับการอยู่ท่ามกลางผู้คนนาน ๆ ตั้งแต่แรกแล้ว
เซบาสเตียนตอบด้วยสีหน้าว่างเปล่ากลับไป
“ฉันเป็นแบบนี้มาตั้งนานแล้วเถอะ”
“นี่ก็ปล่อยตัวตามสบายแล้ว”
สายตาจับจ้องดวงตาคู่สีฟ้านิ่ง มือที่ใช้โอบเอวเมื่อครู่ เปลี่ยนมาลูบไล้เรือนผมด้านข้างอย่างน่าเอ็นดู ก่อนใช้นิ้วเลื่อนลูบใบหูและสันคอ
“ ฉันรักเธอ, ..เอสเทลล์ ”
“…คบกับฉันนะ ”
เขาเอ่ยขึ้นอย่างระวังคำพูด ราวกับไม่คุ้นชินกับการพูดประโยคเมื่อครู่ แต่ไร้ซึ่งความประหม่าเพราะมั่นใจในคำตอบของหญิงสาวตรงหน้า
สายตาจับจ้องดวงตาคู่สีฟ้านิ่ง มือที่ใช้โอบเอวเมื่อครู่ เปลี่ยนมาลูบไล้เรือนผมด้านข้างอย่างน่าเอ็นดู ก่อนใช้นิ้วเลื่อนลูบใบหูและสันคอ
“ ฉันรักเธอ, ..เอสเทลล์ ”
“…คบกับฉันนะ ”
เขาเอ่ยขึ้นอย่างระวังคำพูด ราวกับไม่คุ้นชินกับการพูดประโยคเมื่อครู่ แต่ไร้ซึ่งความประหม่าเพราะมั่นใจในคำตอบของหญิงสาวตรงหน้า
จากที่เห็น อีกฝ่ายก็ดูมีเพื่อนเยอะกว่าเป็นไหน ๆ ในความเข้าใจของเซบาสเตียน จึงถามด้วยความสงสัย
จากที่เห็น อีกฝ่ายก็ดูมีเพื่อนเยอะกว่าเป็นไหน ๆ ในความเข้าใจของเซบาสเตียน จึงถามด้วยความสงสัย
พยักหน้ารับคำตอบ
“ปีละครั้งสองครั้ง แต่ทุกปีฉันจะนั่งรถม้าไป”
นับว่าเป็นปีแรกที่ได้ลองเดินทางด้วยเท้า หากรู้ว่าจะหนาวขนาดนี้ น่าจะคิดวิธีบอกให้อีกฝ่ายไปรอที่จุดจอดรถม้าแทน
“แต่ฤดูหนาวที่ไหนก็เหมือน ๆ กันเถอะ ทุกที่ก็มีแต่หิมะเต็มไปหม-”
เขาหยุดพูดก่อนจบประโยคอย่างช่วยไม่ได้ หันหน้าหลบออกไปข้างทาง พยายามเงียบเพื่อกลั้นไม่ให้จาม ก่อนรีบตั้งหลักกลับมาคุยต่อ
“นั่นแหละ”
พยักหน้ารับคำตอบ
“ปีละครั้งสองครั้ง แต่ทุกปีฉันจะนั่งรถม้าไป”
นับว่าเป็นปีแรกที่ได้ลองเดินทางด้วยเท้า หากรู้ว่าจะหนาวขนาดนี้ น่าจะคิดวิธีบอกให้อีกฝ่ายไปรอที่จุดจอดรถม้าแทน
“แต่ฤดูหนาวที่ไหนก็เหมือน ๆ กันเถอะ ทุกที่ก็มีแต่หิมะเต็มไปหม-”
เขาหยุดพูดก่อนจบประโยคอย่างช่วยไม่ได้ หันหน้าหลบออกไปข้างทาง พยายามเงียบเพื่อกลั้นไม่ให้จาม ก่อนรีบตั้งหลักกลับมาคุยต่อ
“นั่นแหละ”